ฉบับที่ ๑๕๖ เดือนตุลาคม ๒๕๕๘

ต้นบัญญัติมารยาทไทย ตอนที่ ๒ บ่อเกิดของมารยาทไทย หมวดที่ ๑ สารูป

ต้นบัญญัติมารยาทไทย
เรื่อง : พระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

 

 

 

ต้นบัญญัติมารยาทไทย
ตอนที่ ๒ บ่อเกิดของมารยาทไทย

หมวดที่ ๑ สารูป

 

     ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็เกี่ยวกับการรักษารูปของเรา คือ เรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวและกิริยามารยาทต่าง ๆ ซึ่งของพระภิกษุท่านว่าไว้ อย่างนี้


    ข้อ ๑-๒ “ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่ง-จักห่มให้เรียบร้อย”


    ของพระภิกษุมีวินัยไว้เลย จะนุ่งห่มต้องให้เรียบร้อย เอ๊ะ! ต้องมาสอนกันด้วยหรือเรื่องนุ่งเรื่องห่ม สอนสิ..ถ้าใครนุ่งห่มเรียบร้อย ก็จะรอดตัวไม่เป็นที่น่ารังเกียจของใคร แต่ถ้านุ่งห่มไม่เรียบร้อยละก็ ภาษาพระท่านเรียกว่า นุ่งชั่ว ห่มชั่ว พอคำว่า “ชั่ว” เข้ามาในสิ่งอะไรละก็ เป็นสิ่งที่ไม่น่าเข้าใกล้ทั้งนั้น


    ทำไม?…


    เพราะว่า พอนุ่งชั่วห่มชั่วเข้า ตั้งแต่ทำให้ขวางหูขวางตาหรือมิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายจากเพศตรงข้าม เดี๋ยวเถิดนุ่งชั่วห่มชั่วจะยั่วกิเลสกาม แล้วก็กลายเป็นขุดบ่อล่อจระเข้ เดี๋ยวตัวเองจะเดือดร้อน 


    พระภิกษุนุ่งอย่างไร?


    พระภิกษุนุ่งสบง ถ้าจะให้เรียบร้อย      ท่านบอกไว้ชัดว่า “นุ่งแล้วให้ชายผ้าครึ่งหน้าแข้ง” คือ อยู่ตรงกลางระหว่างหัวเข่ากับข้อเท้า แล้วจัดให้เรียบร้อย ขอบไม่ให้ย้วยหน้าย้วยหลัง อย่างนี้เรียกว่านุ่งเรียบร้อย


    ถ้าฟังอย่างนี้ พวกเราอาจยังนึกไม่ออก ลองนึกถึงเวลาอยู่บ้าน คือที่เป็นปัญหาอยู่   ขณะนี้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิง จะตัดผ้าถุงก็ดี  จะตัดกระโปรงก็ดี ควรจะยาวแค่ไหน ถ้าบอกว่าให้ยาวครึ่งหน้าแข้ง หลายคนจะหน้าเบ้    เชยแหลก แต่จริง ๆ ถูกต้องที่สุด ชุดมินิ   ตลอดจนชุดที่ยกขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามลำดับ     จากพ้นครึ่งหน้าแข้งขึ้นมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกว่านุ่งชั่วหมด ทำไมล่ะ ถ้าเป็นคุณผู้หญิงนี่ล่อกิเลสกาม ขุดบ่อล่อจระเข้ เดี๋ยวเถิดจะถูกคาบเอาไป เจ้าจระเข้มันจ้องอยู่ เดี๋ยวขย้ำเสร็จ


    เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะให้ตัวเองปลอดภัยพยายามเถิด กระโปรงของเรา ผ้าถุงของเรา กางเกงของเรา ถ้าจะให้ปลอดภัยจริง ๆ พยายามดึงลงมาให้ถึงครึ่งหน้าแข้ง มิฉะนั้น  จะกลายเป็นนุ่งชั่ว ขนาดพระภิกษุท่านยังต้อง  ระวังเลย


    เคยนึกบ้างไหม ถ้าพระภิกษุนุ่งสบงแค่  หัวเข่าจะเป็นอย่างไร ขนาดพระภิกษุเป็นผู้ชาย นุ่งสบงแค่หัวเข่าดูเผิน ๆ ไม่น่าเสียหาย แต่ว่าจริง ๆ แล้วเสียหาย เพราะว่าไม่น่าดู ขนหน้าแข้งยาวเป็นคืบเชียว ออกมาในลักษณะน่ารังเกียจ เพราะเป็นผู้ชาย แต่ผู้หญิงบางคนก็น่ารังเกียจเหมือนกัน ขาก็ลีบ ๆ แล้วยังอุตส่าห์นุ่งมินิ นุ่งไมโคร แต่ถ้าขาสวย ๆ ไปนุ่งเข้า นั่นยั่วยุกามารมณ์ ขุดบ่อล่อจระเข้ บางทียังแปลกใจว่าออกมาจากบ้านได้เป็นวัน ๆ หลุดปากจระเข้มาได้อย่างไร กลับบ้านไปดูเสีย กระโปรงของเรา กางเกงของเรา ที่ยังไม่ถึงครึ่งหน้าแข้ง พยายามดึงลงมาให้ถึงเถิด


    บางคนอาจจะค้อนแล้วประชดว่า ให้   หลวงพ่อเชยไปองค์เดียวเถิด อย่ามาดึงหนูเชยไปด้วยเลย ชักไม่ถูกใจ แต่ลูกเอ๊ย…นี่ถูกต้องที่สุดแล้ว กลับไปทำให้ดี มิฉะนั้นมันล่อแหลม อย่าไปนุ่งเลย อันตราย พระภิกษุเป็นผู้ชาย ท่านยังต้องนุ่งสบงครึ่งหน้าแข้งเลย 


    การห่ม สำหรับธรรมเนียมการห่มจีวรของพระภิกษุก็เหมือนกัน ถ้ายาวเกินไปจะกรอมเท้า ลากโคลน ถ้าสั้นเกินไปก็ไม่สวย การห่มของพระภิกษุยังมีธรรมเนียมอีก เคยมีคนบอกว่า   มีเด็กมาถาม “ทำไมพระไทยมีหลายก๊กหลายเหล่าเหลือเกิน” คือ บางองค์ห่มคลุมไหล่เดียว ปล่อยไหล่อีกข้างไว้ บางองค์ก็ห่มคลุมหมด สองไหล่ บางองค์ห่มคลุมไหล่ข้างเดียวแล้วมีผ้ารัดอก นี่ชุดอะไร นิกายไหน เด็กไม่รู้ก็ถาม แล้วผู้ใหญ่มาวัดเป็นปี ๆ ตอบไม่ได้อีก หลวงพ่อ   ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าผู้ใหญ่ก็ไม่รู้เหมือนกัน 


    การห่มจีวรของพระภิกษุมีหลายแบบ แต่ละแบบใช้ในโอกาสต่าง ๆ กัน ไม่เกี่ยวกับนิกายหรือยุคสมัยใด ๆ ทั้งสิ้น


    แบบที่ ๑ เรียกว่า ห่มลดไหล่ เป็นการห่ม นอกพิธีการขณะอยู่ในวัด ถือเหมือนว่าอยู่บ้านตนเอง ก็ห่มพอสบาย ๆ คือ ห่มให้คลุมไหล่ซ้าย แขนซ้าย จนถึงข้อศอก ถ้าห่มคลุมหมดทั้งสองไหล่เดี๋ยวจะร้อนไป จึงปล่อยให้ได้ลม สักหน่อยทางด้านขวา และเผื่อจะหยิบข้าว หยิบของอะไรจะได้ถนัด ห่มอย่างนี้บางทีก็เรียกห่มเฉวียงบ่า


    ถ้าเปรียบกับฆราวาส การห่มลดไหล่ ก็เสมือนกับการแต่งตัวชุดอยู่บ้าน คือ นุ่งห่ม แบบหลวม ๆ ยืน-เดิน-นั่ง-นอนจะได้สบาย ๆ ทำงานก็คล่องตัว


    แบบที่ ๒ เรียกว่า ห่มคลุม คือ ต้องห่มคลุมให้มิดหมดทั้ง ๒ ไหล่ คลุมจนกระทั่ง     ไม่เห็นหลุมคอหรือไหปลาร้าของเรา ถ้าปล่อยให้โผล่ออกมาเมื่อไรถือว่าห่มไม่เรียบร้อย ยิ่งกว่านั้นยังต้องจีบม้วนเก็บชายให้เรียบร้อย ไม่ใช่สักแต่ว่าพัน ๆ เอา การห่มคลุมใช้ในโอกาสที่ออกไปนอกวัด 


    แบบที่ ๓ เรียกว่า ห่มดอง เป็นการห่มที่รัดกุมทะมัดทะแมงมาก คือ ห่มคลุมไหล่ซ้ายจนมาถึงปลายข้อศอก เปิดแขนขวา โดยปลายจีวรอยู่ใต้รักแร้ และพาดทับไหล่ซ้ายซึ่งมี      ผ้าสังฆาฏิพาดเฉียงยาวลงมาที่กลางอกทับไหล่ซ้ายอีกทีหนึ่ง และผ้ารัดอกรัดอยู่เหนือเอว     ผูกขวาทับซ้ายและม้วนเป็นดอกบัว ใช้ห่ม   ขณะประกอบพิธีกรรมของสงฆ์ภายในวัด เช่น ในพิธีบวช ฟังสวดปาฏิโมกข์ เป็นต้น และในพระวินัยก็กำหนดให้พระธุดงค์ห่มจีวรแบบห่มดอง


    การห่มจีวรขณะอยู่วัด แม้ห่มคลุมไหล่ ข้างเดียว ถือความสะดวกสบายพอสมควร ถึงอย่างนั้นก็ต้องให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้ย้วยหน้าย้วยหลัง คือ ให้ชายจีวรที่ห่มต่ำกว่าชายสบง ที่นุ่งเล็กน้อย และไม่ห่มเสียยาวย้วยลงไป   ลากดิน ไม่สั้นเต่อ ๆ ลอยเริดขึ้นมาจนเห็นสบง


    โดยย่อ การนุ่งเบื้องบนจะต้องปิดสะดือ เบื้องล่างจะต้องปิดเข่าลงมาครึ่งแข้ง การห่มต้องทำมุมผ้าทั้งสองให้เสมอกัน และต้องไม่ปล่อยให้ผ้าเลื้อยหน้าเลื้อยหลัง


    จากธรรมเนียมของพระภิกษุ ภิกษุณี กลายมาเป็นธรรมเนียมการนุ่งผ้าถุงของ      หญิงไทย “ตั้งแต่โบราณมาล้วนนุ่งกันครึ่ง   หน้าแข้งทั้งนั้น” เพราะฉะนั้นคดีข่มขืนในสมัย    ปู่ย่าตายายของเราจึงไม่ค่อยมี


    คนเราเริ่มเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ ๑๕-๑๖ ปี เรื่อยมา เมื่อเริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ควรพยายามนุ่งห่มให้สุภาพตามพระภิกษุ แม้เด็กเล็ก ๆ     ก็เช่นกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง จะให้มานุ่งกระโปรงสั้นฟู่ ๆ ฟ่า ๆ เพราะคิดว่าคงไม่เป็นไร ก็ขอเตือนว่าไม่สมควร เพราะจะเพาะนิสัยชอบนุ่งชั่วห่มชั่ว และเหมือนกับช่วยเร่งให้เด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วเกินวัย


    การเร่งให้เด็กมีร่างกายเติบโต สุขภาพพลานามัยแข็งแรงนั้นดีแล้ว แต่การเร่งให้เกิดความรู้สึกเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว ๆ กลับไม่ดี ก่อนจะอธิบายสาเหตุ ขอเท้าความหลังประกอบสักหน่อย


    หลวงพ่อเกิดและโตในชนบท สมัยนั้น     น้ำก๊อก น้ำประปาไม่มีใช้ จะอาบน้ำแต่ละที   ก็ต้องไปอาบที่แม่น้ำ ขออภัยเถิด ถอดเสื้อ     ถอดกางเกงได้ก็กระโดดน้ำเล่นกันตูม ๆ     สนุกดี อย่างที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เราเห็นกัน      ทุกวันนี้แหละ แก้ผ้ากระโดดกันมาจนกระทั่งอายุ ๑๔ ปี พอเริ่มจะเข้าอายุ ๑๕ ชักอาย จึงนุ่งผ้าขาวม้าลงมาเล่นน้ำ


    เท่านั้นแหละได้เรื่อง คุณป้าท่านผ่านมาเห็นเข้า (ขณะนี้ถ้าคุณป้ายังมีชีวิตอยู่ ขาดอีก ปีสองปีอายุคงครบ ๑๐๐ ปีแล้ว) ท่านร้อง เอะอะขึ้นมาทีเดียว ท่านว่า…


    “โอ๊ย…ไอ้เด็กเดี๋ยวนี้ทำไมมันเป็นหนุ่ม เป็นสาวกันเร็วจัง ดัดจริตเหลือเกิน ตอนป้าอายุ ๑๘-๑๙ ยังแก้ผ้าวิ่งเล่นกันเป็นหมู่ โดดน้ำ    กันตูม ๆ ไม่เห็นต้องวุ่นวายเรื่องผ้าเรื่องผ่อน…” (เรานุ่งผ้าเล่นน้ำกลับถูกหาว่าดัดจริตเสียนี่…)


    ฟังคุณป้าพูดตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไร  ต่อมาก่อนจะบวชได้อ่านบันทึกของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพครั้งเสด็จภาคใต้ พบข้อความทำนองเดียวกับที่ป้าพูดเข้าอีก ท่านบันทึกว่า


    “…นั่งเรือไปภาคใต้ ตรวจตามจังหวัด   ต่าง ๆ ได้พบว่า ในชนบทหลาย ๆ แห่ง เด็ก ๆ ทั้งหญิงทั้งชายอายุตั้งแต่ ๑๙-๒๐ แล้ว ยัง      แก้ผ้าเล่นตี่จับกันบ้าง เล่นตากระฉูดกันบ้าง เห็นแล้วก็รู้สึกแปลกตาดี…” 


    ครั้นตอนใกล้ ๆ จะบวช หลวงพ่อพลิกพระไตรปิฎกดูพบข้อความตอนหนึ่งบอกว่า


    “นับตั้งแต่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพาน   ไปแล้ว ทุก ๆ ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะลดลง ๑ ปี”


    อายุเฉลี่ยของมนุษย์ในสมัยพุทธกาลนั้น ๑๐๐ ปี จึงจะตาย เพราะฉะนั้น พ.ศ. ๑๐๐ อายุเฉลี่ยของมนุษย์จะลดลงเหลือ ๙๙ ปี พ.ศ. ๒๐๐ จะลดลงเหลือ ๙๘ ปี พ.ศ. ๒๐๐๐ อายุเฉลี่ยของมนุษย์ทั้งโลกก็จะลดเหลือ ๘๐ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ อายุเฉลี่ยก็เหลือ ๗๕ ปี 


    นี่เราอยู่ช่วงอายุเฉลี่ย ๗๕ ปี ต่อไปก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดอายุของมนุษย์ทั้งโลกโดยเฉลี่ยก็จะเหลือเพียง ๑๐ ปี เป็นอย่างมาก คือ มีอายุพอ ๆ กับ หมู หมา กา ไก่


    เมื่อถึงยุคนั้น มนุษย์ก็จะมีสภาพคล้ายสัตว์ เป็นกลียุค พ่อ-แม่ก็ฆ่ากันได้ ลูกก็ฆ่าพ่อได้       พ่อก็ฆ่าลูกได้ จับพลัดจับผลูลูกก็อาจไปคว้าแม่มาทำเมีย พ่อหันไปหันมาก็ไปคว้าเอาลูกสาวตัวเองทำเมียเข้าอีก ว่ากันให้กลุ้มกลัดไปหมด 


    พออ่านถึงตรงนี้ก็เริ่มสะดุดใจ ทำไมล่ะ?…คิดดูนะเมื่อคนเราอายุเฉลี่ยทั้งโลกเพียง ๑๐ ปี จะเป็นหนุ่มเป็นสาวกันเมื่อไร แน่นอน…อายุ แค่ ๒-๓ ขวบ ก็เป็นสาวเป็นหนุ่มกันแล้ว     พวกผู้ชายพอ ๒ ขวบ ก็อ้อนพ่อแล้ว


    “พ่อ…กินเหล้ากันเถอะ พ่อ…อยากจะมีเมีย..”


    พวกผู้หญิงก็กระซิบแม่


    “แม่…หนูเหงาเหลือเกิน อยากจะมีสามี…”


    แล้วเป็นอย่างไร จะเอาเวลาที่ไหนไปศึกษาธรรมะ จะเอาอะไรเป็นหลักพิจารณาว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร พอโตขึ้นมาปั๊บก็คิดแต่จะสืบพันธุ์มีลูกมีหลาน ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดียรัจฉาน ให้ศึกษาธรรมะก็ไม่เอา วัน ๆ รู้จักแต่เรื่องทำมาหากินกับสืบพันธุ์


    ไม่ต้องดูอื่นไกล เทียบเคียงเอาจากเพื่อนรุ่นเดียวกับเรานี่แหละ เพื่อนบางคนอายุ ๑๔-๑๕ ปี ก็แต่งงานแล้ว แต่เพื่อนบางคนไปแต่งงานเอาเมื่ออายุ ๒๕-๓๐ ปีโน่น ผลที่ได้รับต่างกันอย่างไร


    คนที่แต่งงานเมื่ออายุ ๑๔-๑๕ น่ะ พอแต่งปุ๊บก็แบกภาระครอบครัวอานไปเลย พูดง่าย ๆ มุ่งแต่เรื่องทำมาหากินจนหน้าดำคร่ำเครียด โอกาสศึกษาธรรมะไม่มี ส่วนพวกที่รอไปแต่งงานอายุ ๒๕-๓๐ ปี พวกนี้มีเวลาพอ มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะไปด้วย โอกาสเจริญก้าวหน้าจึงมีมาก ฉะนั้นเรื่องวิชาการเร่งให้โตเร็วมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่ความเป็นหนุ่มเป็นสาว อย่าเร่งให้โตเร็วนัก เพราะ…


    ถ้าเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว ความขวนขวาย ที่จะศึกษาธรรมะก็หมดไป มีแต่จะหาคู่ครอง แล้วธรรมะก็มีแต่จะสูญไปจากโลกนี้ มีแต่อธรรมเข้ามาครอง เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่ยังเลี้ยงลูกเล็ก ๆ หาทางเถิดว่า ทำอย่างไรถึงจะให้ลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า แต่ว่าให้ก้าวหน้าทางวิชาการมาก ๆ ถ้าทำได้อย่างนี้ ลูกจะเจริญก้าวหน้าเป็นลูกแก้ว ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับแกล้งฆ่าลูก


    ทำอย่างไรจะให้ลูกหญิงลูกชายเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า วิธีง่าย ๆ คือ


    เอาใจใส่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของลูกให้มาก ๆ อย่าตามใจลูกนัก เพื่อความถูกต้อง เพื่อความเจริญทางด้านจิตใจ เลือกแบบให้สุภาพ สอนให้นุ่งห่มให้เรียบร้อยเข้าไว้ อะไรที่จะเร่งให้ลูกมีความรู้สึกเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วต้องรีบกำจัดเสีย นั่นแหละลูกจึงจะเอาตัวรอดได้ เป็นความชื่นอกชื่นใจของเราตราบเท่า     วัยชรา 

 


(อ่านต่อฉบับหน้า)

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล