ฉบับที่ ๑๔๖ เดือนธันวาคม ๒๕๕๗

ตำรับยารักษาใจ

สร้างโลกแก้ว
เรื่อง : กองบรรณาธิการ

 


ตำรับยารักษาใจ

 

    ประเทศไทยของเรามีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย พืชพันธุ์ธัญญาหารก็อุดมสมบูรณ์         คนไทยจึงโชคดีที่ไม่ค่อยอดอยากขาดแคลน แม้เวลาเจ็บป่วยก็มีหมอคอยดูแลรักษา เวลาทุกข์ใจก็มีหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวบรรเทาทุกข์ ต่างจากผู้คนในอีก       นับร้อยประเทศที่มีแค่การดูแลรักษากาย แต่ไม่มีหมอหรือยารักษาใจ…


    ด้วยเหตุนี้ ทีมงานพีซเรฟโวลูชันจึงออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อนำตำรับยารักษาใจไปมอบแก่ผู้คนในประเทศแถบยุโรป จะได้มีติดตัวไว้ใช้ดูแลตนเองในยามจำเป็น

 


   

    คราวนี้เราเดินทางไปยังประเทศสาธารณ-รัฐลิทัวเนียซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป เมืองหลวงชื่อวิลนีอุส (Vilnius) มีประชากร ๓ ล้านคน มีภาษาลิทัวเนียนเป็นภาษาประจำชาติ ประชากรราว ๗๗ เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก


    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ สนามบินเล็ก ๆ ในเมืองวิลนีอุส พีซเอเจนต์ เยวา อุคนี อูเลียนสไกเต มาต้อนรับทีมงานพร้อมกับอังคา กลิกา ผู้ประสานงานภาคพื้นยุโรปของพีซเรฟโวลูชัน 


    เยวาเคยเดินทางมาอบรมค่าย Global Peace on the Move ครั้งที่ ๑๒ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่มุกตะวัน ประเทศไทย ตั้งแต่วันแรก ๆ ของการอบรม เธอแสดงเจตจำนงว่าอยากจะเชิญทีมงานพีซเรฟโวลูชันไปแนะนำการทำสมาธิที่ประเทศของเธอ และเมื่อกลับไปยังลิทัวเนีย เธอก็เตรียมงานโดยจัดหาอาสาสมัคร ประสานงานกับสถานที่ต่าง ๆ และทำประชาสัมพันธ์เพื่อให้การจัดปฏิบัติธรรมครั้งแรกในประเทศลิทัวเนียเกิดขึ้นดังที่ฝันไว้



    

    การจัดปฏิบัติธรรมในลิทัวเนียจัดขึ้น ๒ วัน ๔ รอบ ที่เมือง Panevezys 


    คุณแม่ของเยวาเป็นคุณหมอ ท่านมี คลินิกในเมือง Panevezys และกำลังจะจัดงาน Palliative Care Day ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสำคัญของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย รวมทั้งจะเปิด Section พิเศษในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ด้วย


    เยวาเล็งเห็นว่าการจัดงานของคุณแม่   ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะแนะนำสมาธิแก่ผู้คนจำนวนมาก เธอจึงเชิญทีมงานพีซเรฟโวลูชันไปแนะนำการทำสมาธิเบื้องต้นในงานนี้ รวมทั้งที่ออฟฟิศคุณแม่ของเธอด้วย และด้วยความสามารถของเธอทำให้มีคนจองมาร่วมปฏิบัติธรรมเต็มทุกรอบ นอกจากนี้เธอยังติดต่อสื่อวิทยุจากเมืองหลวงวิลนีอุส และหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมือง Panevezys มาสัมภาษณ์พระอาจารย์อีกด้วย

 



  

    วันแรก คือ วันที่ ๑๐ ตุลาคม เราจัด ปฏิบัติธรรม ๒ รอบ 


    รอบแรก จัดที่ออฟฟิศของคุณแม่เยวา     มีผู้ร่วมกิจกรรม ๓๕ คน ครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก  มัธยมต้นที่ครูพามา เพราะอยากให้เด็กนั่งสมาธิและศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาจากพระภิกษุโดยตรง 


    รอบนี้พระอาจารย์นำนั่ง ๒ ครั้ง เนื่องจากครั้งแรกมีเด็กบางคนส่งเสียงรบกวน ครั้งที่สองส่วนใหญ่ปฏิบัติตามได้ดีขึ้น หลายคนนึกนิมิตเป็นดวงสว่างตามได้อย่างง่าย ๆ หลายคนรู้สึกผ่อนคลาย มีรอยยิ้มมากขึ้น 


    รอบที่ ๒ จัดที่ Music Theater ประจำเมือง มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมถึง ๓๒๐ คน 


    จากประสบการณ์รอบที่ผ่านมา ทำให้ พระอาจารย์ย้ำเรื่องความเงียบสงบเพื่อรักษาบรรยากาศในการทำสมาธิ รอบนี้พระอาจารย์นำนั่ง ๓๐ นาที แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยัง   ไม่เข้าใจว่าการทำสมาธิคืออะไร จึงมีคน     กลุ่มหนึ่งเดินออกจากห้อง ทำให้มีเสียงรบกวนพอสมควร เมื่อคนเหล่านั้นเดินออกไปหมดแล้ว ทั้งห้องก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง มีแค่เสียงของพระอาจารย์ที่นำภาวนา “สัมมา อะระหัง ๆ ๆ” เท่านั้น


    เมื่อพระอาจารย์บอกให้ลืมตา พวกเขาต่างก็ส่งเสียงอื้ออึงถึงความอัศจรรย์ของใจ        ที่หยุดนิ่ง และต่างสนทนากันว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น จากการสอบถามของพระอาจารย์พบว่า  ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ที่ดีในระดับที่ตัวเบา ราวขนนก ตัวขยาย บางคนตัวหายไปกับบรรยากาศ หลาย ๆ คนเห็นพระจันทร์สว่างที่ กลางกาย 

 



    

    หลังจากนั้น พระอาจารย์ได้แสดง          พระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิตว่าจริง ๆ แล้วทุกคนต่างแสวงหาความสุข แต่การที่เราไปแสวงหาความสุขจากคนอื่นหรือสิ่งอื่น  ที่ไม่มีความสมบูรณ์ ไม่จีรัง ทำให้เป้าหมาย   ของชีวิตคือการแสวงหาความสุขที่แท้จริงถูก  ลืมเลือนไป เมื่อละเลยเป้าหมายที่ควรหวัง ความผิดหวังจึงเกิดขึ้น บัดนี้จึงถึงเวลาแล้วที่เราจะมองกลับเข้าไปในตัว เพื่อค้นพบความสุขที่เกิดขึ้นเองจากภายใน โดยไม่ต้องพึ่งพาคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ใด ๆ  


    เมื่อพระอาจารย์กล่าวจบก็มีเสียงปรบมือ ดังกึกก้องด้วยความประทับใจ พร้อมทั้งรู้สึกเสียดายว่าช่วงเวลาที่มีค่านี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว



    

   วันที่ ๑๑ ตุลาคม จัดปฏิบัติธรรมอีก ๒ รอบ ที่ออฟฟิศของคุณแม่เยวา โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรอบละประมาณ ๓๐ คน 


    ทั้ง ๒ รอบนี้ เยวาและอังคารู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ เพราะมีคนเก่าตามมานั่งหลายคน แต่ละคนมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดีขึ้น เช่น ตัวหาย ตัวขยาย ตัวเบาเหมือนขนนก บางคนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ตัวคนเดียว หลายคนเห็นเป็นจุดสว่างเท่าดวงอาทิตย์ และเมื่อพระอาจารย์นำแผ่เมตตา หลายคนรู้สึกเหมือนมีพลังงานแผ่ขยายไปได้จริง ๆ 


    เมื่อการนั่งสมาธิสิ้นสุดลง พวกเขาก็ถามว่า "จะมีรอบต่อไปเมื่อไร?" และเมื่อทราบว่านี้คือรอบสุดท้าย คำถามก็เปลี่ยนไปเป็น "แล้วพวกคุณจะมาอีกเมื่อไร?" 

 

 


 

    กิจกรรมของพีซเรฟโวลูชันครั้งแรกที่   ประเทศลิทัวเนีย แม้จะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่คุณภาพไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะการจัดกิจกรรมในประเทศใหม่โดยมีคนมาร่วมงานถึง ๓๐๐ คนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลายประเทศที่เคยจัดมาก่อนยังไม่สามารถชวนคนได้มากขนาดนี้


    ส่วนหนึ่งที่งานนี้สำเร็จได้ด้วยดีก็เพราะ   เยวาทุ่มใจให้งานนี้เกินร้อย เครือข่ายอาสาสมัคร   ของเธอก็มาช่วยด้วยความเต็มใจ ทำให้เราเชื่อว่า ในอนาคตจะมีเยวา ๒ เยวา ๓...๔…๕...๖...?            มาช่วยกันเผยแพร่ตำรับยารักษาใจไปสู่ชาว     ลิทัวเนียให้หายทุกข์ โศก โรค ภัยโดยทั่วถึงกัน

 
    ยาชนิดนี้เมื่อใช้เป็นประจำและถูกวิธี จะทำให้สนิมในใจ คือ กิเลสทั้ง ๓ ตระกูล ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นเครื่องกั้นความสว่างของใจ ค่อย ๆ หลุดร่อนออกไป และจะมีผล ให้ดวงจิตสว่างไสวเปี่ยมด้วยความสุข ร่างกายแข็งแรง สติปัญญาก็เฉียบแหลม นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงอีกมากมาย เช่น มองเห็นเพื่อนมนุษย์น่ารักมากขึ้น ท้องฟ้า ดอกไม้ ใบหญ้า  สวยงามขึ้น โลกนี้ก็น่าอยู่มากขึ้น ดังนั้นตำรับ     ยาวิเศษขนานนี้จึงจำเป็นต้องแพร่ขยายไป     ให้ทั่วโลก เพื่อให้มนุษย์ทั้งโลกอยู่ร่วมกันได้ อย่างมีความสุขจริง ๆ เสียที 

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล