ฉบับที่ ๑๖๓ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙

ข้อคิดรอบตัว : การอนุโมทนาและมุทิตาจิต

ข้อคิดรอบตัว
เรื่อง : พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ) จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC

 

การอนุโมทนาและมุทิตาจิต

การอนุโมทนาและมุทิตาจิต

คำว่า “อนุโมทนาบุญ” มีความหมายอย่างไร?

   “อนุโมทนา” คือ การที่เราแสดงความรู้สึกเห็นชอบ ชื่นชม ซาบซึ้ง ในการทำความดีของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีลเจริญสมาธิภาวนา หรือทำความดีทุกรูปแบบพอเห็นก็ขออนุโมทนาด้วย ผลที่เกิดขึ้นกับตัวเราก็คือ พอเราเห็นเขาทำความดีแล้วเราเห็นด้วย ใจเราจะใสขึ้นทำให้เป็นทางมาแห่งบุญที่เรียกว่า “ปัตตานุโมทนามัย” บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนา แค่เห็นเขาทำความดีแล้วเราอนุโมทนา เราก็ได้บุญด้วย เพราะใจเราใสขึ้นส่วนคนอื่นพอทำความดีแล้วมีคนมาเชียร์ก็รู้สึกว่าดีจังเลย เกิดกำลังใจทำความดีต่อ เรียกว่าได้ประโยชน์ทั้งผู้อนุโมทนาและได้ทั้งผู้ที่ทำความดี


การที่เรามุทิตาจิตถือเป็นการอนุโมทนาบุญอย่างหนึ่งหรือไม่?

      การอนุโมทนากับการมุทิตามีส่วนที่คล้ายคลึงกัน แต่รายละเอียดต่างกัน การอนุโมทนาก็ตามที่กล่าวไปแล้ว ส่วนมุทิตาเป็นลักษณะของการพลอยยินดีเวลาที่คนอื่นได้ดีมีสุข ประสบความสำเร็จ เช่น ได้เลื่อนตำแหน่งเลื่อนขั้น สอบได้ การอนุโมทนาใช้ตอนที่เขาทำความดี แล้วเราไปชื่นชมการกระทำความดีของเขา แต่มุทิตาเน้นที่ผลลัพธ์ที่เขาได้รับมา เช่น สอบผ่าน ได้เลื่อนสมณศักดิ์ หรือได้เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนยศ เป็นต้น


สำหรับคนที่เราไม่ชอบ เราจะวางใจร่วมยินดีกับเขาอย่างไร?

      เราจะต้องละอคติ ๔ ให้ได้ คือ ไม่ลำเอียงด้วยความรัก ความชัง ความหลง และความกลัว สำหรับกรณีนี้คือการลำเอียงด้วยความชัง เห็นคนที่เราไม่ชอบใจได้ดีก็เลยไม่ค่อยอยากอนุโมทนากับเขา อย่าไปรู้สึกอย่างนั้นเพราะการรู้สึกอย่างนั้นอันตราย จะเป็นบ่อเกิดแห่งโรคหมั่นไส้ ความอิจฉาริษยา แล้วนำไปสู่ความคิดทำลาย มันจะค่อย ๆ เกิดขึ้นไปตามลำดับ ตัวอย่างเช่น พระเทวทัต ท่านเกิดมาเป็นโอรสกษัตริย์ เป็นรัชทายาทกรุงเทวทหะเป็นพระเชษฐาของพระนางพิมพาพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมได้ ๑ พรรษา พระเทวทัตก็เสด็จออกบวชพร้อมกับชุดของพระอานนท์ พระพาหิยะ พระอนุรุทธะสละโอกาสในการครองราชสมบัติไปบวชอยู่ในป่า แสดงว่าตั้งใจจริง ศรัทธามาก บวชอยู่ ๓๒ ปี ปฏิบัติจนได้โลกียฌานสมาบัติ แปลงกายได้ เหาะได้ แต่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลปฏิบัติดีมา ๓๐ กว่าปี แต่ท่านขาดมุทิตาจิตเห็นญาติโยมมาวัด ถ้าไม่มากราบพระพุทธเจ้าก็มาถามหาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะพระอานนท์ ตลอดจนพระอุบาลีซึ่งอดีตเคยเป็นช่างตัดผมของพระเทวทัตตอนที่ยังไม่ได้บวช ดูสิเขามาหาคนอื่นหมดเลย ไม่เห็นมีใครมาถามว่า พระเทวทัตอยู่ไหน ทำไมเขาไม่เห็นความดีของเราบ้าง

      พอขาดมุทิตาจิต แทนที่จะดูว่าท่านอื่นเป็นพระอรหันต์แล้ว ตัวเรายังไม่บรรลุธรรมต้องตั้งใจปฏิบัติมากขึ้น กลับคิดจากมุมของตัวเอง พอรู้สึกไม่ชื่นชมยินดีไปด้วย ก็จะค่อย ๆ สั่งสมทีละนิด มาปะทุตอนบวชไปแล้ว ๓๒ ปี ความคิดเริ่มเพี้ยน สงสัยว่าที่ใคร ๆ ไม่มาหาเราเป็นเพราะพระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนเรา พระพุทธเจ้ายกย่องพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้ายพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก พระอุบาลีผู้เลิศทางด้านพระวินัย พระมหากัสสปะก็ยกย่องว่าเป็นเลิศทางด้านถือธุดงควัตร พระองค์ไม่เห็นยกย่องว่าพระเทวทัตเป็นเลิศอะไรเลย คนถึงไม่มาเคารพนับถือเรา ค่อย ๆ เป๋ไปทีละนิดไม่น่าเชื่อว่า อารมณ์น้อยใจทำให้ความคิดเพี้ยนไปแล้ว พอเพี้ยนปั๊บมันค่อย ๆ ต่อยอดเมล็ดพันธุ์ของความดี ถ้าทำดีก็โตเป็นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา แต่เมล็ดพันธุ์พืชที่เป็นพิษพอโตขึ้นมาก็ทำอันตรายได้เยอะเหมือนกัน

     พอความคิดเริ่มเพี้ยนก็เริ่มวางแผนจะโปรโมตตัวเอง เริ่มจากต้องมีอำนาจ คิดว่าเจ้าชายอชาตศัตรูยังหนุ่มอยู่น่าจะกล่อมให้มาเป็นพวกได้ เพราะจะต้องอาศัยอำนาจทางบ้านเมืองมาช่วย ก็เลยแปลงกายเป็นงูเข้าไปหาเจ้าชายอชาตศัตรู แล้วกลายร่างมาเป็นพระภิกษุยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหน้า เจ้าชายอชาตศัตรูคิดว่าพระรูปนี้แปลงกายได้ ไม่ธรรมดา จึงเคารพนับถือศรัทธา แล้วพระเทวทัตก็ค่อย ๆ สอนลูกให้ฆ่าพ่อ จะอาศัยอำนาจลูกที่เป็นกษัตริย์แล้วหนุนตัวเองขึ้นมา สุดท้ายไปทำอนันตริยกรรมซ้ำซ้อนหลายครั้งจนถูกธรณีสูบในที่สุด คิดได้ตอนธรณีสูบจนกระทั่งถึงคอจะยกมือไหว้พระพุทธเจ้าก็ยกไม่ขึ้น จึงเงยหน้าเอาคางบูชาพระพุทธเจ้า แล้วก็ถูกธรณีสูบมิดลงไปอเวจีมหานรกเลย

     พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่า ต่อไปภายหน้าพระเทวทัตจะตรัสรู้ธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง แสดงว่าบุญต้องไม่ธรรมดา แล้วทำไมคนบุญไม่ธรรมดาขนาดได้รับพุทธพยากรณ์จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตมาทำกรรมหนักจนถูกธรณีสูบ เป็นเพราะขาดมุทิตาจิต แล้วความคิดด้านลบเลยกำเริบ เกิดความเสียหายร้ายแรงขนาดนี้น่ากลัวมาก ฉะนั้นพวกเราอย่าไปคิดว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ เห็นใครที่เราไม่ชอบหน้าได้ดี ก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี ไม่ได้แล้ว ต้องตั้งใจปรับปรุงแก้ไขนั่งสมาธิให้ใจใส ๆ นึกให้เขาใส ๆ และแผ่เมตตาให้เยอะ ๆ ให้เขาสว่าง ๆ ให้เขามีความสุขความเจริญ กัดฟันทำใจหน่อย เพราะทำแล้วดีกับตัวเราเอง นึกให้เขาใสสว่าง ส่งบุญให้เขาเยอะ ๆ อนุโมทนาด้วย มุทิตาจิตกับความสำเร็จของเขาด้วย


การมุทิตาหรืออนุโมทนาบุญมีผลต่อสภาวะใจของเราใช่ไหม?

     มีผลมาก อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เวลาเห็นใครทำความดี เราอนุโมทนากับการกระทำความดีของเขา ชื่นชม ซาบซึ้ง เห็นด้วย เห็นชอบ ให้กำลังใจเขา อย่างนี้ใจเราก็จะผ่องใสไปด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญนั้นด้วย แต่ถ้าเห็นใครทำความดีแล้วไม่รู้ว่าทำไปทำไม ทำบุญมากเกินไป สิ้นเปลือง หลงบุญ อย่างนี้ใจจะขุ่นมัว ไม่ใช่ว่าไม่ได้บุญอย่างเดียว แต่ได้บาปด้วย ถ้าคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่ได้อนุโมทนาก็กลาง ๆ บุญก็ไม่ได้ บาปก็ไม่เกิด แต่ถ้าไปขวางคนที่เขาทำความดี ไปบั่นทอนกำลังใจเขาตอนนั้นใจตัวเองจะขุ่นมัว บาปจะเกิดขึ้นมาในใจ เรียกว่าหาบาปมาใส่ตัวแท้ ๆ ไม่คุ้มเลยอย่าทำ


การมุทิตาจิตแก่กันจะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจริงหรือไม่?

     จริงแน่นอน เราลองนึกดูง่าย ๆ ก็เห็นแล้วว่า ถ้าในสังคมไหนเห็นคนทำความดีแล้วใคร ๆ ก็ชื่นชมยกย่อง คนก็จะมีกำลังใจทำความดีมากขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันคนอื่น ๆ ในสังคมก็อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง

      สังคมไหนคนยกย่องชื่นชมคนทำความดีในด้านใด เทรนด์สังคมก็จะพุ่งไปทางด้านนั้น อย่างเช่น ถ้าสังคมไหนชื่นชมคนที่คิดค้นประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ สร้างนวัตกรรมเก่งผู้คนในสังคมโดยเฉพาะเยาวชนก็มีแนวโน้มว่าจะพยายามขวนขวายฝึกฝนตัวเองไปเป็นนักประดิษฐ์ นักค้นคว้า สังคมไหนชื่นชมนักกีฬาคนก็จะมีแนวโน้มอยากเล่นกีฬาประเภทนั้นสังเกตดูในประเทศไทย ถ้านักกีฬาประเภทไหนไปประสบความสำเร็จมาในระดับประเทศ เช่น ไปชนะแบดมินตันมา กีฬาแบดมินตันฮิตเลยพอไปชนะวอลเลย์บอลมา เล่นวอลเลย์บอลกันใหญ่เลย มันเป็นการปลุกกระแส เพราะว่าพอสังคมชื่นชมยกย่องด้านใด คนอื่นก็มีแนวโน้มอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง

      ถ้าเราไปดูในประเทศที่เจริญ ๆ เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป เราจะพบว่า เขามีอนุสาวรีย์เยอะเลย ทั้งอนุสาวรีย์ ทั้งพิพิธภัณฑ์ในระดับจังหวัดก็มี ระดับอำเภอก็มี ระดับตำบลก็มี บางหมู่บ้านยังมีอนุสาวรีย์ในหมู่บ้านด้วย แล้วเขาจะเล่าให้ฟังว่าเป็นอนุสาวรีย์ของคนในหมู่บ้านนี้ที่ไปประสบความสำเร็จอย่างนั้น ๆ แล้วแต่ไปประสบความสำเร็จด้านไหนเขาเอามาชื่นชมยกย่อง ทำให้เยาวชนในหมู่บ้านนั้นเกิดแรงบันดาลใจว่า คน ๆ นี้เกิดมาในหมู่บ้านเรา สิ่งแวดล้อมเดียวกับเรายังทำอย่างนี้ได้ เกิดบุคคลต้นแบบว่าอนาคตเราจะต้องประสบความสำเร็จบ้าง แต่ในประเทศไทยมีอนุสาวรีย์ในระดับประเทศอยู่ไม่กี่แห่ง ระดับตำบลและหมู่บ้านไม่มี สาเหตุเพราะถ้าเทียบเรื่องพรหมวิหารธรรม เรื่องเมตตา คนไทยเราก็อยากให้ทุกคนมีความสุขกรุณา ก็มีความกรุณาอยากจะช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์นั้น ตรงนี้คนไทยดี แต่ว่า มุทิตา คือ เวลาเห็นใครเขาประสบความสำเร็จแล้วพลอยยินดีด้วยนั้น คนไทยยังหย่อนไปหน่อยถ้าเป็นคนไกล ๆ ตัวยังพอได้ เช่น เวลานักกีฬาประสบความสำเร็จ เราก็มุทิตาชื่นชมยกย่องกัน แต่ถ้าเป็นคนใกล้ตัวบางทีก็รู้สึกว่าจะแน่สักแค่ไหน ฉันก็แน่เหมือนกัน คือมุทิตาจิตยังหย่อน เลยเกิดคำ ๆ หนึ่งในประเทศไทย คือหมั่นไส้ เกินหน้าเรามากเลยหมั่นไส้ ผลก็คือสังคมไทยกลายเป็นสังคมทอนกำลัง เห็นใครทำอะไรดี ๆ เด่น ๆ มากเข้า อยากจะดึงขาเขาลงมา หมั่นไส้เขา ทำให้บุคคลต้นแบบเรามีน้อยเกินไป โดยเฉพาะถ้าเป็นสามัญชนด้วยกันแล้วใครจะไปทำอนุสาวรีย์ให้ คนก็ยากจะยอมรับตรงนี้ได้ อนุสาวรีย์จึงมีอยู่ไม่กี่แห่งมิหนำซ้ำทำแล้วเราก็ไม่ค่อยสนใจด้วย

       อย่างอนุสาวรีย์หลักสี่สร้างเพื่ออะไรรู้ไหม พูดถึงหลักสี่ใคร ๆ ก็รู้จัก แต่เราไม่ค่อยรู้เรื่องอนุสาวรีย์ว่ามีความเป็นมาอย่างไรความจริงก็คือ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปีหนึ่ง เกิดกบฏบวรเดชที่ยกกำลังเข้ามาจะล้มคณะราษฎร์ แล้วทางคณะราษฎร์ก็จัดกำลังทัพไปสู้ นำโดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จนกระทั่งปราบกบฏบวรเดชได้ รบกันบริเวณบางเขนไล่ไปถึงหลักสี่ เขาจึงสร้างอนุสาวรีย์ที่หลักสี่ไว้เป็นอนุสรณ์ ระลึกถึงวีรกรรมในการปราบกบฏบวรเดช

      ขนาดอนุสาวรีย์ใหญ่ ๆ เรายังไม่ค่อยรู้ความเป็นมา อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสร้างทำไมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็มีพานรัฐธรรมนูญอยู่แต่ความหมายไม่ค่อยรู้เท่าไร เพราะว่าเราไม่ค่อยใส่ใจในสิ่งเหล่านี้มากนัก คนไทยยังหย่อนมุทิตาไปนิดหนึ่ง ถ้าคนไทยเติมพรหมวิหารธรรมให้ครบละก็ เราจะพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วเพราะคนไทยเรามีหลักธรรมในพระพุทธศาสนายึดเหนี่ยวใจแต่โบราณมา ทำให้คนไทยมีใจที่ประณีต ถ้าตั้งใจจะทำอะไรดีจริง ๆ แล้วเราทำได้ดีไม่แพ้ชาติไหนในโลก แต่ว่าเรายังสบาย ๆ ไปหน่อย ความทุ่มเทวิริยอุตสาหะยังหย่อนไปนิด ปรับบางจุดหน่อยเดียวเราจะไปฉิวเลย เริ่มต้นจากมุทิตาจิตให้ได้ก่อน แล้วประเทศก็จะเจริญก้าวหน้า เราเองก็จะอยู่ดีมีสุขด้วยใจผ่องใส ได้บุญได้กุศลด้วย


อนุโมทนาบุญในใจกับได้พูดคุยอนุโมทนาสาธุ อานิสงส์ต่างกันอย่างไร?

    เวลาเห็นใครเขาทำความดี เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ในทีวี วิทยุ หรือเว็บไซต์ก็ตามแล้วเรานึกชื่นชมยินดีกับเขาไปด้วย เราก็ได้บุญแค่นึกด้วยใจก็เป็นมโนกรรม บุญเกิดแล้ว ยิ่งเป็นคนรู้จัก เจอกันก็ยกมือสาธุขออนุโมทนาด้วยนะ อย่างนี้ถือเป็นวจีกรรม บุญจะเกิดเพิ่มขึ้น เพราะว่าเมื่อเอ่ยปากออกมาจะมีความตั้งใจมากกว่าอยู่ในใจเฉย ๆ แล้วผู้ที่ทำความดีก็จะเกิดกำลังใจที่จะทำความดีมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าเราได้เจอตัวและได้เอ่ยปากอนุโมทนาด้วย บุญที่เกิดขึ้นกับเราก็จะมากกว่าอนุโมทนาในใจ แล้วถ้าได้แสดงด้วยการกระทำ เช่น หาอะไรไปแสดงความยินดีในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ช่อดอกไม้ การ์ด ฯลฯ แบบนี้ถือว่าเป็นกายกรรม ยิ่งไดบุ้ญมากขึ้นอีกเพราะว่าการจะลงมือทำอะไรบางอย่างให้เขาเราก็ต้องตั้งใจมากกว่าการเอ่ยปากธรรมดาบุญก็จะได้มากขึ้นตามส่วน คนที่ทำความดีก็มีกำลังใจทำความดีต่อไป เราเองก็ได้บุญแล้วในแง่สังคมโดยภาพรวม เมื่อทุกคนมีมุทิตาจิตยกย่องการทำความดี เทรนด์สังคมจะหันไปในทางที่ถูกต้องดีงาม แล้วสังคมเราก็จะพัฒนาก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล