ฉบับที่ ๑๗๒ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๒๑)

บทความพิเศษ
เรื่อง : พระสุธรรมญาณวิเทศ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI

หลักฐานธรรมกาย ในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๒๑),เนื้อนาใน,อยู่ในบุญ

 

      วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญของลูกศิษย์หลานศิษย์ของพระเดช-พระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย เพราะไม่เพียงแต่เป็นวันคล้ายวันละสังขารของพระเดชพระคุณพระงคล-เทพมุนีเท่านั้น ยังเป็นวันคล้ายวันละสังขาร ของคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาทองสุขสำแดงปั้น และวันคล้ายวันสลายร่างของคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูงดว้ย ซึ่งทั้ง ๒ ท่านเป็น ผู้สืบสานวิชชาธรรมกายที่สำคัญ

      มหาปูชนียาจารย์ทั้ง ๓ ท่าน ควรนับได้ว่าเป็นเพชรของพระพุทธศาสนา ที่เป็นต้นบุญต้นแบบ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย เป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนามา จนตลอดชีวิตของท่าน ควรที่เราผู้เป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของท่าน จะต้องเดินตามรอยเท้าของท่าน สืบสานมโนปณิธานของท่าน อย่างเต็มที่เต็มกำลังโดยไม่หวั่นต่ออุปสรรคใด ๆทั้งนี้เพื่อให้พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย ที่พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี ทุ่มเทค้นคว้ามาด้วยชีวิตคงอยู่ และสืบทอดต่อไปถึงลูกหลานในอนาคต

    ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้วว่า พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ตั้งใจศึกษาความรู้ในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะด้านวิปัสสนาธุระอย่างจริงจัง มาตั้งแต่บรรพชาอุปสมบทได้เพียงวันเดียว ในตลอดพรรษาแรกของการศึกษาที่ได้เรียนวิปัสสนากับพระอาจารย์โหน่ง อินฺทสุวณฺโณ แล้ว ท่านเพียรท่องหนังสือสวดมนต์จนจบ หมดทั้งพระปาฏิโมกข์ภายในพรรษานั้น ครั้นเมื่อเรียนคันถธุระ ท่านศึกษาจนไปพบกับคำว่า “อวิชฺชาปจฺจยา” จึงเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าหมายถึงอะไร จึงพยายามสอบถามเพื่อนพระภิกษุด้วยกัน สอบถามพระพี่ชายลูกพี่ลกูน้องของท่าน ตลอดจนพระอาจารย์อีกรูปหนึ่งก็กลับได้รับคำตอบว่า “เขาไม่แปลกันหรอกคุณ...อยากรู้ต้องไปเรียนที่บางกอก” ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ท่านตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะเดินทางไปกรุงเทพฯ   

     เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่เข้ามาศึกษาเล่าเรียนที่สำนักวัดพระเชตุพนฯ แล้วท่านตั้งใจศึกษาความรู้ทุกอย่างในภาคปริยัติ อย่างเต็มที่ โดยเริ่มเรียนตั้งแต่มูลกัจจายนะ ถึง ๓ จบ พระธรรมบท ๘ ภาค พระคัมภีร์ มังคลัตถทีปนี และอภิธรรมสังคหะ

 

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)
ภาพจาก : https://sites.google.com/site/thxngtheiywthiwadphothi/

    ซึ่งในยุคของท่านนั้น (พ.ศ. ๒๔๖๐-๒๕๐๒) การศึกษาเล่าเรียน พระบาลียังเป็นไปด้วยความยากลำบากการคมนาคมยังไม่คล่องตัว ขณะเดียวกันท่านไม่ได้เล่าเรียน จากพระอาจารย์เพียงรูปเดียว และไม่ได้เรียนแต่ความรู้ด้านปริยัติอย่างเดียว แต่ท่านศึกษาควบคู่ไปกับด้านวิปัสสนาธุระตลอดเวลา

       สำนักใดวัดใดที่ทราบว่าเป็นที่นิยม หรือมีคณาจารย์ที่มีความรู้เชี่ยวชาญ พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็มีวิริยอุตสาหะ เข้าไปศึกษาหาความรู้จนครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการไปศึกษา กับท่านเจ้าคุณสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม)วัดราชสิทธาราม ท่านพระครูญาณวิรัติวัดพระเชตุพนฯ พระอาจารย์สิงห์ วัดละครทำ พระอาจารย์ปลื้ม วัดเขาใหญ่ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี หรือพระอาจารย์รูปอื่นๆจากอีกหลายวัด เช่นที่วัดอรุณราชวรารามฯ วัดสุทัศนเทพวรารามฯ วัดจักรวรรดิราชาวาสฯ

 

     วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
ภาพจาก : http://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=moonfleet&month=01-2011&date=05&group=179&gblog=19
 

วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร
ภาพจาก : https://m.diariodelviajero.com/asia/guia-detemplos-de-bangkok-wat-suthat-y-el-columpio-gigante

 

วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร
ภาพจาก : http://www.gerryganttphotography.com/wat_chakkrawat_ratchawat.htm

        แต่ก็ไม่หมดเพียงเท่านั้น เมื่อกลับมายังวัดพระเชตุพนฯ ที่ท่านพำนักในเวลากลางคืนแล้ว ในแต่ละวันท่านก็ยังคงไป ขอศึกษาเพิ่มเติมกับอาจารย์ท่านอื่นอีกอย่างสม่ำเสมอ ความตั้งใจอย่างจริงจังของท่านดังกล่าวนี้ ทำให้เรารู้ว่า “ความรู้ในภาคปริยัติ”ของพระเดชพระคุณหลวงปู่จะต้องมีความสมบูรณ์บริบูรณ์ไม่น้อยก่อนที่ท่านจะก้าวเข้าสู่การศึกษาใน “ภาคปฏิบัติและปฏิเวธ” ในเวลาต่อมา

    เช่นเดียวกับในหนังสือ “ชีวประวัติของพระมงคลเทพมุนี และ อานุภาพธรรมกาย”พระนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗(ปุ่น ปุณฺณสิริ) (ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระวันรัต) นั้น ได้กล่าวไว้ตรงกันถึงคุณลักษณะของผู้มีความเพียรในการศึกษา ความตั้งใจทำตามเป้าหมายอย่างจริงจัง ของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สดจนฺทสโร) ก่อนที่ท่านจะก้าวเข้ามาสู่การเป็น“ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย” ว่า (หลวงปู่)ท่านมิได้ใช้เวลาเพียงวันเดียว เดือนเดียวหรือปีเดียวเพื่อเรียนรู้ แต่ใช้เวลานับสิบ ๆ ปีในการศึกษาเล่าเรียน บ่มเพาะความรู้ความเข้าใจจากครูบาอาจารย์ เกือบจะทั่วแผ่นดินไทยแม้ภายหลังเมื่อท่านมุ่งศึกษาธรรมปฏิบัติแล้วการศึกษาก็ยังทำควบคู่ไปกับการตำรา (เช่นวิสุทธิมรรค) อยู่เสมอ

     จนกระทั่งเกิดผลที่ชัดเจนจากการปฏิบัติ จนท่านมีความเข้าใจขึ้นในตนว่า ธรรมะไม่ใช่เป็นของพอดีพอร้าย เป็นของที่ลึกซึ้งยากที่มนุษย์จะเข้าถึง2 ความรู้จากการปฏิบัติที่ท่านได้รับ จึงไม่ใช่ความรู้ที่ฉาบฉวยหรือเกิดจากการคิดพิจารณา วิเคราะห์วิจัย วิจารณ์ ภายนอก แต่เป็นผลรวมจากความเพียรอย่างจริงจัง เกือบตลอดทั้งชีวิตของท่านค้นพบมา และด้วยความเชื่อมั่นอันนี้เอง ที่ทำให้ท่านมุ่งมั่นที่จะขยายความรู้ ที่ท่านค้นพบออกไปให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะเป็นไป ได้เพียงแต่จุดที่สำคัญอยู่ที่ว่า การจะพิสูจน์ความรู้ที่ท่านสอนได้นั้นจะต้องเกิดจากการปฏิบัติ(แบบนักปฏิบัติธรรม) อย่างจริงจังเท่านั้นจึงจะพบได้ ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายประการหนึ่ง
ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายต้องเผชิญตลอดมาเช่นกัน

      ดังที่เราทราบกันมาว่า เมื่อท่านอุปสมบทมาจนล่วงเข้าในพรรษาที่ ๑๒  อายุของท่านอยู่ในราว ๓๓-๓๔ ปี ความรู้ในด้านการ แปลคัมภีร์ภาษามคธ และความมุ่งหมายเดิมในการแปลหนังสือ มหาสติปัฏฐานลานยาวสำเร็จริบูรณ์ลงแล้ว ท่านจึงหันไปเอาจริงเอาจังกับการศึกษาด้านวิปัสสนาธุระเพียงอย่างเดียว ในช่วงเวลานั้น พระเดชพระคุณหลวงปู่กำลังพิจารณาเลือกสถานที่ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่เหมาะสม ในครั้งแรกท่านเห็นว่าบริเวณพระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ นั้นมีอาณาบริเวณกว้างขวาง ร่มรื่น สงบเงียบเหมาะแก่การปฏิบัติ แต่ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมสูง จึงได้ระลึกว่าเมื่อแรกบรรพชาอุปสมบทมา ท่านเจ้าอธิการชุ่มวัดโบสถ์บน บางคูเวียง คลองบางกอกน้อย เคยมีอุปการะแก่ท่านมาก ได้เคยถวายคัมภีร์มูลกัจจายนะและคัมภีร์พระรรมบทให้ได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม ท่านคิดตอบแทน

วัดโบสถ์บน บางคูเวียง
ภาพจาก : http://www.dmc.tv/pages/พระพุทธศาสนา/วัดโบสถ์บนบางคูเวียง.html

        พระคุณของท่านเจ้าอธิการชุ่ม จึงเลือกไปจำพรรษาที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ด้วยหวังว่าความรู้ที่ท่านมี จะได้ใช้แสดงธรรมเผยแผ่เป็นประโยชน์แก่พระภิกษุ สามเณร อุบาสกอุบาสิกาบ้าง

  จึงได้เดินทางไปยังวัดโบสถ์บนบางคูเวียง ในช่วงก่อนพรรษาที่ ๑๒ นั้น และในที่สุดแล้ว พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร) จึงได้ปรารภความเพียรปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานโดย “เอาชีวิตเป็นเดิมพัน...ถ้าไม่ได้ตายเถิด” จนบรรลุธรรมในวันขึ้น ๑๕ คำ เดือน ๑๐ ในอุโบสถวัดโบสถ์บน บางคูเวียงเมื่อกลางพรรษาที่ ๑๒ นั้นเอง
   หลังจากการบรรลุธรรม สิ่งที่พระเดช-พระคุณหลวงปู่ทำต่อๆ มา พบว่าเป็น เรื่องของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกายเป็นหลัก และทำอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็ตระหนักว่า “ธรรมที่ท่านเข้าถึงนี้เป็นของลึกซึ้ง ยากนักที่มนุษย์จะเข้าถึงได้” เนื่องจากจะต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปฏิบัติอย่างแท้จริงก่อน แต่ด้วยความที่ท่านเห็นความสำคัญ ของการนำธรรมะให้เผยแผ่ออกไปสู่วงกว้าง ต้องการเป็นพยานยืนยันถึง “ความมีอยู่จริงของพระธรรมกายภายใน” ที่ท่านเข้าถึงท่านจึงไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคหรือปัญหาใดๆตลอดระยะเวลาที่เริ่มขยายวิชชาธรรมปฏิบัติไปสู่สังคม

     แม้ว่าในระหว่างการเผยแผ่วิชชา การถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีศิษยานุศิษย์ที่ “สำเร็จการศึกษา”คือ บรรลุธรรมตามท่านมามากมายเช่นกันจากวัดบางปลา จ.นครปฐม ซึ่งเป็นที่เผยแผ่ธรรมปฏิบัติครั้งแรก มีพระภิกษุที่เจริญรอยตามท่านได้ ๓ รูป คือ พระภิกษุสังวาลย์พระภิกษุแบน พระภิกษุอ่วม กับคฤหัสถ์ ๔ คนส่วนในพรรษาที่ ๑๓ พระภิกษุหมกได้บรรลุธรรมตามท่านเพิ่มอีก ๑ รูป

    การมีพระภิกษุและคฤหัสถ์บรรลุธรรม ตามท่านขึ้นมานี้จึงเท่ากับ ว่าธรรมที่ท่านค้นพบ และธรรมปฏิบัติที่ท่านสอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเพี้ยนไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกพระพุทธศาสนา เพราะมีลักษณะที่เป็น “สันทิฏฐิโก” (ผู้ที่ปฏิบัติจึงจะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง) “อกาลิโก” (ผู้ใดที่ปฏิบัติ ผลย่อมจะเกิดแก่ผ้นั้น เหมือนๆ กันโดยไม่จำกัดกาล) “เอหิปัสสิโก” (เป็นของมีจริงและดีจริง) “ปัตจัตตัง เวทิตตัพโพ วิญญูหิ” (ธรรมนั้นเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน ผู้อื่นจะพลอยรู้พลอยเห็น และสัมผัสตามด้วยมิได้เลย)3 ครบถ้วนตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวสอนไว้ และการที่มี“ทนายพระศาสนา” เพิ่มขึ้นโดยลำดับนี้ ย่อมมีส่วนให้การเผยแผ่ธรรมของพระเดชพระคุณ-หลวงปู่ค่อย ๆ เจริญรุดหน้าขึ้นได้อย่างมั่นคงโดยลำดับ

    นอกจากบุคคลกลุ่มแรกซึ่งได้ บรรลุธรรมตามพระเดชพระคุณหลวงปู่แล้ว ภายหลังธรรมกายในหลายปีต่อมาจะเต็มไปด้วยปัญหา ก็ยังมีศิษยานุศิษย์อีกเป็นจำนวนมาก ที่เข้ามาศึกษาและบรรลุธรรมต่อๆ มาอีกนับหมื่นคน (จากจำนวนผู้ที่สนใจเข้ามาฝึกปฏิบัติกับท่านนับแสนคน)4 การเผยแผ่ในยุคของท่านเป็น ไปอย่างกว้างขวางทั่วทุกจังหวัด ในประเทศไทยท่ามกลางกลุ่มชน ทั้งที่เข้าใจและไม่เข้าใจเช่นเดียวกับในยุคปัจจุบัน ความวิริยอุตสาหะในการศึกษา ตลอดจนการยืนหยัดเพื่อการเผยแผ่“วิชชาธรรมกาย” ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ดังที่กล่าวมานี้ เป็นเครื่องยืนยันให้เราเห็น ว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่ “จริง” ต่อการเป็นทนายแก้ต่างให้แก่พระพุทธศาสนามากเพียงใด ในท่ามกลางกระแสทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยมากมาย แต่ท่านมิได้หวั่นไหวหรือเปลี่ยนแปลงมโนปณิธานที่ตั้งไว้ ยังดำเนินตามเป้าหมายของท่านเรื่อยมาจนวันสุดท้ายแห่งชีวิต คือวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๐๒ หรือกว่า ๕๘ ปีล่วงมาแล้ว

    จากที่ผู้เขียนได้ย้อนรำลึก ไปถึงเส้นทางของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สดจนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นเป็นเบื้องต้นนี้ โดยจุดประสงค์ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายซึ่ง เราเคารพรักยิ่งนี้ ท่านรักและให้ความสำคัญกับวิชชาธรรมกายเพียงใด ท่านเริ่มต้นฝึกหัดขัดเกลาตัวของท่านมาอย่างไร หรือสั่งสมคุณลักษณะของการเป็น “ครู” มาอย่างไร กว่าที่ท่านจะได้รับการยกย่องว่า เป็นมหาปูชนียาจารย์ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายเช่นในปัจจุบันนี้ การย้อนกลับไปศึกษาเรื่องราวที่สำคัญของท่าน โดยเฉพาะในด้านการศึกษาของท่านนั้นถือว่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในหลายๆ แง่มุม เช่น ทำให้เราเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับคำสอนและหลักการของท่านทั้งในภาคปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ เชื่อมั่นในความ “มีอยู่จริง” ของวิชชาธรรมกาย รวมทั้งทำให้เราทราบว่า เราควรดำเนินตามรอยท่าน

 

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ
ภาพจาก : http://www.enjoythailandtravel.com/1439

 

     อย่างไรบ้าง ในโอกาสวันคล้ายวันครบรอบการละสังขารของท่านในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่จะถึงนี้

    ในฉบับหน้า ผู้เขียนจะขอโอกาสนำ  เรื่องราวที่ลึกซึ้งในปฏิปทาน ของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อันเกี่ยวกับการประกาศคุณของวิชชาธรรมกายจากตัวท่านเอง เมื่อครั้งที่ท่านยังจำพรรษา ณ วัดปากน้ำ ตลอดจนเรื่องราวประวัติศาสตร์ของท่าน ในขณะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มานำเสนอเพิ่มเติม เนื่องจากเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ต่อพุทธศาสนิกชนในวงกว้าง ซึ่งบางส่วน อาจไม่ทราบหรือหลงลืมไปในท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอให้ผู้อ่านทุกท่านนักสร้างบารมีทุกท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน จงมีความสุขสวัสดี มีความเข้มแข็ง องอาจกล้าหาญในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดไป

    ท้ายที่สุดนี้ ผ้เขียนขอชื่นชมอนุโมทนากับลูกหลาน มหาปูชนียาจารย์ทุกคนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจ กันด้วยสามัคคีธรรม   ร่วมกันสวดมนต์บทธัมมจักกัปปวัตนสูตร จนบรรลุเป้าหมาย๑๗,๑๙๑,๙๑๙ จบ ในวันคล้ายวันเกิดคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และพร้อมกันนี้จึงขอเชิญชวนทุกท่าน มารวมใจให้เป็นหนึ่งกันอีกครั้ง โดยร่วมกันสวดมนต์บทธัมมจักกัปปวัตนสูตร เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย๒๐,๐๐๐,๓๓๓ จบ ในวันมหาปูชนียาจารย์ที่ ๓กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อถวายเป็นกตัญญูบูชา แด่ครูวิชชาธรรมกายโดยพร้อมเพรียงกัน และขอให้ความปรารถนาอันดีงาม ของทุกๆท่านที่ได้ตั้งใจไว้ดีแล้วนั้นจงสำเร็จ สมความปรารถนาทุกประการเทอญ

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล