ฉบับที่ ๑๗๒ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

สรรเสริญพุทธคุณ บุญส่งถึงนิพพาน

อานิสงส์แห่งบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙  ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์

  สรรเสริญพุทธคุณ บุญส่งถึงนิพพาน,เนื้อนาใน,อยู่ในบุญ


สรรเสริญพุทธคุณ บุญส่งถึงนิพพาน

“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
พระองค์เท่านั้นเป็นที่พึ่งของบุคคลผู้ว่ายอยู่ในห้วงน้ำ
เป็นนาถะของผู้ไม่มีเผ่าพันธุ์ เป็นสรณะของผู้ที่ยังมีภัย
และเป็นผู้นำของผู้ต้องการความหลุดพ้น”

(อธิมุตตเถรคาถา)

      คนส่วนใหญ่มักวัดความสำเร็จกันที่ ความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ มีความสำเร็จทางการศึกษา มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น และมีหน้าที่การงานมั่นคง เมื่อต่างคนต่างคิดกันเช่นนี้ จึงทุ่มเทขวนขวายเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา แต่ความสุขและความสำเร็จอันสูงสุดในชีวิตคืออะไร อยู่ตรงไหน จะเข้าถึงได้อย่างไร กลับเป็นสิ่งที่มนุษย์น้อยคนนักที่รู้แจ้งตรงตามความเป็นจริง เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เราจึงรู้ว่าความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงนั้น เกิดจากการฝึกฝนใจให้สะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งไปจนถึงจุดที่หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย และนี่คือเครื่องวัดว่า เราได้บรรลุความสำเร็จอันสูงสุดของชีวิตอย่างแท้จริง

      มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในอธิมุตตเถร-คาถา ความว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระองค์เท่านั้นเป็นที่พึ่งของบุคคลผู้เวียนว่ายอยู่ในห้วงน้ำ เป็นนาถะของผู้ไม่มีเผ่าพันธุ์ เป็นสรณะของผู้ที่ยังมีภัย และเป็นผู้นำของผู้ต้องการความหลุดพ้น”

     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็น เอกบุรุษละมีอัจฉริยภาพ เพราะทรงประกอบด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์หลายอย่าง ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นความบริสุทธิ์ สติปัญญา มหากรุณา อีกทั้งพุทธานุภาพก็ประมาณมิได้ ทรงมีพุทธวิสัยที่เป็นอจินไตย เกินกว่าการคาดเดาของมนุษย์และเทวดา พระมหากรุณากว้างใหญ่เกินกว่ายิ่งกว่ามหาปฐพี มีพระปัญญาลึกล้ำยิ่งกว่ามหาสมุทรใด ๆ ทรงยิ่งใหญ่กว่าท้าวสักกะและมหาพรหมทั้งสิ้น เพราะทรงตรัสรู้ทุกอย่างด้วยอานุภาพแห่งพุทธญาณ ฉะนั้นการส่งใจไปถึงพระพุทธองค์ จึงเป็นการน้อมใจไปในสิ่งที่ประเสริฐที่สุด อีกทั้งการหาโอกาสเจริญพุทธานุสติ ด้วยการสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นประจำ จึงนับว่าเป็นทางมาแห่งมหากุศลที่จะทำให้เราเข้าถึงความประเสริฐ และความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เหมือนดังเรื่องที่นำมาให้ศึกษากัน ดังนี้
 

            

              ย้อนไปในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า “ปทุมุตตระ” มีพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตท่านหนึ่ง หลังจากสำเร็จการศึกษาอันเป็นหลักสูตรสำหรับพวกพราหมณ์แล้ว แทนที่จะดีใจในความสำเร็จ ท่านกลับมีปัญญาคิดสอนตนเองว่า การศึกษาที่ตนได้เล่าเรียนมานั้น ไม่สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ท่านก็ปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการต่าง ๆ จึงออกบวชเป็นดาบสประพฤติพรตพรหมจรรย์อยู่ในป่า

    ต่อมาท่านได้รับทราบข่าวอันเป็นมงคล ยิ่งว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก ท่านจึงรีบเดินทางออกจากป่า เพื่อไปกราบนมัสการพระพุทธองค์ ครั้นไปถึงที่ประทับ ก็เดินฝ่าฝูงชนที่ประชุมกันอยู่เพื่อขอเข้าไปฟังธรรม การที่พระดาบสมีโอกาสอยู่ใกล้ชิดพระพุทธองค์ ทำให้ได้เห็นลักษณะมหาบุรุษที่บริบูรณ์ ด้วยพุทธลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ด้วยความเลื่อมใส

    ศรัทธา จึงปูผ้าเปลือกไม้เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงเดินเหยียบ เมื่อดาบสเห็นว่าพระบรมศาสดาประทับยืนบนผ้าเปลือกไม้แล้ว จึงนำดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มีสีสวยงาม โปรยลงรอบ ๆ พระบาท จากนั้นก็กราบบูชาด้วยการประคองอัญชลี พร้อมกับกล่าวเป็นบทกวีสรรเสริญพระพุทธองค์ ด้วยเสียงก้องกังวานท่ามกลางพุทธบริษัทในขณะนั้นว่า

     “ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ทรงข้ามพ้นห้วงน้ำคือกิเลสได้แล้ว ทรงยังสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้น ทรงโชติช่วงด้วยแสงสว่างแห่งพระญาณ ทรงมีพระญาณอันประเสริฐสูงสุด ทรงประกาศธรรมจักรอันบวร ทรงย่ำยีพวกเหล่าเดียรถีย์ ทรงเป็นผู้กล้าหาญ เป็นผู้ชนะแล้วในสงคราม ยังแผ่นดินให้หวั่นไหว คลื่นในมหาสมุทรเมื่อกระทบฝั่งย่อมแตกจากกันฉันใด ทิฐิทั้งปวงย่อมแตกทำลายเพราะพระญาณของพระองค์ฉันนั้น

     “แหที่ถูกเหวี่ยงลงไปในสระ หมู่สัตว์ที่ติดอยู่ภายในแหย่อมถูกเบียดเบียนให้ได้รับทุกข์ทรมานฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์

 

              พวกเดียรถีย์ผู้หลงงมงาย ไม่มีสัจจะ ย่อมเป็นไปภายในข่ายพระญาณอันประเสริฐของพระองค์ฉันนั้น พระองค์เท่านั้นเป็นที่พึ่งของผู้ที่เวียนว่ายอยู่ในห้วงน้ำ เป็นนาถะของผู้ไม่มีเผ่าพันธุ์ เป็นสรณะของผู้ที่ถูกภัยคุกคาม เป็นผู้นำของผู้ต้องการความหลุดพ้น พระองค์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาหาผู้เสมอเหมือนมิได้ เป็นผู้สม่ำเสมอ สงบระงับแล้ว เป็นผู้คงที่มีชัยชนะสมบูรณ์ เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตปราศจากความลุ่มหลง ไม่ทรงหวั่นไหว ไม่มีความสงสัย ทรงคลายโทสะแล้ว สะอาด ไม่มีมลทิน ล่วงธรรมเครื่องข้องทั้งปวง กำจัดความเมาได้แล้ว ถึงที่สุดแห่งภพทั้งสาม ทรงก้าวล่วงเขตแดน ทรงเป็นผู้หนักในธรรม ทรงมีประโยชน์อันบรรลุแล้ว ทรงยังหมู่สัตว์ให้ข้ามพ้น เหมือนเรือที่ข้ามไปสู่ฟากโน้น ทรงมีขุมทรัพย์ ทรงทำความเบาใจ ไม่ทรงครั่นคร้ามดังราชสีห์ ทรงเหมือนดังเช่นพญาคชสารอันฝึกดีแล้ว”

           ด้วยบุญที่พระดาบสได้พรรณนาพระพุทธคุณอย่างมากมายนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้อนาคตังสญาณ ตรวจดูความเป็นไปในภพชาติเบื้องหน้าของดาบส ก็ทรงทราบว่า ดาบสจะได้มหาสมบัติใหญ่ จึงตรัสประกาศท่ามกลางมหาสมาคมให้ได้รับฟังโดยทั่วกันว่า “ผู้ใดสรรเสริญ ศีล ปัญญา และสัทธรรมของเรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจะรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอดหกหมื่นกัป จักได้เสวยทิพยสมบัติยิ่งกว่าเทวดาเหล่าอื่น ในอนาคตกาลข้างหน้านับจากนี้ไปแสนกัป ดาบสนี้จักได้บวชในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า จะได้เป็นพระอรหันต์และเชี่ยวชาญในอภิญญา ๖”

 

           

        ทันทีที่สิ้นพระพุทธดำรัส พระดาบสก็เกิดปีติและปลาบปลื้มใจในความดีที่ตนได้ทำอย่างท่วมท้น จนเเขนลุกชูชัน มีความรู้สึกประหนึ่งว่า จะได้เป็นพระอรหันต์ในวันต่อไปตั้งแต่นั้นมา พระดาบสก็ตั้งใจสั่งสมบกุศลอย่างไม่ลดละ ครั้นละจากอัตภาพนั้น ก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษยโลกและเทวโลกเท่านั้น ไม่เคยไปสู่ทุคติเลยตลอดแสนกัป เมื่อมาถึงยุคของพระโคดมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน พระดาบสได้มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในเมืองสาวัตถี ชื่ออธิมุตตะเมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม ท่านมีโอกาสไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ในคราวที่มหาอุบาสิกาวิสาขา ทำพิธีถวายบุพพาราม ท่านได้ฟังธรรม เกิดความเลื่อมใส จึงตัดสินใจบวชถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา

        เมื่อออกบวชแล้ว ท่านตั้งใจทำความเพียรอย่างสม่ำเสมอ ไม่นานนักก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา จากนั้นได้เปล่งอุทานว่า “ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราถอนภพได้หมดสิ้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ เราได้สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ด้วยการสรรเสริญนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการสรรเสริญพุทธคุณ”

         เราจะเห็นว่า การสรรเสริญพระพุทธคุณด้วยจิตที่เลื่อมใสนั้น นับเป็นการสรรเสริญ บุคคลผู้ประเสริฐที่สุดของมวลมนุษยชาติ เพราะพระพุทธองค์ทรงเป็นเอกบุรุษ บริสุทธิ์ยิ่งกว่าบุคคลใดในภพทั้งสาม นับว่าเป็นบุญของพวกเราที่มีโอกาสสรรเสริญพุทธคุณกันเป็นประจำ แม้ว่าจะไม่ได้สรรเสริญเบื้องหน้าพระพักตร์โดยตรง ก็ให้นึกถึงพุทธวจนะที่ว่า“ผู้ใดพึงบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ทั้งยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ก็ดีหรือปรินิพพานแล้วก็ดี เมื่อผู้นั้นมีจิตเลื่อมใสเสมอกัน ผลบุญก็ย่อมมีมากเสมอกัน”

     ดังนั้น เวลาที่เราสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย หรือสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรถวายเป็นพุทธบูชา ให้นำใจมาหยุดไว้ที่ศูนย์กลางกาย วาจาเราก็เปล่งเสียงอันเป็นสิริมงคลให้มนุษย์และเทวดาได้รับฟัง พร้อมกับน้อมนำใจกลับมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกาย ส่งใจของเราให้หยุดนิ่งเข้าไปในกลางของกลางเรื่อยไป แล้วสักวันหนึ่ง เราก็จะเข้าถึงพุทธรัตนะภายในได้ อีกทั้งบุญที่เกิดจากการสรรเสริญพุทธคุณจะติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ ทำให้มีสุคติอย่างเดียวเป็นที่ไป และอานิสงส์นี้จะส่งผลให้เราได้เข้าถึงพระธรรมกาย เข้าถึงพุทธรัตนะภายในอย่างง่ายดายเป็นอัศจรรย์กันทุกคน

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล