ฉบับที่ ๑๘๘ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๑

หลวงพ่อตอบปัญหา : เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนดี ?

หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว

หลวงพ่อตอบปัญหา

         คำถาม : เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนดี ?

         หลวงพ่อทัตตชีโว : ธรรมะในพุทธศาสนานั้นมีหลักธรรมที่นำมาใช้ในการพัฒนาชีวิต และยกระดับจิตใจผู้ปฏิบัติได้ตลอดกาลในพระพุทธศาสนามีการสอนถึงหน้าที่ของพ่อแม่ที่มีต่อลูก และสอนหน้าที่ของลูกที่มีต่อพ่อแม่ไว้ วันนี้หลวงพ่อจะยกหน้าที่ของพ่อแม่ที่มีต่อลูกมาถ่ายทอด เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ที่เตรียมตัวจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ในวันข้างหน้าได้ศึกษาเรียนรู้หน้าที่ทั้งหมดของตัวเองให้ดี ส่วนท่านที่เป็นลูกเมื่ออ่านแล้วก็จะได้รู้และซาบซึ้งถึงพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ที่มีต่อลูก

        ส่วนใหญ่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต่างก็ไม่ค่อยรู้หน้าที่ของตนเองครบนัก เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจด้วยกันทุกคน เพราะไม่มีพ่อหรือแม่คนไหนในโลกหรอกที่จะเรียนหลักสูตรเลี้ยงลูกให้จบเสียก่อนแล้วค่อยแต่งงาน แล้วค่อยเลี้ยงลูก ส่วนมากแต่งงานแล้วจนกระทั่งมีลูกถึงมาขวนขวายว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร แต่เวลานั้นก็ช้าไป เพราะงานเฉพาะหน้าก็เกิดขึ้นเยอะแล้ว นั่นเป็นช่วงของการทำงานเลี้ยงลูก หาใช่ช่วงเวลาของการมาศึกษาว่าจะเลี้ยงลูกให้ดีอย่างไรหรือจะเลี้ยงอย่างไรให้ลูกดี

            เมื่อการศึกษาเรื่องการเลี้ยงลูกช้าไป จึงทำให้การเลี้ยงลูกไม่สมบูรณ์ ส่วนมากก็มุ่งเลี้ยงทะนุถนอมกันอย่างดีในส่วนของกาย มุ่งฝึกร่างกาย ฝึกกล้ามเนื้อ มุ่งเลี้ยงให้กายโตวันโตคืนป้องกันไม่ให้ยุงเหลือบริ้นไรมาไต่ตอม ดูแลกันอย่างดี เรียกได้ว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่ช่วยป้องกันดูแลกายลูกสุดชีวิตกันทีเดียว นี้เป็นพระคุณของท่านที่ลูก ๆ ทุกคนจะต้องจดจำไปจนวันตายแต่นี่ก็เป็นเพียงหน้าที่ส่วนหนึ่งของท่าน เป็นหน้าที่ดูแลลูกในส่วนรักษากาย

            ยังมีหน้าที่ดูแลลูกอีกส่วนหนึ่ง คือ การดูแลรักษาใจ หน้าที่ตรงนี้สำคัญมาก คุณพ่อคุณแม่จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ถ้าทำหน้าที่ส่วนนี้ผิดพลาดลงไปแล้ว กลับจะได้ลูกเป็นคนเลว คนประพฤติทราม ซึ่งนอกจากคนเป็นพ่อแม่จะต้องเสียใจว่ามีลูกเลวแล้ว สังคมประเทศชาติก็จะต้องเดือดร้อน เพราะลูกคนที่เลวนี้ นี้เป็นปัญหาที่คาราคาซังอยู่ในโลกมานานเหลือเกิน

           แล้วภาระหน้าที่ของพ่อแม่ที่มีต่อลูกในเรื่องการอบรมเลี้ยงดูทางใจมีอะไรบ้าง เรื่องนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้แนวทางไว้ คือ

                ข้อหนึ่ง ต้องรีบสอนไม่ให้ลูกทำความชั่ว

                ข้อสอง รีบสอนรีบสั่งรีบปลูกฝังให้ลูกคุ้นกับความดี ตั้งใจทำความดี เมื่อพ่อแม่ทำหน้าที่ ๒ ข้อนี้ครบแล้ว จึงค่อยทำข้อที่สาม

                ข้อสาม ส่งเสริมให้เล่าเรียนเขียนอ่าน ให้ศึกษาศิลปวิทยาวิชาการต่าง ๆ เพื่อจะได้เลี้ยงชีวิตพึ่งตัวเองต่อไปได้

                ข้อสี่ เมื่อลูกเติบโตสมควรจะมีคู่ครอง ก็ช่วยดูให้ลูกเลือกคนดี

                ข้อสุดท้าย ถึงเวลาก็มอบมรดกให้ลูกไว้

                แต่ ๒ ข้อสุดท้ายยังนับว่าเป็นเรื่องรอง เรื่องหลักคือ ๓ ข้อแรก

           มาดูที่ ๓ ข้อแรก เรื่องแรก ห้ามลูกไม่ให้ทำความชั่ว เรื่องที่สอง ให้ลูกตั้งอยู่ในความดี ๒ อย่างนี้สำคัญที่สุด แล้วจึงค่อยไปส่งเสริมให้ศึกษาเล่าเรียน นั่นคือการศึกษาก็สำคัญ แต่ยังต้องหลังจากแยกดีกับชั่วออก

              แต่พ่อแม่เกือบทุกยุคทุกสมัยมองข้าม ๒ ข้อแรกไป อยากจะเห็นลูกเก่ง อยากจะเห็นลูกดีแต่ตัวเองไม่รู้หรอกว่าจะให้ลูกดีนั้น ลูกต้องรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วก่อน รู้แล้วจึงไปสอนให้ลูกเก่ง คือ มีวิชาความรู้ความสามารถต่าง ๆ

            การสอนให้ลูกเป็นคนดี รู้ว่าอะไรชั่วแล้วสามารถเบรกตัวเองไม่ให้ทำชั่ว แล้วทุ่มเททำความดี ตรงนี้ยากจริง ๆ ยากเพราะว่าความดีความชั่วไม่มีมิเตอร์ ไม่มีเครื่องวัดให้เห็นประจักษ์กันด้วยตา คนในโลกนี้กว่าจะรู้ดีรู้ชั่วได้ถูกต้องจริง ๆ ต้องรอจนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไปพบกฎแห่งกรรม โลกจึงได้มาตรฐานในการวัดความดีวัดความชั่วมาว่า ชั่วทางกายเป็นอย่างไร ชั่วทางวาจาเป็นอย่างไร ชั่วทางใจเป็นอย่างไร ดีทางกายเป็นอย่างไร ดีทางวาจาเป็นอย่างไร ดีทางใจเป็นอย่างไร แต่แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และค้นพบเรื่องกฎแห่งกรรมนี้ และทรงประกาศเรื่องกฎแห่งกรรมที่ทรงค้นพบไว้ตั้งแต่เมื่อ ๒,๖๐๐ กว่าปีมาแล้วความรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้ก็ยังไม่แพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก

           ดังนั้น คนที่ไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรมจึงมีมากกว่าคนที่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม แถมยังมีคนที่รู้กฎแห่งกรรมแล้ว แต่ก็มักง่าย คือ รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว แต่เห็นคนทำชั่วมีเยอะในโลก ตัวก็พลอยทำชั่วตามไปด้วย โลกจึงวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้

            ในโลกนี้พ่อแม่จำนวนมากเหลือเกินที่เลี้ยงลูกได้แต่กาย เลี้ยงใจลูกไม่เป็น เลี้ยงให้เป็นคนดีไม่เป็น จึงมักได้ยินคำพูดตามกันมาว่า คนเราเลี้ยงได้แต่กาย เลี้ยงใจไม่ได้ แต่ความจริงใจก็เลี้ยงได้ ถ้าเลี้ยงเป็น

           ใครที่มาบวชเป็นพระแล้ว ก็แสดงว่าใจของพ่อแม่ท่านใช้ได้ทีเดียวจึงได้ประคองเลี้ยงลูกมาให้มีใจงาม ๆ จนกระทั่งมาบวชได้

            พระคุณของพ่อแม่ในส่วนที่เลี้ยงดูใจของลูกจนลูกเป็นคนดีได้นี้เป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ตัวของท่านเองกว่าจะได้ความรู้นั้นมา ก็ต้องผ่านความยากลำบากนานาประการ ต้องศึกษามาปฏิบัติมา จนกระทั่งรู้ว่าดีกับชั่วเป็นอย่างไร และเพียรพยายามฝึกลูกให้รักความดี ห่างไกลความชั่วมาได้ นี้คือพระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่าน

           มีข้อฝากให้คิดว่า การศึกษาของโลกนั้นมุ่งกำหนดแต่มาตรฐานทางวิชาการ ไม่มีมาตรฐานทางด้านศีลธรรม จบการศึกษามาแล้วได้แต่ความเก่ง แต่ไม่ได้ความดีติดตัว เมื่อมีแต่ความเก่งไม่มีความดีเป็นกรอบขอบเขตของการคิดและการกระทำ ก็จะพากันเก่งในการทำความไม่ค่อยจะดี เก่งในการสร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนร่วมโลก โลกนี้จึงมีมิตรเทียมมากกว่ามิตรแท้ โลกจึงเดือดร้อนกันไม่หยุด

          การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีสามารถทำได้ หากทุกคนตระหนักถึงความสำคัญในภาระหน้าที่ของการเป็นพ่อแม่ ว่าจะสามารถสร้างคนดี สร้างมิตรแท้ให้กับเพื่อนร่วมโลก และมีส่วนที่จะทำให้โลกนี้สว่างไสวด้วยพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพึงขวนขวายศึกษาหาความรู้ทำความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมให้ถ่องแท้ และชักชวนกันทำความดี ปฏิเสธความชั่วให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกคน

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล