เคลียร์ข่าววัด
เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
Line ID : natchy1972
7 การทดลอง ที่ต้องแลกด้วยชีวิตมนุษย์
เพื่อพิสูจน์ชีวิตหลังความตาย
อ่านให้จบ แล้วค่อยตัดสินว่า..วัดพระธรรมกาย "เอาสวรรค์มาล่อ นรกมาขู่" จริงหรือไม่ ?
อย่าว่าแต่หลายคนบนโลกคาใจในเรื่องโลกนี้โลกหน้าเลย เพราะผู้เขียนเองก็เคยสงสัยเหมือนกันว่า
นรก สวรรค์มีจริงไหม ?
โลกนี้โลกหน้าเป็นเพียงเรื่องสมมุติที่มีไว้ขู่ใช่หรือไม่ ?
เพราะสิ่งนี้ไม่สามารถเห็นด้วยตา แล้วจะเป็นด้วยหรือที่จะต้องเชื่อ
และหากเชื่อ..จะจัดว่าเป็นพวกหลงงมงายหรือไม่
แต่ถ้าเราเลือกที่จะไม่เชื่อล่ะ จะมีผลอย่างไร ?
หากนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปในอดีตได้เราจะพบว่า ความเชื่อเรื่องโลกหน้า เรื่องนรก-สวรรค์ เป็นประเด็นร้อนที่คนทุกยุคทุกสมัยคาใจกันทั้งนั้น แม้แต่ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็ยังมีคนไม่เชื่อเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ขนาด พระเจ้าปายาสิเจ้าเมือง “เสตัพยะ” เอง ถึงกับตั้งตนเป็นแกนนำตัวยงในการปฏิเสธเรื่องนี้แบบหัวชนฝาท้าทายความเชื่อ โดยเอาคนเป็น ๆ มาทำการทดลองเพื่อหาความมีอยู่ของโลกหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยการฆ่านักโทษคนแล้วคนเล่า เพื่อพิสูจน์ชีวิตหลังความตาย !!!
หรือแม้แต่ พระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์กรีกผู้เกรียงไกรเองก็คาใจเรื่องนี้ จนถึงกับตรัสถามพระนาคเสนในทำนองที่ว่า จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าปรโลกมีจริง ในเมื่อหลังจากที่คนและสัตว์ตายแล้ว เราไม่สามารถมองเห็นวิญญาณที่เดินทางไปสู่ปรโลกว่ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งพระนาคเสนก็ปลดล็อกให้คำตอบด้วยการอุปมาว่า เหมือนการส่งเสียงพูดให้คนอื่นได้ยิน ก็ไม่มีใครมองเห็นด้วยตาเปล่าว่าในขณะที่เสียงเดินทางไปถึงหูผู้ฟังนั้น เสียงมีรูปร่าง หน้าตา หรือสีสันเป็นอย่างไร !
แม้พระนาคเสนจะเปรียบอย่างนี้ แต่บางคนก็ยังยืนกรานที่จะไม่เชื่อว่ามีโลกหน้าอยู่ดีซึ่งในด้านความเห็นของผู้เขียนเอง ก็ยังไม่อยากให้ปักใจเชื่ออย่างนั้นเสียทีเดียว ตราบที่ผู้อ่านยังไม่ได้รับข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่มากพอ
ดังนั้น เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด ผู้เขียนจึงขอเสนอข้อมูลที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ หรือเสนอมุมมองที่เพิ่มขึ้น เพื่อการตัดสินใจใหม่ ซึ่งต้องดีกว่าเดิมแน่นอน !!
๗ การทดลอง ที่แลกมาด้วยชีวิตมนุษย์เพื่อพิสูจน์ชีวิตหลังความตาย
เรียบเรียงจาก : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ (ฉบับมหาจุฬาฯ) ทีฆนิกาย มหาวรรค ๑๐. ปายาสิสูตร ข้อ ๔๐๖-๔๔๑ หน้า ๓๔๑-๓๗๒
ผู้เดินเรื่อง
พระกุมารกัสสปะ : พระอรหันต์ผู้เป็นเลิศด้านการแสดงธรรมได้วิจิตร
พระเจ้าปายาสิ : เจ้าเมืองที่เป็นพวกนัตถิกวาทะ คือ เชื่อว่า “โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี”
การทดลองที่ ๑
พระเจ้าปายาสิได้นำตัวนักโทษที่ทำเลวมาทั้งชีวิต มาสั่งก่อนตายว่า ถ้าตายแล้ว..ไปตกนรกให้กลับมาบอกด้วย ซึ่งผลก็คือ..ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกพระองค์เลยสักคนพระองค์จึงสรุปว่า โลกหน้าไม่มี
พระกุมารกัสสปะได้ตอบว่า : สมมุติว่า..ถ้านำนักโทษหรือโจรผู้ชั่วช้ามามัด แล้วจับลากไปยังแดนประหาร แต่พอโจรไปอยู่ต่อหน้าเพชฌฆาต ณ แดนประหารแล้ว โจรได้ร้องขอเพชฌฆาตว่า..ขอกลับบ้านไปบอกญาติพี่น้องก่อน แล้วจะกลับมาให้ฆ่าใหม่ ในสถานการณ์นี้ ขอถามว่า..เพชฌฆาตจะยอมอนุญาตไหม ? พระเจ้าปายาสิก็ตอบว่า..ไม่ยอม…พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า..ขนาดเป็นแค่โจรอยู่บนโลกมนุษย์ เพชฌฆาตยังไม่ยอมปล่อยไปเลย แล้วถ้าโจรตายไปเกิดเป็นสัตว์นรก นายนิรยบาลจะยอมปล่อยหรือ ? แม้พระเจ้าปายาสิได้รับคำตอบเช่นนี้แล้ว พระองค์ก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่ดี
การทดลองที่ ๒
พระเจ้าปายาสิให้นำญาติ ๆ ที่เป็นคนดีคือพวกที่ถือศีลมาทั้งชีวิต มาสั่งก่อนตายว่า..ถ้าตายแล้ว..ได้ไปสวรรค์ให้กลับมาบอกด้วยซึ่งผลก็คือ..ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกท่านเลยสักคน
พระกุมารกัสสปะได้ตอบว่า : เรื่องนี้อุปมาเหมือนพระองค์เอาคนที่กำลังจมอยู่ในบ่ออุจจาระอันเน่าเหม็นมาอาบน้ำจนสะอาดหมดจด แล้วชโลมด้วยของหอม จากนั้นก็อัญเชิญขึ้นไปเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีบนปราสาทแล้วอยู่ ๆ จะไปเรียกให้เขาลงมาจุ่มตัวลงในบ่ออุจจาระอันเน่าเหม็นอีกเหมือนเดิม ขอถามว่า..เขาจะยอมมาไหม ?
พอพระกุมารกัสสปะย้อนถามอย่างนั้นพระเจ้าปายาสิก็ตอบว่า..ไม่ยอม พระกุมารกัสสปะกล่าวเสริมว่า เนื่องจากเทวดาจะเหม็นกลิ่นมนุษย์เหมือนเหม็นสิ่งปฏิกูล จึงไม่อยากมาใกล้มนุษย์ และแม้พระเจ้าปายาสิได้รับคำตอบเช่นนี้แล้ว พระองค์ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
การทดลองที่ ๓
พระเจ้าปายาสิได้ให้ญาติและอำมาตย์ที่เป็นคนดี คือ พวกถือศีล มาสั่งก่อนตายว่า..ถ้าตายแล้ว ได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับเทพชั้นดาวดึงส์ ก็ให้ลงมาบอกด้วย ซึ่งก็ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกท่านเลยสักคน
พระกุมารกัสสปะได้ตอบว่า : ก็ ๑๐๐ ปี ของมนุษย์เท่ากับหนึ่งคืนและหนึ่งวันของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และการที่พวกเขาขึ้นไปบนสวรรค์ใหม่ ๆ ก็คิดกันว่า..ขอเวลาเดินชมและอิ่มเอมกับความเป็นทิพย์สัก ๒-๓ วันก่อนแล้วค่อยลงมากราบทูลพระเจ้าปายาสิก็ได้
เมื่อพระเจ้าปายาสิฟังแล้วโต้กลับว่า : ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ พอเทวดาลงมาบอก เราก็ตายไปแล้ว เพราะ ณ เวลาที่ลงมานั้น เลยอายุขัยของมนุษย์ไปเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว อีกทั้งเราก็ไม่เชื่อว่าเทพชั้นดาวดึงส์มีอยู่จริง และจะมีอายุยืนได้นานถึงขนาดนี้
จากนั้นพระกุมารกัสสปะจึงตอบว่า : เรื่องนี้..เปรียบเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด แล้วบอกว่าไม่มีสีดำ ไม่มีสีขาว ไม่มีดวงจันทร์ไม่มีดวงอาทิตย์ ในเมื่อไม่เคยเห็นสิ่งนั้น ฉะนั้นจะมาสรุปว่า..สิ่งนั้นไม่มีได้หรือไม่ ?
และที่สำคัญ คนปกติธรรมดาจะไม่อาจเห็นโลกอื่นได้ด้วยตาเนื้อ แต่คนที่เห็นได้ ต้องเป็นพวกสมณพราหมณ์ที่บำเพ็ญเพียรจนทำตาทิพย์ให้เกิดขึ้น จึงจะสามารถเห็นโลกอื่นได้
พระเจ้าปายาสิ : แล้วถ้าคนทำความดี หลังตายแล้วจะได้ไปเสวยกรรมดี ทำไม..พวกเขาจึงไม่รีบฆ่าตัวตายเพื่อรีบไปเสวยผลที่ดีกว่าทันทีเลยเล่า ? ทำไม..ถึงยังอยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อ ?
พระกุมารกัสสปะ : สมมุติว่า..มีพราหมณ์คนหนึ่ง เขามีภรรยา ๒ คน คนแรกมีลูกชายอายุ ๑๐ ขวบ คนที่ ๒ กำลังตั้งครรภ์ แต่อยู่ ๆ พราหมณ์ผู้เป็นสามีเกิดตายลง ซึ่งสมบัติจะตกเป็นของลูกชาย ๑๐ ขวบทั้งหมดได้ก็ต่อเมื่อลูกชายคนนั้นต้องเป็นลูกชายคนเดียวของพราหมณ์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง..ลูกชาย ๑๐ ขวบคนนี้ จึงไปพูดกับแม่เลี้ยงซึ่งเป็นภรรยาของพ่ออีกคนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ว่า..ถ้าลูกที่อยู่ในครรภ์คลอดออกมาเป็นชายเหมือนกัน ก็จะได้สมบัติของพ่อครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าคลอดออกมาเป็นหญิง..ก็จะไม่ได้สมบัติแล้วลูกหญิงนั้น..ก็ต้องเป็นคนรับใช้ของตน
ซึ่งลูกชาย ๑๐ ขวบคนนี้ ก็พยายามรบเร้าไต่ถามแม่เลี้ยงถึง ๓ ครั้ง จนแม่เลี้ยงเกิดความรำคาญและอยากรู้ให้รู้แล้วรู้รอดไป จึงเอามีดกรีดท้องตัวเองแล้วแหวะครรภ์ออกมาดู เพื่อให้รู้ไปเลยว่า..ลูกในท้องเป็นหญิงหรือชายกันแน่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เด็กในท้องตาย และตัวแม่เลี้ยงเองก็ตายด้วย แถมยังไม่ได้สมบัติอะไรเลย ขอถามว่า..การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการกระทำที่โง่เขลาหรือฉลาดกันแน่ ???
ในทำนองเดียวกัน คนที่ทำความดีทั้ง ๆ ที่รู้ว่า..จะได้รับผลของกรรมดีในอนาคต แต่เขาก็ยังไม่อยากรีบตาย เพราะคิดว่า..ยิ่งเขามีชีวิตอยู่และสั่งสมความดีให้มากขึ้นอีกเท่าไร เขาก็ยิ่งได้บุญมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้หลังตายแล้วยิ่งได้เสวยผลบุญในอนาคตเพิ่มขึ้นไปอีกอีกทั้งการดำรงชีวิตอยู่ของเขาก็ยังมีคุณค่าและยังประโยชน์ให้แก่โลกใบนี้อีกมากมายนัก
การทดลองที่ ๔
พระเจ้าปายาสิได้ทดลองเอาโจรใส่หม้อทั้งเป็น ปิดปากหม้อให้แน่นโดยเอาหนังสดรัดอีกทั้งยังพอกปากหม้อด้วยดินเหนียว เพื่อหวังไม่ให้อะไรเล็ดลอดออกมาจากหม้อได้เลยจากนั้นก็เอาหม้อมาต้มโจรทั้งเป็นจนตาย พอตายแล้วก็เปิดปากหม้อออกมาดู เพื่อพิสูจน์ว่าจะมีวิญญาณออกมาจากร่างโจรไหม ซึ่งก็ไม่เห็นเลย
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : เรื่องนี้อุปมาเหมือนกับขณะที่พระองค์นอนหลับแล้วฝันไปว่า..ได้ไปโน่นไปนี่ ขอถามว่า..ข้าราชบริพารที่รายล้อมเฝ้ากายเนื้อของพระองค์ขณะหลับอยู่ ได้เห็นวิญญาณของพระองค์ออกจากร่างไปไหนมาไหนหรือไม่ ? ซึ่งพระเจ้าปายาสิก็ตอบว่า..ไม่เห็น
การทดลองที่ ๕
พระเจ้าปายาสิได้ทดลองเอาโจรมาจับมัดแล้วชั่งน้ำหนักตอนมีชีวิตอยู่ จากนั้นก็เอาเชือกมัดให้ขาดใจตาย แล้วก็นำมาชั่งอีกทีหนึ่งปรากฏว่า..ตอนเป็น ๆ ร่างกายมีน้ำหนักเบากว่า ตัวอ่อนนุ่มกว่า แต่พอตายแล้ว..ร่างกายกลับมีน้ำหนักที่มากกว่า แข็งกระด้างกว่า ซึ่งถ้าวิญญาณออกจากร่างไปจริง ๆ ทำไมน้ำหนักหลังตายถึงมากกว่า ?
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : การชั่งน้ำหนักก้อนเหล็กที่กำลังถูกเผาจนร้อน กับชั่งก้อนเหล็กที่เอาออกจากไฟแล้วทิ้งให้เย็นน้ำหนักตอนไหนมากกว่ากัน ? และเหล็กก้อนไหนที่ตีง่ายกว่าและอ่อนนุ่มกว่า ?
พระเจ้าปายาสิตอบว่า..ก้อนเหล็กที่ถูกเผาจนร้อนตีง่ายกว่า อ่อนนุ่มกว่า
พระกุมารกัสสปะจึงอธิบายต่อว่า : เช่นเดียวกัน พอเอาเหล็กออกจากไฟแล้วทิ้งไว้ให้เย็น น้ำหนักก็จะมากกว่า เย็นกว่า แข็งกระด้างกว่า ตีได้ยากกว่า เหมือนกับคนตอนมีวิญญาณก็จะมีไออุ่น แล้วร่างกายก็จะเบากว่า
การทดลองที่ ๖
พระเจ้าปายาสิได้ทดลองฆ่าโจร โดยใช้วิธีที่ทำให้รางกายไม่บอบช้ำ ใด ๆ เลย และพอตายแล้ว ก็พลิกให้นอนหงาย นอนคว่ำ นอนตะแคง เพื่อดูการออกมาของวิญญาณ ซึ่งพอดูแล้วก็ไม่เห็นวิญญาณออกจากร่าง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านสงสัยต่อไปอีกว่า..ทั้ง ๆ ที่ร่างกายก็ไม่เสียหายบอบช้ำอะไรมากสักหน่อย แต่ทำไมอวัยวะต่าง ๆ จึงไม่ตอบสนองอะไรเลย ?
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : กรณีนี้เปรียบเหมือนกับชายคนหนึ่ง ไปยืนเป่าสังข์กลางหมู่บ้าน ๓ ครั้ง แล้วหยุดเป่า พอชาวบ้านแห่กันออกมาดูตามเสียงของสังข์ที่ดังขึ้น ก็ไม่เห็นที่มาของเสียงอันไพเราะนั้น จึงได้ไปหยิบสังข์ขึ้นมา โดยเอามาคว่ำบ้าง ตะแคงบ้าง ลากไปลากมาบ้าง คือ ไม่ว่าจะทำอย่างไร..ก็ไม่มีเสียงออกมาจากสังข์
ชายคนที่เป่าสังข์จึงคิดว่า..ชาวบ้านพวกนี้ช่างโง่จริง ๆ ที่หาที่มาของเสียงสังข์โดยไม่ถูกวิธี แล้วจะเจอได้อย่างไร เมื่อคิดอย่างนี้จึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่าโชว์ให้ชาวบ้านดู ชาวบ้านจึงร้องอ๋อ..เกิดความเข้าใจว่า..สังข์จะส่งเสียงออกมาได้ก็ต้องมีคน มีความพยายาม และมีลมเป่า เรื่องนี้ก็เช่นกัน เปรียบเหมือนกับร่างกายมนุษย์ที่ต้องมีไออุ่นและมีวิญญาณถึงจะขยับและรับรู้ได้ !!!
การทดลองที่ ๗
พระเจ้าปายาสิได้ทดลองเอาโจรมาเถือหนัง แล่เนื้อ ตัดเอ็น ตัดกระดูก ตัดเยื่อในกระดูก เพื่อหาวิญญาณ แต่ก็ไม่เห็นวิญญาณ !!
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : เรื่องนี้..เปรียบเหมือนกับเรื่องของชฎิลบูชาไฟ ซึ่งมีอยู่วันหนึ่ง..ชฎิลไม่อยู่ จึงสั่งเด็กว่าให้คอยดูไฟที่จุดไว้ว่าอย่าให้ดับ แต่ปรากฏว่า..เด็กมัวแต่เล่นจนลืมเติมฟืน ไฟจึงมอดดับ จากนั้นเด็กจึงพยายามติดไฟใหม่ โดยรีบไปเอามีดมาถากไม้สีไฟบ้าง ผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีกบ้าง ซึ่งพอทำอย่างนี้แล้ว ไฟก็ยังไม่ติด จากนั้นเด็กจึงตัดสินใจผ่าไม้เป็นซีกเล็ก ๆ ไปเรื่อย ๆ โดยหวังว่าจะหาไฟที่ซ่อนอยู่ในไม้เจอ แต่สุดท้าย..ก็ไม่เจอ เลยสับไม้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วเอามาโขลกในครก ครั้นพอโขลกจนละเอียดแล้ว ก็ยังหาไฟที่แทรกอยู่ในไม้ไม่เจออยู่ดี ด้วยเหตุนี้จึงเอาไม้ในครกโปรยไปในที่ที่มีลมแรง เพื่อหาไฟที่ซ่อนอยู่ในผงไม้ ถึงแม้ทำขนาดนี้แล้ว แต่เด็กก็ยังหาไฟไม่เจออีก ก็เพราะหาไฟไม่ถูกวิธี
ทันใดนั้น...พอชฎิลกลับมาเห็นเด็กกระทำ การหาไฟด้วยวิธีโง่เขลาเช่นนั้น จึงได้อธิบายให้เด็กฟัง แล้วเอาไม้ ๒ อันมาสีกันจนเกิดไฟให้เด็กดู ซึ่งพระองค์ก็เหมือนกัน..พระองค์ไม่ต่างอะไรกับเด็กคนนี้เลย ที่แสวงหาโลกนี้และโลกหน้าโดยไม่ถูกวิธี แล้วจะเจอได้อย่างไร ?
เมื่อพระกุมารกัสสปะอธิบายมาถึงตรงนี้จึงทูลขอให้พระเจ้าปายาสิละทิฐิและยอมสละความเห็นผิดเช่นนี้เสีย แต่พระเจ้าปายาสิไม่ยอมจึงพูดขึ้นว่า..หากยอมสละทิฐิและความเชื่อนี้ ก็จะมีคนมาว่าโยมได้ว่า.. พระเจ้าปายาสินี้ช่างโง่เขลา ไม่ฉลาด ที่ผ่านมาได้ยึดถือแต่สิ่งผิด ๆ มาตลอด !!!
พระกุมารกัสสปะตอบว่า : เรื่องนี้..เปรียบเหมือนกับเรื่องของนายกองเกวียน ๒ คน คนแรกได้นำคณะเกวียน ๕๐๐ คน เดินผ่านพื้นที่กันดารโดยบรรทุกหญ้า ฟืน ใบไม้และน้ำไปด้วย แต่ระหว่างทางพอได้เจอคนตัวเปียกชุ่มเดินสวนทางมา แล้วตะโกนบอกว่า..ข้างหน้ามีแหล่งน้ำ มีฟืนมากมาย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องบรรทุกน้ำบรรทุกฟืนให้หนักเปล่า ๆ ด้วยเหตุนี้..นายกองเกวียนจึงเชื่อ แล้วสั่งให้ทุกคนทิ้งสัมภาระทั้งหมด แต่อนิจจาพอเดินทางต่อไปจริง ๆ กลับไม่พบฟืนหรือแหล่งน้ำใด ๆ เลย และด้วยความหิว อ่อนล้าทำให้พวกเขาหมดแรง แล้วถูกพวกอมนุษย์จับกินหมด
ตรงกันข้าม นายกองเกวียนอีกคณะหนึ่งนำกองเกวียนทั้ง ๕๐๐ คน เดินทางไปบนเส้นทางเดียวกัน และเจอเหตุการณ์เหมือนกันแต่นายกองเกวียนคนนี้ไม่ยอมทิ้งสัมภาระใด ๆ เลย จึงทำให้หมู่คณะทั้งหมดรอดชีวิต
จากเรื่องนี้..พระองค์ก็เหมือนนายกองเกวียนคนแรก ซึ่งนอกจากพระองค์จะวอดวายแล้ว ยังนำคนจำนวนมากให้วอดวายตามไปด้วย ดังนั้นให้พระองค์ละทิฐิและความเห็นผิด ๆ เสียเถิด
แม้พระกุมารกัสสปะพูดถึงขนาดนี้แล้วพระเจ้าปายาสิก็ยังยืนยันที่จะไม่ละความเชื่ออยู่ดี
พระกุมารกัสสปะจึงกล่าวต่อว่า : เรื่องนี้..เปรียบเสมือนคนขนขี้หมูใส่ห่อผ้าแล้วเทินไว้บนหัว เพื่อเอาขี้หมูไปเป็นอาหารให้หมูของตน แต่ระหว่างทางฝนตก เลยทำให้ขี้หมูที่ถูกน้ำในห่อผ้าไหลเละออกมาเป็นทาง เหม็นเลอะไปทั้งตัว ซึ่งพอชาวบ้านเห็นก็ต่างรุมด่าว่า..คนบ้า แต่ชายคนที่เทินขี้หมูกลับบอกว่า ตนไม่ได้บ้า แต่ชาวบ้านที่ด่าตนต่างหากที่บ้าซึ่งพระองค์ก็กำลังเป็นแบบชายคนนี้ ดังนั้นจงละทิฐิและความเห็นผิดนี้เถิด ซึ่งพระเจ้าปายาสิก็ไม่ยอมละ และยังคงยืนยันคำเดิม
พระกุมารกัสสปะจึงกล่าวต่อว่า : เรื่องนี้..เปรียบเหมือนนักเลงสกา ๒ คน คนแรกเล่นชนะตลอด แต่เมื่อชนะทีไร ก็จะรีบกลืนเบี้ยของอีกฝั่งหนึ่งเข้าไป คนแพ้เลยขอต่อรองว่างั้นขอเบี้ยคืนมาบ้าง จากนั้นคนแพ้ก็เอาเบี้ยมาอาบยาพิษ และนัดกันเล่นสกาใหม่ ซึ่งเมื่อคนเดิมชนะอีก ก็กลืนเบี้ยของอีกฝั่งหนึ่งเข้าไปอีก แต่เบี้ยครั้งนี้เป็นเบี้ยอาบยาพิษ เลยทำให้คนชนะตาย พระองค์ก็เหมือนกับคนกลืนเบี้ยอาบยาพิษนั่นแหละ และแม้พระกุมารกัสสปะพูดถึงขนาดนี้แล้ว พระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ละทิฐิอยู่ดี
พระกุมารกัสสปะจึงกล่าวต่อว่า : เรื่องนี้..เปรียบเสมือนชาย ๒ คนเดินทางไกล ระหว่างทางได้เจอเปลือกป่าน ก็ได้พากันเอาเปลือกป่านมาเรียงมัดไว้อย่างเป็นระเบียบแล้วแบกไปคนละมัด แต่พอชายคนแรกเดินต่อไปเจอด้ายป่าน ก็ทิ้งเปลือกป่าน แล้วบอกเพื่อนคนที่ ๒ ว่าให้ทิ้งเปลือกป่าน เพื่อเอาสิ่งที่มีค่ากว่าแบกแทน แต่ชายคนที่ ๒ ไม่ยอมทิ้ง โดยให้เหตุผลว่า..อุตส่าห์แบกเดินทางมาตั้งไกลแล้ว อีกทั้งยังอุตส่าห์มัดเรียงอย่างเป็นระเบียบขนาดนี้ จะให้ทิ้งได้อย่างไร จึงไม่ยอมทิ้ง
จากนั้น พอเดินทางต่อไปอีก พวกเขาก็ได้เจอสิ่งมีค่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ อีก คือ เจอเปลือกไม้โขมะ เจอลูกฝ้าย เจอผ้าฝ้าย เจอเหล็ก เจอดีบุก เจอสำริด เจอเงิน เจอทองคำ ตามลำดับไปเรื่อย ๆ ซึ่งชายคนแรกก็ทิ้งสิ่งที่มีค่าน้อย และเลือกเอาสิ่งที่มีค่ามากกว่าแบกแทนเสมอ แต่ชายคนที่ ๒ ไม่ยอมทิ้งเปลือกป่านสักที จนสุดท้ายพอเดินทางมาถึงที่หมาย ชายคนแรกก็ได้รับคำชื่นชมจากครอบครัว และกลายเป็นคนรวยไปในที่สุดส่วนชายคนที่ ๒ ก็ยังยากจนเหมือนเดิม ซึ่งพระองค์ก็เหมือนกับชายคนที่ ๒ นั่นแหละดังนั้นพระองค์โปรดละทิฐิและความเห็นผิด ๆ นี้เสียเถิด !!!
พอพระเจ้าปายาสิฟังมาถึงตรงนี้ จึงยอมละทิฐิและขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะในที่สุด
ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่มีความคิดเหมือนพระเจ้าปายาสิที่ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า ทั้ง ๆ ที่มีคนคิดต่างจำนวนไม่น้อยเช่นกันพยายามแย้งกลับด้วยคำถามที่ว่า..ถ้าไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าหรือชีวิตหลังความตายแล้วจะใช้เหตุผลใดอธิบายว่า..ทำไมมีคนจำนวนมากเจอผี ? หรือสัมผัสวิญญาณหรือพลังงานบางอย่างได้ ? หรือไม่สามารถหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายเรื่องเหนือธรรมชาติได้ ! หรือแม้แต่การให้เหตุผลเรื่องการระลึกชาติ ที่บางคนระลึกได้จริงโดยมีหลักฐานยืนยันชัดเจน !!!
จากข้อมูลตรงนี้เอง ผู้อ่านคงมีข้อมูลในการตัดสินได้มากขึ้นแล้วสำหรับความเชื่อเรื่องโลกหน้า ซึ่งหากมาดูกันจริง ๆ ในเชิงการได้ประโยชน์จากการที่เราเชื่อว่าโลกหน้ามีจริงเราจะได้รับผลดีมากกว่าการไม่เชื่อ เพราะเราจะได้ความอุ่นใจ ๔ ประการดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “เกสปุตตสูตร" ว่า
๑) ถ้าโลกหน้ามีจริง หากเราทำดี ก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์แน่นอน
๒) ถ้าโลกหน้าไม่มีจริง หากเราทำดี ก็จะไม่เดือดร้อน และมีความสุขในโลกปัจจุบัน
๓) หากเราไม่ทำบาปเลย เราก็จะไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน
๔) หากเราไม่ทำบาป ก็จะทำให้เราเห็นถึงความบริสุทธิ์ของตนว่า เรานั้นไม่ทำบาปและแม้ว่าคนอื่นเขาจะทำบาป แต่ตัวเราเองก็ไม่ทำบาปตามกระแส
เชื้อโรค คลื่นโทรศัพท์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มี แต่เราจะสามารถมองเห็นและตรวจวัดสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ต้องใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับมัน
นรก สวรรค์ ชีวิตหลังความตายก็เช่นกัน จะสามารถพิสูจน์ได้ก็ต้องใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม ซึ่งก็คือจิตที่ถูกฝึกจนได้อภิญญาจึงจะสามารถไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง