ฉบับที่ 56 มิถุนายน ปี 2550

เจิน เจิน บุญสูงเนิน กับรักแท้ของหัวใจและรักสุดท้ายของชีวิต

สมาธิเปลี่ยนชีวิต
เรื่อง : Son Backhome e-mail:[email protected]

 

 

  มีใครบางคนบอกว่า ความรักก็เหมือนกับเปลวหลอนของแดดบ่ายอันร้อนแรงเราหวังกระโจนว่ายให้ฉ่ำเย็น แต่ท้ายที่สุด เมื่อเดินเข้าไปใกล้ กลับกลายเป็นภายลวงตา แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนเป็นอันมากเอาชีวิตไปถมเอาลมหายใจไปทิ้งในพยับแดดนั้นด้วย ความมัวเมา บทเพลงที่ขับกล่อมโลกไม่ว่าจะของเชื้อชาติไหน ภาษาใด ต่างล้วนเป้นเพลงรักอกหัก รักคุด รักสะดุด ใจระทมยังคงครอง ความนิยม ใช้เป็นเครื่องกล่อมหูของคนทั้งโลกได้ไม่สร้างซาแต่ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังไม่รู้ว่า"รักแท้"นั้นอยู่ตรงไหน

    มีความรักเพื่อหวังความสุข แต่กลับได้ทุกข์เป็นเครื่องตอบแทน ตราบใดที่มนุษย์ยังรักไม่เป็น เห็นรักไม่แจ้ง ตราบนั้นหัวเข่าก็ไม่มีวันแห้งจากน้ำตา เหมือนตั้งโจทย์ไม่ถูกเรื่อง เดินไม่ถูกทางก่อสร้างไม่ถูกแบบ ย่อมไม่ได้ผลลัพธ์ดังที่ต้องการ

 รักอย่างไรให้ถูกเรื่อง ตกหลุมรักแบบไหนใจไม่เดาะ คู่แท้แบบไหนพาพ้นเคราะห์ อยู่ในบุญฉบับนี้เรามีคำตอบจากศิลปินดัง

 

เจิน เจิน บุญสูงเนิน


เจ้าของบทเพลงที่ชาวไทยและชาวต่างประเทศรู้จักกันดี ก็คือ ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าคือคนไทยต้องสู้ถึงจะชนะ

   เจิน เจิน บุญสูงเนิน เจ้าของบทเพลงที่ชาวไทยและชาวต่างประเทศรู้จักกันดี ก็คือ ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าคือคนไทย ต้องสู้ถึงจะชนะ เป็นนักร้องที่มากความสามารถคนหนึ่งของเมืองไทย สามารถขับร้องเพลงได้ถึง ๗ ภาษา คือ ไทย จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลี มาเลย์ และสิงคโปร์ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้เป็นลูกครึ่งแต่อย่างใด ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ที่เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

      แม้คนส่วนใหญ่จะชื่นชมว่าเธอร้องเพลงได้ไพเราะอ่อนหวาน แต่เธอบอกว่า "ชีวิตจริงของฉันลำเค็ญขมปี๋!" แต่นั่นเป็นเรื่อง ของเมื่อวาน เพราะวันนี้ชีวิตของเธอได้เปลี่ยนไปแล้วด้วยสมาธิ เพื่อให้สามารถมองเห็นจุดเปลี่ยนได้อย่างแจ่มชัด จึงขอนำท่านผู้อ่าน
ไปรู้จักกับจุดเริ่มต้นของเธอกัน

     เจิน เจิน บุญสูงเนิน เป็นชาวโคราชโดยกำเนิด หลังจากที่เกิดมาแล้วชีวิตของเธอก็ได้พบกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์หลายประการกำพร้าแม่มาตั้งแต่เด็ก พ่อเป็นอัมพาต มีเพียงพี่น้องในครอบครัวที่ต่างต้องดูแลกันเอง คุณภาพชีวิตจัดอยู่ในโซนยากจนสุดขีดเธอเล่าว่า " ในวัยเด็กต้องเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน และบางครั้ง ถึงขั้นต้องเก็บของกินในกองขยะ "

       จนกระทั่งชีวิตพลิกผันในทางที่ดีขึ้นเมื่อไปประกวดร้องเพลง และได้รับตำแหน่งนักร้องดีเด่นของสยามกลการในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ปีเดียวกับเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตร จึงได้ออกเทปเป็นนางฟ้าจำแลงที่แจ้งเกิดเป็นศิลปินนักร้องอย่างเต็มตัวผลงานในอัลบั้มชุดแรกคือ "ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง" ซึ่งเนื้อหาของเพลงสะท้อนสภาพชีวิตและสังคมหลังจากที่ได้ออกเทปแล้ว ความเป็นอยู่ของชีวิตจึงเริ่มดีขึ้นตามลำดับ แต่ถึงกระนั้น แม้จะผ่านช่วงลำเค็ญ ทางกายมาได้ แต่ปัญหาทางใจกลับไร้ทางผ่าน

     "ปัญหาที่ดิฉันมักจะเจอเสมอ คือ ล้มเหลวเรื่องความรัก มีแฟนแต่ละคนไม่เคยอยู่กันยืดเลย ปรารถนาจะให้รัก "จงเจริญ" แต่ก็เจอแบบ "จงจะร่วง" ทุกคราวไป จนมานึกน้อยใจว่า ทำไมเราเป็น อย่างนี้ ทำไมไม่มีใครรักเราจริง ทั้งๆ ที่เราทั้งรักและทุ่มเทแต่คนที่เรารักกลับเอาหัวใจไปทุ่มทิ้ง" 

     แต่เธอยังโชคดีที่มีบุญพอที่จะตัดรอนความโศกสลดในใจได้ เสียใจแล้วเสียแป๊บเดียว เวลาเสียใจมากๆ ถ้อยคำที่เธอใช้ ปลอบใจตัวเอง เป็นชื่อเดียว กับบทเพลงอันโด่งดังที่เธอขับร้อง นั่นคือ ต้องสู้.. ต้องสู้ ถึงจะชนะ 

     แม้อุปสรรค ปัญหา จะสามารถทำให้ชีวิตใครหลายๆ คนแกร่งกล้าขึ้น แต่ถึงกระนั้นปัญหาก็ไม่ใช่ของวิเศษที่น่ายินดี เพราะความวิเศษของชีวิตคือวิธีคิดในการแก้ไขปัญหาต่างหาก และเจิน เจิน บุญสูงเนิน เธอมีของวิเศษนั้น คือความคิดในการ แก้ไขปัญหา ที่คนทั่วไปมักไม่ค่อยคิดกันเพราะความคิดนี้เป็นความคิดอันแสนปกติของผู้มีบุญเท่านั้นคือ แก้ปัญหาของชีวิตด้วยการ เข้าวัดทำบุญ ยิ่งมีปัญหาใหญ่ก็ทำบุญใหญ่ๆ

     "ด้วยพื้นฐานที่ชอบไปวัดทำบุญนี่แหละค่ะ จึง ทำให้ได้พบกับวัดพระธรรมกาย ในปี ๒๕๔๔ โดยมี ผู้นำบุญจากโคราชแนะนำ ให้สร้างองค์พระธรรมกาย ประจำตัว และพอย้ายมาอยู่ที่อเมริกา ด้วยความที่อยากจะทำบุญ จึงไปทำบุญที่วัดใกล้บ้าน จนได้มาเจอวัดพระธรรมกายที่เวอร์จิเนียอีกครั้งตอนนั้นได้พบพระอาจารย์วิชัยและสนทนาธรรมกับท่าน แล้วก็กลับ หลังจากนั้นอีก ๑ ปี ก็ได้ไปทำบุญถวาย สังฆทานที่วัดพระธรรมกายซีแอตเติล ปรากฏว่าได้พบพระอาจารย์วิชัยอีกรอบหนึ่ง ท่านก็บอกว่า ตอนนี้มีจานดาวธรรมแล้วนะ พอท่านเปิดให้ดู ดิฉันก็เห็นน้องนาโอมิกับน้องแป้ง กำลังท่องภาษาบาลีอยู่ จึงประทับใจมาก บอกกับตัวเองว่า "เด็กตัวแค่นี้ยังพูดบาลีได้ เราแก่แล้วทำไมจึงจำไม่ได้ ไม่ได้แล้วนังเจิน เธอต้องปรับปรุงตัวเอง ตั้งแต่ วันนั้นมา เธอจึงเปลี่ยนตัวเอง ติด DMC แล้วนั่งศึกษาธรรมะหน้าจออย่างเหนียวหนึบ คือ ตั้งแต่ตื่นเช้ามา ตี ๕ ถึง ๙ โมง ก่อนนอน ๔ ทุ่มถึงเที่ยงคืน

      "ดู DMC ทุกวันเลยค่ะ ยิ่งได้มาดูหลวงพ่อ ยิ่งติดใจ เพราะธรรมะที่หลวงพ่อสอนนั้นวิเศษและดีมากๆ ค่ะ หลวงพ่อดูใสมาก ดูอ่อนกว่าวัย ดูเด็ก ดูดีมีรัศมีแต่ก่อนไม่ชอบฟังเทศน์ค่ะ ประมาณว่า ถ้าไปวัดไหนถวายเสร็จแล้วกลับเลย แต่พอมาเจอหลวงพ่อ เปลี่ยนคอนเซ็ปของตัวเองทันที เดี๋ยวนี้ชอบฟังธรรมะ ชอบฟังพระเทศน์ ฟังแล้วไม่เบื่อ มีความสุข ติดฟังหลวงพ่อยิ่งกว่าติดดู
นิยายอีกค่ะ"

     หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมะจาก DMC อย่าง ต่อเนื่องเธอก็ได้พัฒนาการเรียนรู้ธรรมะให้ลึกซึ้งขึ้น อีกขั้นด้วยการนั่งสมาธิ 

     "ดิฉันนั่งสมาธิตามเสียงของหลวงพ่อทุกวัน ถ้ามีเวลาก็จะนั่งสมาธิวันละ ๒ รอบ หรือขณะนั่งรถไปทำงาน ก็จะสวดบทสรรเสริญ ทุกบทที่มีอยู่ ทำวัตรเช้าบนรถไปจนถึงที่ทำงาน แล้วก็กราบขอพรหลวงปู่จากรูปซึ่งติดไว้ในออฟฟิศ ตอนเย็นกลับบ้าน ก็นั่งสมาธิก่อนนอน

 

 
 
   เรื่องของหัวใจ ต้องแก้ด้วยหัวใจ ใช้ใจที่ใส บ่มใจที่ขุ่น หลุมรักที่ตกลงไปแล้วไม่เจ็บ คู่รักที่ ไม่เอาหัวใจไปทิ้งข้างเหมือนกระดาษชำระ คือ ตัวเราเอง รักแท้คือศูนย์กลางกาย รักสุดท้ายคือ ความสุขภายใน
 

      ตอนแรกก็นั่งนึกถึงดวงแก้ว เหมือนที่หลวงพ่อสอน นึกยังไงก็ไม่เห็นสักที มืดอย่างเดียว ตอนหลังจึงนั่งทำใจเฉยๆ ไม่นึก ไม่ภาวนาอะไร จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งตัวก็หายไป ใจนิ่งเหมือนหลุดไปอยู่ในที่โล่งๆ รู้สึกเบา สบายเหมือนไม่มีตัวตน แต่มีความสุขมากๆ หลังจากนั้น พอวางใจเป็นก็วาง นิ่งๆ นุ่มๆ ทำให้นั่งสมาธิครั้งใดก็มีความสุขทุกครั้ง สุขจนไม่รู้จะบอกอย่างไรโล่ง โปร่ง เบา สบาย รู้สึกรักตัวเองที่เป็นแบบนี้ อาจจะบอกว่าเป็นรักแท้ ของหัวใจและรักสุดท้ายของชีวิตก็ได้ คือ เวลาเรารักคนอื่นทุ่มร้อยก็เจ็บร้อย แต่เมื่อเรารักตัวเอง เรา ทุ่มร้อยแต่สุขนับแสน สุขแสน แสนสุขจริงๆ สุขจน เรารู้สึกอยากจะแผ่ความสุขนี้ให้คนทั้งโลกได้

        พอใจสบาย อะไรๆ ก็ดูดีไปหมด ปัญหาที่เข้า มาแต่ละครั้ง ถึงจะหนักหรือรุนแรงขนาดไหน เราก็ รับได้ รู้สึกภูมิใจค่ะที่ได้มา
เจอวัดพระธรรมกาย ได้ พบหลวงพ่อ จากที่เคยมองบางสิ่งบางอย่างในแง่ร้าย แต่ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ สิ่งใดที่เกิดขึ้น แล้ว สิ่งนั้นดีเสมออย่างน้อยก็สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า "ทำใจดีๆ ไว้" โดยไม่ฟูมฟายให้ใจเสียฟอร์ม"

       เนื่องจากเจิน เจิน เป็นนักร้อง ทำงานในด้านบันเทิงที่ต้องพบปะผู้คนมากมาย เป็นดาวเด่นดวงหนึ่งในสังคม แต่ถึงกระนั้นเธอก็สามารถรักษาวัฒนธรรมความเป็นชาวพุทธได้อย่างน่าชื่นชม

      ดิฉันจะสอนตัวเองเสมอว่า เป็นชาวพุทธพันธุ์แท้หัวใจต้องมั่นคง แม้จะทำงานเป็นนักร้อง ที่ มักจะมีคนเอาเหล้ามายื่นให้ ฉันก็บอกไปเลยค่ะว่า "ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่ดื่มค่ะ" บ่อยครั้งที่จะถูกคะยั้นคะยอว่า "ช่วยดื่มเป็นเกียรติให้ก่อนได้ไหม" พอไม่ดื่ม เขาก็บอกว่า "ถ้างั้นคุณก็ไม่ให้เกียรติเราสิ"เมื่อถูกคะยั้นคะยอหนักยิ่งขึ้นท้ายที่สุดจนเราต้องตอบว่า"การที่ดิฉันมานั่งกับคุณก็ถือว่า ให้เกียรติ แล้ว เพราะว่าดิฉันถือศีล และเป็นชาวพุทธแท้ ที่ไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ ถ้าคุณต้องการจะคุยกับดิฉันต่อ ขอความ กรุณาอย่าคะยั้นคะยออีกนะคะ"ตอนนี้เรา ต้องยอมรับว่า การดื่มของมึนเมามันกลายเป็นค่านิยมที่ไม่ดีมานานแต่เราก็ยึดมั่นว่า ถ้าเป็นชาวพุทธแท้ต้องยืนหยัดในการทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถูกศีลธรรม"

     ทุกวันนี้ก่อนจะขึ้นเวทีร้องเพลงทุกครั้งเธอจะสวดมนต์สรรเสริญพระเดชพระคุณหลวงปู่ ตรึกระลึกถึงหลวงพ่อและคุณยาย และความภาคภูมิใจอันเป็นที่สุดของเธอ ที่ปลื้มแล้วปลื้มอีกปลื้มไม่รู้จักจบ คือ การมีโอกาสได้ร้องเพลง "ชีวิตก็เป็นแบบนี้" จากผลงานการประพันธ์ของตะวันธรรม

     เรื่องของหัวใจ ต้องแก้ด้วยหัวใจ ใช้ใจที่ใส บ่มใจที่ขุ่น หลุมรักที่ตกลงไปแล้วไม่เจ็บ คู่รักที่ไม่เอาหัวใจไปทิ้งขว้างเหมือนกระดาษชำระคือตัวเราเอง รักแท้ คือ ศูนย์กลางกาย รักสุดท้าย คือ ความสุขภายใน รักที่ทุกคนค้นพบได้ด้วยการหลับตาทำสมาธิจรดใจนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกาย

   เจิน เจิน บุญสูงเนิน ตัวเธอเองก็ทำเช่นนี้ ทุกวัน และเธอบอกว่า "ทุกวันนี้ดิฉันเอาใจใส่กับรักในตัวอย่างเดียว พอเหนื่อยล้า เจอปัญหาอะไรพอนั่งหลับตาเราก็มีความสุข"

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล