ฉบับที่ ๑๐ ประจำเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

ความสำคัญของวิชชาธรรมกาย

ค ว า ม ส ำ คั ญ ข อ ง วิ ช ช า ธ ร ร ม ก า ย

  บนเส้นทางการสร้างบารมี ที่จะไปถึงที่สุดแห่งธรรมนั้น เป็นเส้นทางอันยาวไกล เปรียบเสมือนการเกิดทางข้ามมหาสมุทรอันไกลโพ้นที่มองไม่เห็นฝั่ง ในระหว่างการ เดินทาง เราเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องเจอทุกข์ภัยในวัฏสงสาร ต้องเจอกับความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความทารุณโหดร้ายที่เกิดขึ้นตามกฎแห่งกรรม และต้องใช้วิบากกรรม ที่เราทำไปเพราะความไม่รู้ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า หลายภพชาติ จนดูเหมือนหาที่สุดแห่ง ทุกข์นั้นไม่ได้


      แต่มวลมนุษยชาติก็ยังโชคดีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จบังเกิดขึ้น ยุค แล้วยุคเล่า แม้ยุคใดที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้า ก็ยังปรากฏมีพระปัจเจกพุทธเจ้า คอยเป็นเนื้อนาบุญให้ชาวโลก และทำให้ยืนยันพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า โลกจะไม่ ว่างเว้นจากพระอรหันต์ตราบใดที่ยังมีผู้ประพฤติปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ 


ซึ่งนับตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนปัจจุบัน แม้บางยุคบางสมัย พระพุทธศาสนา ดูเหมือนจะลางเลือนไปจากสังคมในบางแคว้นบางประเทศ แต่สายใยแห่งธรรมก็ ยังคงสืบทอดเรื่อยมาไม่เคยขาด โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นศาสนทายาท ได้ทำ หน้าที่ทรงจำคำสอนและเผื่อแผ่ไปยังมหาชนให้ยึดมั่นในเส้นทางสายกลาง และแม้ บางยุคจะมากด้วยพระภิกษุผู้ทรงปริยัติ พระภิกษุผู้มุ่งทางปฏิบัติจะลดลง แต่ พระธรรมคำสอนที่จารึกไว้เป็นคัมภีร์อันรจนาจากคณาจารย์ผู้เป็นนักปราชญ์ ก็ยัง เป็นหลักฐานให้อนุชนได้ศึกษาและนำมาประพฤติปฏิบัติตาม

แต่กระนั้น หากการศึกษาพระปริยัติแต่ขาดการปฏิบัติ ก็ยากที่จะทำให้การ เผยแผ่พระธรรมคำสอนมั่นคงและสมบูรณ์ไม่ เพราะผู้ใฝ่ในธรรมก็ย่อมหวังจะ ได้ลิ้มรสแห่งธรรม มิใช่เพียงการอ่าน ท่อง หรือชื่นชมในความงดงามแห่งภาษา หนังสือเท่านั้น การบังเกิดขึ้นของหลวงปู่วัดปากน้ำ(พระมงคลเทพมุนี) เมื่อร้อย กว่าปีที่ผ่านมา จึงเป็นการทำให้เกิดความสมบูรณ์สอดคล้องกันอย่างอัศจรรย์ของ ธรรมปฏิบัติและพระปริยัติธรรม เพราะยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ธรรมแห่งองค์ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สามารถปฏิบัติได้จริงและเกิดประโยชน์จริง นอกจากนั้นยังสามารถทั้งรู้ทั้งเห็นได้จริง และไม่เพียงเท่านั้น การเข้าถึงธรรมด้วย การทั้งรู้และทั้งเห็นธรรมนั้น ยังนำไปสู่การศึกษาค้นคว้าอันลุ่มลึกของธรรมปฏิบัติอย่างละเอียดอ่อน อันเป็นสภาวะที่เหนือจากการอธิบายด้วยคำพูด ภาษา หนังสือ หรือด้วยหลักตรรกวิทยา

การศึกษาค้นคว้าธรรมะอันลุ่มลึกเกินกว่าจินตมยปัญญา ที่นักคิดนักจำเกินจะเข้าถึงได้นั้น จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายให้ผู้ศึกษาให้พิสูจน์ และแน่นอนที่สุดว่า การพิสูจน์ นั้น จักต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติตามหลักพุทธศาสตร์ หาใช่ศาสตร์อื่นๆ นอกจาก นั้นผู้จะเข้าพิสูจน์จักต้องปล่อยวางความเชื่อเดิมของตนไว้ชั่วคราวทำใจให้บริสุทธิ์ เพื่อพิสูจน์สิ่งที่เป็นธรรมที่สัมผัสได้ด้วยการรู้เห็นด้วยตนเอง
 

    การศึกษาธรรมชั้นสูงที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่าน ศึกษาและถ่ายทอดแก่ศิษยานุศิษย์นั้น มักเรียกกันติดปากว่า"การทำวิชชา" ซึ่ง หากกล่าวเรื่องนี้แล้ว คนทั่วไปอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่หากได้ทำความรู้จักคุ้นเคย บ้างแล้ว จะทราบว่าคุณแห่งพระพุทธธรรมคำสอนนั้น มีมากมายเกินกว่าความรู้ ที่เคยได้อ่านได้ท่องมา 

      การทำวิชชา เป็นธรรมขั้นสูงผู้ที่จะสามารถทำได้ต้องปฏิบัติธรรมจน เข้าถึงพระธรรมกายภายในตนอย่างมั่นคงชัดแจ้ง และแม้จะเป็นสิ่งที่ยาก แต่ก็ มิใช่สิ่งที่เกินความสามารถที่มนุษย์จะเข้าถึง หากมีความเพียรและปฏิบัติอย่าง ถูกต้องตามหลักวิชชา
ดังนั้นในยุคสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ จึงปรากฏว่า "มีการ ทำวิชชา" ที่สามารถค้นคว้าสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งถึงคุณแห่งพระรัตนตรัย ดังปรากฏ ความในพระธรรมเทศนาของท่าน เช่น 

๑. เทศนาเรื่อง ปัพพโตปมคาถา แสดงเมื่อ ๒๘ มีนาคม ๒๔๙๗ 
      "เรื่องความแก่ ความตาย ไม่มีทางสู้ ไม่มีทางแก้ทีเดียว จะแก้อย่างไร ก็แก้ไม่ได้ แต่ว่ามีแก้อยู่ที่วัดปากน้ำ วิชชาธรรมกายไปเห็นวิชชาเหล่านี้หมด ไปเห็นความแก่ ความตาย เวลานี้เขาว่าสมภารวัดปากน้ำกำลังสู้กับความแก่ ความตาย      สู้จริงๆ ผู้เทศน์นี้แหละ ๒๒ ปี ๘ เดือนเศษแล้ว ๘ เดือน ๙ วัน วันนี้แล้ว วินาทีนี้ไม่ได้หยุด เพียรสู้ความแก่ความตาย ไม่ได้ถอยกันเลย" อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า "ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา อยู่วัดปากน้ำก็จริง แต่ไม่รู้ว่าสมภารวัดปากน้ำ ทำอะไรนี่อัศจรรย์นัก อยู่ด้วยกันตั้งหลายสิบปี อยู่วัดปากน้ำ ๒๒ ปี ๘ เดือน ๙ วัน วันนี้ไม่มีใครรู้ว่าทำอะไร รู้แต่นิดๆ หน่อยๆ รู้จริงจังลงไปไม่มี มีก็ผู้ทำวิชชาด้วยกัน รู้จริงเห็นจริงกันลงไปทีเดียว ทำอยู่ทุกวันๆ นั่นละก็รู้จริง เห็นจริง"

๒. เทศนาเรื่อง ขันธปริตร แสดงเมื่อ ๖ มิถุนายน ๒๔๙๗
      "จะให้เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จนกระทั่งนับอสงไขยชั้นไม่ ถ้วนนี้ วัดปากน้ำได้พยายามทำอยู่แล้ว ๒๒ ปี เดือน ๘ ข้างหน้านี้ กลางเดือน ๘ ครบ ๒๓ ปี เต็มเดือนเต็มวันทีเดียว นี้ต้องการ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ อย่างนี้หมด"

๓. เทศนาเรื่อง สติปัฏฐานสูตร แสดงเมื่อ ๓ ตุลาคม ๒๔๙๗
      " หมดกายพระอรหัต มีกายของพระพุทธเจ้าก็ได้ กายในกาย กายในกายๆๆๆๆ มันอย่างนี้แหละ ผู้เทศน์นี้ได้ทำวิชชานี้ ๒๓ ปี ออกพรรษานี้ ก็ ๓ เดือนเต็มละ ยัง ไม่หมด กายละเอียดเหล่านี้เลย ไม่ได้ถอยกลับเลย ยังไม่หมด กายละเอียดเหล่านี้เลย ยังไม่ถึงที่สุด"
๔. เทศนาเรื่อง อริยทรัพย์ แสดงเมื่อ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗
      "ที่สุดอยู่ที่ไหนละ ผู้เทศน์ยังเรียนวิชชาไปไม่ถึง ยังไม่ถึงที่สุด ๒๓ ปี ๔ เดือน เศษแล้ว ยังไม่ถึงที่สุดเลย ถ้าสุดเวลาใด ถึงที่สุดของการรักษาแล้วละก็ มนุษย์เลิกแก่ เลิกตายทีเดียว นี่กำลังพยายามทำไป"
๕. เทศนาเรื่อง พุทธอุทานคาถา แสดงเมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๗
      "ผู้เทศน์นี้สอน เป็นคนสอนเอง ๒๓ ปี ๕ เดือนนี้ ได้ทำไปอย่างนี้แหละ ไม่ถอย หลังเลย ยังไม่สุดกายของตัวเอง"

ว ัน ป ร ะ ก า ศ ศึ ก

จากหลักฐานในพระธรรมเทศนา พอจะคำนวณช่วงเวลาที่หลวงปู่เริ่ม ทำวิชชา ได้ดังนี้ ในเทศนาเรื่อง ขันธปริตร ท่านบอกว่า กลางเดือน ๘ ครบ ๒๓ ปีเต็มเดือนเต็มวันทีเดียว
      วันเข้าพรรษา คือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันต่อจากวันอาสาฬหบูชา ซึ่งคือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
      การนับเดือนนั้นจะเริ่มจากขึ้น ๑ ค่ำ ไปจนถึงแรม ๑๔, ๑๕ ค่ำ จึงหมดเดือน กลางเดือน ๘ ที่หลวงปู่พูดถึงจึงเป็นวันเข้าพรรษา
      ถ้าคิดว่ากลางเดือน ๘ คือวันเข้าพรรษา วันนั้นก็จะเป็นวันเริ่มทำวิชชาของ หลวงปู่วัดปากน้ำ
      ในเทศนาเรื่องมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านบอกว่า ๒๓ ปี ออกพรรษานี้ก็ ๓ เดือน เต็มละ ซึ่งก็คือวันเข้าพรรษา เป็นวันที่หลวงปู่เริ่มทำวิชชา เพราะเข้าพรรษาเริ่มแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ และออกพรรษาเมื่อแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ รวมระยะเวลา ๓ เดือนเต็ม จึงพอจะคำนวณได้ว่า วันเข้าพรรษาของปี พ.ศ.๒๔๗๔ ซึ่งตรงกับเดือน กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ เป็นวันที่หลวงปู่วัดปากน้ำ ประกาศศึกเริ่มทำวิชชา
      วันที่เริ่มทำวิชชาเป็นวันสำคัญยิ่ง เป็นวันที่หลวงปู่วัดปากน้ำเริ่มรวมทีมสู้อย่างจริงจัง ซึ่งจะแบ่งผู้ทำวิชชา เป็น ๒ ผลัด ๆ ละ ๖ ชั่วโมง นั่งสมาธิติดต่อกัน ๖ ชั่วโมง พัก ๖ ชั่วโมง แล้วมานั่งอีก ๖ ชั่วโมง พัก ๖ ชั่วโมง อย่างนี้ เหมือนการทำงานเป็นกะของโรงงานท่านจึงเรียกว่าโรงงานทำวิชชา ปฏิบัติงานทางจิตนี้ ๒๔ ชั่วโมง ไม่ได้หยุดกันเลย
      ดังนั้น ในเมื่อการทำวิชชาเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยากเช่นนี้ ผู้ที่สนับสนุนและสร้างเหตุให้สิ่งที่ยาก และสิ่งที่สำคัญสูงสุดบังเกิดขึ้นได้ง่ายนั้น ก็จะได้รับอานิสงส์ คือ เราจะได้สิ่งต่างๆ ที่เราปรารถนาได้อย่างง่ายๆ คุณยายอาจารย์ท่านเคยกล่าวถึงสมัยที่ท่านสร้างบ้านธรรมประสิทธิ์ไว้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมว่า แม้ตะปูตัวเดียวหรือไม้สักแผ่น ก็ได้บุญเทียบได้กับฝนตกมาทั่วจักรวาล       ดังนั้นการให้การสนับสนุนการบังเกิดขึ้นของการทำวิชชา ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะได้ผลบุญที่เกิดขึ้นกับตัวของเราเองขนาดไหน เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างเหตุให้ตัวเราหลุดพ้นจากกองทุกข์แล้ว ยังมีเจตนาบริสุทธิ์ที่กว้างใหญ่ ปรารถนาให้สรรพสัตว์และมวลมนุษย์ทั้งหมดหลุดพ้นจากกองทุกข์นั้นด้วย ซึ่งก็คือวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญที่สุด ที่เรายอมเหนื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในหนทางการสร้างบารมีไปถึงที่สุดแห่งธรรม

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล