ฉบับที่ 127 พฤษภาคม ปี2556

วิธีสร้างนิสัยดีๆ ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง

หลวงพ่อตอบปัญหา

โดย : พระภาวนาวิริยคุณ
 
หลวงพ่อตอบปัญหา  โดย : พระภาวนาวิริยคุณ
 
วิธีสร้างนิสัยดีๆ ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
 
หากเราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างยั่งยืน พระพุทธศาสนามีหลักธรรมใดที่ใช้ในการพัฒนาตนเองให้ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต ?
 
Answer คำตอบ
 
        คนเราไม่ว่าจะทำอะไร ก่อนอื่นต้องเริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต่อเรื่องนั้น ๆ ก่อน การจะสร้างนิสัยดี ๆ ที่นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตก็เช่นกัน ต้องเริ่มจากความเข้าใจถูกในสิ่งที่เป็นบ่อเกิดของความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก 
 
        เพราะ ความเข้าใจถูก เป็นเหตุให้เกิดความคิดถูก เพราะ ความคิดถูก เป็นเหตุให้เกิดคำพูดถูกหรือคำอธิบายถูก เพราะ คำพูดถูก เป็นเหตุให้เกิดการกระทำถูก เพราะ การกระทำถูก เป็นเหตุให้เกิดการประกอบอาชีพถูก คืออาชีพที่สุจริต เพราะ การประกอบอาชีพถูก เป็นเหตุให้เกิดความพยายามถูก คือพยายามที่จะแก้ไขปรับปรุงเพื่อพัฒนาตนให้เป็นคนดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะ ความพยายามถูก เป็นเหตุให้เกิดความมีสติถูก คือมีนิสัยระมัดระวังในการทำการงานต่าง ๆ ไม่ให้เกิดความผิดพลาด เพราะ ความมีสติถูก เป็นเหตุให้เกิดความตั้งใจถูก คือมีนิสัยตั้งใจทุ่มเททำการงานให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี 
 
        ผลจากการกระทำที่ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ จึงเกิดเป็นผลลัพธ์ที่ดี ก่อให้เกิดความเข้าใจถูกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก หมุนวนเป็นวงจรให้เกิดความคิดถูก คำพูดถูก การกระทำถูกยิ่งขึ้น ประกอบอาชีพถูกยิ่งขึ้น มีความพยายามถูกยิ่งขึ้น มีความระมัดระวังถูกยิ่งขึ้น มีความตั้งใจถูกยิ่งขึ้น นี่คือกระบวนการสร้างนิสัยและคุณธรรมในจิตใจของอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเริ่มต้นด้วยความเข้าใจถูกหรือสัมมาทิฐิ
 
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สัมมาทิฐิ คือ ความเข้าใจถูกในเรื่องความเป็นจริงของโลกและหลักการดำเนินชีวิต ซึ่งอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม 
 
      พระองค์ทรงอุปมาว่า แสงเงินแสงทองจับที่ขอบฟ้าในเวลาใด ย่อมเป็นนิมิตหมายว่าดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นโผล่พ้นขอบฟ้าในเวลานั้น  ผู้ที่มีสัมมาทิฐิมั่นคงอยู่ในใจก็เช่นกัน เปรียบประหนึ่งมีแสงเงินแสงทองส่องสว่างอยู่ในใจ ย่อมเป็นนิมิตหมายว่าผู้นั้นจะมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตอยู่บนเส้นทางธรรม 
 
ความเข้าใจถูกที่สำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีดังนี้
 
      เข้าใจถูกว่า ทานมีผลจริง คือ ชีวิตจะเป็นสุขได้ด้วยการแบ่งปัน ปันกันกิน ปันกันใช้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี 
 
      เข้าใจถูกว่า การสงเคราะห์มีผลจริง คือ ชีวิตจะเป็นสุขได้ด้วยการช่วยเหลือกันโดยเฉพาะยามทุกข์ยากลำบาก เพื่อแก้ไขบรรเทาทุกข์เหล่านั้น 
 
      เข้าใจถูกว่า การบูชายกย่องคนดีมีผลจริง คือ ชีวิตจะเป็นสุขได้ด้วยการยกย่องคุณความดีที่มีของกันและกัน เพื่อส่งเสริมคนดีและการทำความดีให้มั่นคงและแพร่หลายในสังคม 
 
      เข้าใจถูกว่า ผลแห่งกรรมดีและผลแห่งกรรมชั่วมีจริง คือ ชีวิตจะเป็นสุขได้ ต่างคนต่างต้องเว้นจากกรรมชั่ว เลือกทำแต่กรรมดี การอยู่ร่วมกันจะต้องไม่ประพฤติลำเอียง คือไม่ทำด้วยอคติ ด้วยรัก ด้วยชัง ด้วยโลภ ด้วยหลง 
 
        ความเข้าใจถูก เรื่องที่ ๑-๔ นี้ เป็นหลักการกระทำเพื่อการดำเนินชีวิตที่ชัดเจน ซึ่งจะเรียกว่า นิสัยที่ดี ๔ ประการก็ได้ เพราะการกระทำเหล่านี้เมื่อผู้ใดยึดถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตแล้ว ผู้นั้นย่อมทำตามหลักนั้นบ่อย ๆ ทุกวันจนติดเป็นนิสัย อาจกล่าวว่าผู้นั้นได้ติดตั้งโปรแกรมบุญให้แก่ตัวเองแล้วก็ย่อมได้
 
     หลักในการดำเนินชีวิต ๔ ข้อ ที่พุทธองค์ให้ไว้ หากว่าโดยหลักธรรมแล้วจะได้ว่า ชีวิตอยู่ด้วยการแบ่งปัน นั่นคือจะต้องมี เมตตา ชีวิตจะต้องช่วยกันยามตกทุกข์ได้ยาก นั่นคือจะต้องมี กรุณา ชีวิตจะมีแต่เพื่อนดี ต้องยกย่องคนดี นั่นคือจะต้องมี มุทิตา และชีวิตจะสงบสุขต้องให้ความเป็นธรรม นั่นคือจะต้องมี อุเบกขา หลักธรรมทั้ง ๔ ข้อนี้ เรียกว่า พรหมวิหาร ๔ ดังนั้นแม้เราเป็นมนุษย์ ก็ต้องฝึกหลักธรรมของการเป็นพรหมเข้าใจถูกว่า โลกนี้มีจริง หมายถึง โลกอย่างย่อก็คือตัวของเรานั้นมีที่มา ความสุขหรือทุกข์ ความเจริญหรือเสื่อมที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เกิดจากผลกรรมที่ตนเองกระทำไว้ในอดีตชาติ และช่วงเวลาตั้งแต่เกิดมาจนถึงนาที   ที่แล้วมาในชาตินี้ โดยเฉพาะการปฏิบัติตามหลักการดำเนินชีวิตที่ดี ๔ ข้อเบื้องต้นได้ดีมากน้อยแค่ไหน            ก็จะกลายเป็นผลกรรมดีที่เกิดขึ้นในชีวิตปัจจุบันมากเท่านั้น 
 
       เข้าใจถูกว่า โลกหน้ามีจริง หมายถึง เมื่อตายแล้วไม่ได้สาบสูญ แต่ยังมีที่ไปเกิดใหม่ในสัมปรายภพ   แต่จะไปเกิดเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ก็เป็นไปตามความสมควรแก่กรรมที่ทำเอาไว้ในปัจจุบันจนกระทั่งวันตาย  ว่าได้ปฏิบัติตนถูกต้องตามหลักการดำเนินชีวิต ๔ ประการ ได้มากน้อยหรือผิดพลาดประการใด รวมกับ       ผลกรรมในอดีตชาติที่ยังตามมาส่งผลสมทบกับชีวิตในปรโลกอีกด้วย
 
        เข้าใจถูกว่า มารดามี หมายถึง มีพระคุณต่อบุตรจริง เพราะเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ต้นแบบกายมนุษย์ และสิ่งสำคัญคือนิสัยดีของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นเอง จำเป็นต้องได้มารดาเป็นผู้ปลูกฝังและถ่ายทอดนิสัยประพฤติดีปฏิบัติชอบตามหลักการดำเนินชีวิต ๔ ประการนั้นให้แก่บุตร ในทางตรงกันข้ามมารดาก็มีโทษ หากไม่ได้ปลูกฝังหรือถ่ายทอดนิสัยดีให้ แต่กลับปลูกฝังหรือถ่ายทอดนิสัยเสียให้แก่บุตร 
 
        เข้าใจถูกว่า บิดามี หมายถึง มีพระคุณต่อบุตรและมีโทษต่อบุตรได้เช่นกัน ในทำนองเดียวกับมารดา 
 
       เข้าใจถูกว่า โอปปาติกะมี หมายถึง สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นแล้วโตเต็มที่ในทันใด โดยไม่ต้องอาศัยมารดาบิดา          เป็นผู้ให้กำเนิด เมื่อตายก็ไม่มีซากปรากฏ เช่น เทวดาและสัตว์นรก ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง 
 
       เข้าใจถูกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งโลก พ้นโลกแล้วด้วยพระองค์เอง และสอนให้ผู้อื่นพ้นตาม           มีจริง พระอรหันต์สาวกผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วพ้นทุกข์ตามได้มีจริง 
 
       ความเข้าใจถูกทุกประการข้างต้นก็คือความเป็นไปของโลกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาตรัสสอน เพื่อให้ชาวโลกได้รู้ตาม จะได้ดำเนินชีวิตในเส้นทางที่ปลอดภัย 
 
       จากความเข้าใจถูกเหล่านี้ เมื่อเข้าไปอยู่ในใจของผู้ใดอย่างกลั่นกล้า ก็จะกลายเป็นสัมมาทิฐิ คือ ความเข้าใจถูกในเรื่องความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตตามความเป็นจริง ส่งผลให้เกิดความคิดชอบ การกล่าววาจาชอบ การกระทำชอบ การประกอบอาชีพชอบ ความพยายามชอบ ความระมัดระวังชอบ ความตั้งใจมั่นชอบยิ่ง ๆ ขึ้นไป กลายเป็นนอตแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่ขันเกลียวแน่นเข้า ๆ ด้วยการปฏิบัติให้ถูกและทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จนเป็นนิสัยได้ 
 
       เมื่อใดที่สัมมาทิฐิถูกปฏิบัติจนกลายเป็นนิสัยประจำตัวของบุคคลนั้น ชีวิตของผู้นั้น ก็จะบังเกิดแสงเงินแสงทองขึ้นมา ชีวิตของผู้นั้นย่อมหวังได้ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองในธรรมไปตลอดชีวิต
บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล