ฉบับที่ 41 มีนาคม ปี 2549

จอมโจรโปริสาท ยอดมนุษย์กินคน

พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙

 

 

 

 มีธรรมภาษิตที่พระองคุลิมาลเถระได้กล่าวเอาไว้ว่า
"ผู้ใดเคยประมาทในกาลก่อน แต่ในภายหลังกลับถ่ายถอนความประมาท เขาย่อมยังโลกนี้ให้สว่างดุจพระจันทร์พ้นแล้วจากก้อนเมฆ ฉะนั้น...."


           ในสังสารวัฏอันยาวไกลนี้ ยังมีสิ่งที่ซับซ้อนมากมายที่เราไม่รู้ และมีสิ่งที่เป็นฉากหลัง คอยบังคับบัญชาให้มวลมนุษยชาติตกอยู่ในความประมาท เห็นแก่กิน เห็นแก่ความถูกใจยิ่งกว่าความถูกต้อง ชีวิตในสังสารวัฏจึงเหมือนเรือที่ถูกคลื่นลมพัดโหมกระหน่ำเข้าใส่ล่องไปอย่างไร้ทิศทาง แต่เมื่อไรที่ได้ กัลยาณมิตรมาชี้ทางที่ถูกต้องให้โอกาสที่จะได้พบฝั่งแห่งพระนิพพานย่อมบังเกิดขึ้น เหมือนชีวิตในอดีตของ พระองคุลิมาลที่ท่านเคยเกิดเป็นมนุษย์กินคน เคยยอมสละราชบัลลังก์ไปอยู่ในป่า ตามลำพัง เพื่อจะได้กินเนื้อมนุษย์ได้ตามแรงปรารถนา จนได้รับฉายาว่า "จอมโจรโปริสาท" ยอดมนุษย์กินคน 

 

 

 

             เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยอดีตพระเจ้าพรหมทัตพระราชาแห่งกรุงพาราณสี ทรงนิยมการเสวยเนื้อ เนื่องจากเคยเกิดเป็นยักษ์มาหลายชาติ แม้ในวันอุโบสถซึ่งปกติจะไม่มีการฆ่าสัตว์เป็นอาหาร พ่อครัวก็ยังต้อง เก็บเนื้อไว้ถวายท้าวเธอให้ได้เสวยทุกครั้ง อยู่มาวันหนึ่งเนื้อที่เก็บไว้ในตู้ถูกพวกสุนัขในพระราชวังแอบเข้า มากินจนหมด พ่อครัวออกเที่ยวหาซื้อตามท้องตลาดแต่หาซื้อไม่ได้เลย ด้วยความเกรงต่อราชอาชญาจึงเดิน เข้าไปในป่าช้าผีดิบตามลำพัง ตัดเอาเนื้อตรงต้นขาของคนที่พึ่งตายใหม่ๆนำมาทำเป็นเนื้อย่างแล้วหั่น เป็นชิ้นๆหุงข้าว จัดแจงตั้งเครื่องเสวยพร้อมด้วยมังสะ ทันทีที่พระราชาวางชิ้นเนื้อมนุษย์ลงบนปลายชิวหา ชิ้นเนื้อก็แผ่ซ่านไปสู่เส้นประสาทรับรส ทำให้เกิดความซาบซ่านไปทั่วพระสรีระทรงรู้สึกว่านี่แหละคืออาหารที่ อร่อยที่สุดในโลกอร่อยถึงขนาดปีติซาบซ่าน แสดงว่าไม่ธรรมดาคืออร่อยที่สุดจนหยุดไม่ได้เมื่อทรงสืบทราบ จากพ่อครัวว่าเป็นเนื้อมนุษย์ ตั้งแต่นั้นมาก็ยินดีในการเสวยเนื้อมนุษย์ทุกวัน

 


 

 

             พ่อครัวได้อาศัยราชอำนาจสั่งให้นำนักโทษข้อหาอุกฉกรรจ์ไปประหารชีวิต แล้วเอาเนื้อมาปรุงเป็นอาหาร เมื่อคนในเรือนจำหมด ก็นำถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะไปทิ้งไว้ที่ระหว่างทาง คนไหนหยิบไป ก็ตั้งข้อหาว่าเป็นขโมย จากนั้นให้ราชบุรุษนำไปฆ่า ตอนหลังชาวบ้านรู้ว่า นั่นคือ ถุงเงินมรณะ จึงไม่มีใครกล้าหยิบ เพียงแค่เห็นก็รู้สึกหวาดกลัวไปตามๆ กันพระราชาทรงแนะอุบายต่อไปว่าในเวลาเที่ยงคืน ให้ไปยืนดักอยู่ตามตรอกหรือมุมมืด ฆ่ามนุษย์เอาเนื้อมาปรุงอาหาร พ่อครัวก็แอบย่องไปคอยฆ่าคนที่กำลังเผลอ แล้วตัดเอาแต่เนื้อล่ำๆ ไปปรุงอาหารทิ้งกระดูกเอาไว้ชาวเมืองรู้ว่ามีฆาตกรฆ่าหั่นศพก็พากัน ไปร้องทุกข์ต่อ พระราชาแต่พระราชาก็ไม่ทรงเป็นธุระในคดีนี้ จึงไปขอความช่วยเหลือจากท่านกาฬหัตถีเสนาบดี ท่านเสนาบดีทำการสืบคดีใช้เวลาไม่กี่วันก็จับพ่อครัวได้ เมื่อพ่อครัวซัดทอดว่าผู้บงการในการฆ่าคือพระราชา จึงพากันมาทูลถามพระราชา พระราชาทรงยอมรับโดยไม่สะทกสะท้าน ชาวเมืองได้ยินแล้วถึงกับขนลุกชูชัน หวาดเสียวไปตามๆ กันเพราะนึกไม่ถึงว่าฆาตกรกินเนื้อมนุษย์ จะเป็นพระราชาของตัวเอง เสนาบดีได้กราบทูล ขอให้ทรงเลิกเสวยเนื้อมนุษย์เด็ดขาดมิเช่นนั้นชาวเมืองจะเนรเทศพระองค์ ออกจากแว่นแคว้น

 

 

                ฝ่ายพระราชาก็ทรงยืนกรานว่า สมบัติเหล่านี้มิได้เป็น ที่รักของเรายิ่งไปกว่าเนื้อมนุษย์ เราไปอยู่ป่าก็ได้ ทรงขอดาบหนึ่งเล่ม พ่อครัวหนึ่งคน และหม้ออีกหนึ่งใบ เมื่อได้ทุกอย่างครบแล้ว ก็มุ่งหน้าเข้าป่าใหญ่อาศัยอยู่ที่ ใต้ต้นไทรแห่งหนึ่ง คอยดักฆ่ามนุษย์ที่ผ่านมาบริเวณนั้น แล้วนำมาให้พ่อครัวทำเป็นอาหาร ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าพรหมทัต ก็ได้รับฉายานามว่าจอมโจรโปริสาท หรือยอดมนุษย์กินคน โปริสาทมีอานุภาพมาก สามารถกระโดดได้สูง ๑๘ ศอก ถึงแม้จะอยู่ป่าตามลำพัง สัตว์ร้ายก็เกรงกลัวต่อเดชานุภาพของโปริสาท เขาสามารถจับพระราชา ๑๐๐ พระองค์ได้ภายใน ๗ วัน เพื่อนำมาบวงสรวงเทวดาที่ต้นไทรใหญ่ เนื่องจากเคยให้สัญญาว่าถ้าหากแผลหายเพราะถูกหนามตะเคียนทิ่มตำภายใน ๗ วัน ก็จะนำพระราชา ๑๐๐ พระองค์จากทั่วชมพูทวีปมาฆ่าแล้วเอาโลหิตใน ลำคอรดต้นไทร

 

 

      ตอนหลังเทวดาซึ่งสิงอยู่ต้นไทรเห็นว่า โปริสาทกำลังจะ ทำความพินาศให้เกิดแก่ชาวชมพูทวีป จึงไปขอคำปรึกษา กับพระอินทร์ก็ได้รับคำแนะนำว่าผู้ที่สามารถหยุดยั้งความเหี้ยม โหดของโปริสาทได้มีเพียงพระเจ้าสุตโสมเท่านั้น รุกขเทวา ครั้นรู้วิธีแล้วก็ปรากฏกายให้โปริสาทเห็น และบอกว่าต้องไปจับ พระเจ้าสุตโสมมาด้วย การบวงสรวงด้วยเลือดในลำคอของ พระราชาจึงจะสมบูรณ์โปริสาทเห็นว่าถ้าจับ

 

 

       พระเจ้าสุตโสม มาด้วยชมพูทวีปก็จะขาดพระราชา ผู้ทรงธรรม แต่ไม่อยากผิด คำสัญญาที่ให้กับเทวดาจึงได้ไปจับ พระเจ้าสุตโสมมาด้วย ครั้นจับมาได้แล้วพระเจ้าสุตโสม ทรงขอร้องโปริสาทว่าพระองค์ ได้ทำสัญญากับพราหมณ์ คนหนึ่งเอาไว้ว่าหลังจากสรงสนาน เสร็จแล้วจะขอฟังธรรม ที่ชื่อว่าสตารหาตอนนี้พราหมณ์ กำลังรออยู่ ขอให้กลับไปฟังธรรม ก่อนเถิด แล้วจะกลับมาให้ท่านฆ่าอย่างแน่นอน

 

 

    โปริสาทเชื่อถือในสัจจวาจาของพระเจ้า สุตโสมอยู่แล้ว จึงอนุญาตให้กลับไปได้ พระเจ้าสุตโสมรีบกลับพระนคร และได้ฟังสตารหาคาถาซึ่งสืบทอดมาจากยุคสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า ๔ คาถาว่า "การสมาคมกับสัตบุรุษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น การสมาคมนั้นย่อมรักษาผู้สมาคมนั้นเอาไว้ได้ การสมาคมกับอสัตบุรุษแม้มากก็รักษาไม่ได้ บุคคลพึงคบกับสัตบุรุษ พึงกระทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะผู้รู้สัทธรรมของสัตบุรุษ ย่อมมีความเจริญ ไม่มีความเสื่อม ราชรถที่เขาตกแต่งให้วิจิตรเป็นอันดี ยังคร่ำคร่าได้ แม้สรีระก็เข้าถึงความชราได้เหมือนกัน ส่วนธรรมของสัตบุรุษ ไม่เข้าถึงความชรา..."

 

 

 

          พระเจ้าสุตโสมครั้นได้สดับแล้ว ทรงมีพระหฤทัยปีติโสมนัส ตามปกติจะมีผู้บูชาธรรมคาถาละร้อยกหาปณะ แต่พระองค์ทรงบูชาธรรมพราหมณ์คาถาละพัน เพราะทรงเห็นคุณค่าของธรรมะมาก จากนั้นก็เสด็จกลับ ไปหาโปริสาทตามเดิม แม้จะมีผู้ทัดทานเอาไว้ ก็ไม่สามารถรั้งพระองค์เอาไว้ได้ ฝ่ายโปริสาทเห็นพระเจ้าสุตโสม กล้ากลับมาหาความตาย ก็รู้สึกหวั่นไหว และสงสัยว่าธรรมะที่พระเจ้าสุตโสม ไปฟังมานั้น คงจะมีความลึกซึ้งและ ช่วยให้ผู้ฟังไม่หวั่นไหวต่อมรณภัยกระมัง จึงอยากฟังดูบ้าง พระเจ้าสุตโสมก็ทรงแสดงให้ฟังตามที่ได้สดับมา โปริสาทแม้จะมีจิตใจเหี้ยมโหด ครั้นได้ฟังสตารหาคาถา ก็เกิดปีติแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ซาบซึ้ง ในรสพระธรรมมาก แต่ตัวเองไม่มีทรัพย์สินเงินทองมาบูชาธรรม จึงบอกว่าจะให้พรพระเจ้าสุตโสม ๔ ข้อ ขอให้ขอได้ตามใจปรารถนา

 

 

 

           พระโพธิสัตว์เห็นเป็นโอกาสดี จึงขอพรว่า ขอข้าพเจ้าพึงเห็นท่านเป็นผู้ไม่มีโรคตลอดร้อยปี นี้เป็นพรข้อแรก ที่เราปรารถนา โปริสาทฟังแล้ว ก็ปลื้มใจมากที่พระเจ้าสุตโสมขอพรนี้เพื่อตัวเอง จึงถวายพระพรตามนั้น พระเจ้าสุตโสมขอพรข้อที่ ๒ว่า ...ขอพระองค์จงให้ชีวิตพระราชาทั้ง ๑๐๐ พระองค์ โปริสาทก็ถวายพระพรตามนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสขอพรข้อที่ ๓ ต่อไปว่า ขอท่านจงปล่อยกษัตริย์เหล่านี้กลับไปครองราชย์ตามเดิมเถิด โปริสาทเห็นว่า พรนี้ไม่หนักเกินไปจึงยอมถวายพระพร

 

 

             ต่อมาเป็นพรข้อที่ ๔ เป็นพรที่ถือว่าจอมโจร โปริสาทต้องใช้เวลาในการตัดสินใจนานทีเดียว พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ...ขอให้พระองค์จงเลิกกินเนื้อมนุษย์เถิด โปริสาทฟังแล้ว ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ เพราะนึกไม่ถึงว่าพระเจ้าสุตโสม จะขอในสิ่งที่ตนเองทำให้ไม่ได้ จึงทูลขอให้พระเจ้าสุตโสมขอพร อย่างอื่นแทน พระโพธิสัตว์ตระหนักดีว่า การขอรับพรข้อสุดท้ายนี้เป็นเหมือนพิพากษาประหารชีวิตจอมโจรโปริสาท เพราะโปริสาทบอกเสมอว่า ถ้าไม่ได้กินเนื้อมนุษย์ ก็ขอยอมตาย แต่พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีปัญญามาก การที่พระองค์ยอมให้จอมโจรโปริสาท จับมาได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ใช้กำลังเข้าต่อสู้ทำร้าย กันเลยนั้น ก็เพื่อการนี้ คือประสงค์จะใช้ปัญญาญาณสอน ให้โปริสาทได้เห็นโทษของการกินเนื้อมนุษย์และเลิกกินเนื้อมนุษย์อย่างเด็ดขาด จะได้ไม่ไปเกิดในอบาย พระองค์ทรงนึกถึงปัญญาบารมี แล้วแนะนำสั่งสอนโปริสาทว่า บัณฑิตทั้งหลายไม่กล่าววาจาเป็นสอง สัตบุรุษทั้งหลายมีปฏิญาณเป็นสัตย์ ท่านได้กล่าวกับเราว่า พระสหายจงขอพร ท่านได้พูดยืนยันเอาไว้ อย่างหนักแน่น แต่บัดนี้ท่านกลับกลับกลอกไม่ยอมให้พรตามที่ขอ ท่านจะยอมเป็นอสัตบุรุษที่เลวทรามตลอดไป อย่างนั้นหรือ ....สหายเอ๋ย ขอท่านจงสมบูรณ์ด้วยธรรมของ สัตบุรุษเถิด นรชนพึงสละทรัพย์เพราะเหตุแห่งอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิตพึงสละอวัยวะ เมื่อนึกถึงธรรมพึงสละอวัยวะ ทรัพย์ แม้กระทั่งชีวิตทั้งหมดเถิด ฯลฯ

 

 

 

           เมื่อโปริสาทไตร่ตรองตามที่พระโพธิสัตว์กล่าวมาแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกกินเนื้อมนุษย์เด็ดขาด ใช้มีดตัดเชือก ที่ผูกพระราชาทั้ง ๑๐๐ พระองค์ออก ให้ได้รับอิสรภาพ พระโพธิสัตว์ทรงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า ด้วยเดชแห่งศีล ที่ได้รักษามานั้น ทันทีที่ข้าพเจ้าทายาที่ฝ่าพระหัตถ์ ของกษัตริย์เหล่านี้ ขอให้แผลจงหายเป็นปกติด้วยเถิด ด้วยเดชแห่งความดีและความสัตย์ที่พระโพธิสัตว์ได้รักษา ยิ่งชีวิตนั้น ทันทีที่ทายา แผลที่ฝ่าพระหัตถ์ของกษัตริย์ทุกๆ พระองค์ที่ได้ทาไปนั้นหายเป็นปลิดทิ้งทันที

 

 

 

                พระเจ้าสุตโสมเกลี้ยกล่อมให้โปริสาทกลับไปครองราชย์ตามเดิม โดยทรงให้คำมั่นสัญญาว่าโปริสาทจะปลอดภัย อย่างแน่นอน เพราะทรงตระหนักดีว่า ชาวเมืองจำนวนมากที่เคยสูญเสียญาติต่างก็เกลียดชังโปริสาท แต่พระเจ้าสุตโสมก็สามารถเจรจา ทรงเป็นทูตสันติทำให้โปริสาทได้ครองราชย์สมปรารถนา และได้รับการ เฉลิมพระนามตามเดิมว่า พระเจ้าพรหมทัต ทรงแนะนำให้พระเจ้าพรหมทัตดำรงมั่นในทศพิธราช-ธรรม จากนั้นก็เสด็จกลับพระนครอินทปัตถ์ ฝ่ายพระเจ้าโปริสาททรงขอขมาลาโทษต่อกษัตริย์ทุกๆ พระองค์ แล้วถวายยานพาหนะชั้นดีส่งเสด็จกลับเมืองโดยสวัสดิภาพทุกพระองค์ เหตุการณ์การทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตร ในครั้งนี้ได้เลื่องลือไปทั่วทั้งชมพูทวีป

 

 

 

              เราจะเห็นว่าพระบรมศาสดาทรงเป็นต้นแบบในการสร้างสันติภาพโลกอย่างแท้จริง คือทรงใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา โดยสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงเป็นทางออกเพราะทรงตระหนักดีว่า การฆ่าไม่เคยสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน แม้จะฆ่าให้ตาย แต่เกิดใหม่ก็ต้องมีนิสัยอยากกินเนื้อมนุษย์อีก ทางที่ดีต้องแก้ที่นิสัยหรือสันดานขณะเดียวกัน สันติภาพที่แท้จริงต้องเกิดจากการที่ทุกคนมีสัมมาทิฏฐิฝังแน่นอยู่ในใจ และมีความปรารถนาดีต่อกันอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นการสร้างสันติภาพโลก เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน ที่จะต้องช่วยกันขยายพระธรรมคำสอน ของพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า หรืออย่างน้อยเราก็ไปช่วยกันขยายจานดาวธรรมให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ธรรมะเข้าไป ยังทุกครัวเรือน ทุกครอบครัวจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเพราะมีธรรมะเป็นอาภรณ์ รู้จักละชั่ว ทำความดีและ ทำใจให้ผ่องใสนั่นแหละคือสัญญาณที่บ่งให้รู้ว่าสันติภาพโลกกำลังจะบังเกิดขึ้นแล้วในใจของ มนุษยชาติทุก คน 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล