ฉบับที่ ๑๙๔ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๒

หลวงพ่อตอบปัญหา : ทำไมคนเราจะต้องสร้างบุญ และการศึกษาธรรมะมีความสำคัญอย่างไร ?

หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว

หลวงพ่อตอบปัญหา

             ถาม : ทำไมคนเราจะต้องสร้างบุญ และการศึกษาธรรมะมีความสำคัญอย่างไร ?

       ตอบ : ชีวิตคนเราอยู่ได้ด้วยบุญกับบาป ไม่ใช่อยู่เพราะว่ามีความรู้ เพราะว่ามีงานทำหรือใครเขาจะเคารพนับถือหรือไม่ แต่อยู่ที่บุญกับบาปในตัว แล้วบุญหรือบาปนั้น คนเราจะมีมากขึ้นหรือน้อยลงก็อยู่ที่ความสังเกตหรือความสะเพร่าของแต่ละคน

           ถ้าช่างสังเกต ในชีวิตก็สร้างบุญได้เยอะ ถ้าไม่สังเกต สะเพร่า ชีวิตนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว ยังจะได้บาปเยอะอีก นี้คือการมองอย่างคุณยายอาจารย์ฯ ของเรา

            คนเราขั้นต้นแบ่งได้ ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งคือกาย ส่วนที่สองคือใจ

            กายประกอบด้วยธาตุสี่ ใจประกอบด้วยธาตุรู้ ภาษาพระใช้คำว่า วิญญาณธาตุ แปลว่า ธาตุรู้

            ใจเป็นธาตุละเอียด โดยทั่วไปแล้วมองไม่เห็นด้วยตามนุษย์ แต่เห็นด้วยตาทิพย์ ด้วยตาธรรมกาย

          ส่วนธาตุสี่เป็นธาตุหยาบ ตามนุษย์เห็นได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครเป็นคนที่ละเอียดลออ ก็จะเห็นอาการต่าง ๆ ของธาตุสี่ในตัวได้ และธาตุสี่ในตัวไม่ใช่ธาตุบริสุทธิ์จึงมีการแตกสลายเป็นเหตุบังคับให้ต้องเติมธาตุสี่เพิ่มเข้าไปในกายอยู่เสมอ โดยใช้ธาตุสี่จากสิ่งแวดล้อมภายนอกเข้ามาเติมในรูปของอาหารเป็นหลัก แล้วเราก็ได้ข้อสรุปว่า ร่างกายนี้มีอาหารหรือแท้จริงก็คือมีธาตุสี่หล่อเลี้ยงจึงอยู่ได้

         คำถามต่อไปคือ แล้วใจต้องมีอะไรหล่อเลี้ยงหรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าใจก็มีการเสื่อมสลายด้วย แล้วอะไรคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงใจให้ดำรงอยู่ได้

       ใจก็เป็นสิ่งที่ไม่คงอยู่เช่นนั้นตลอดไป มีการเกิดการดับเช่นกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไปเห็นเข้าก็ทรงมาชี้ให้ดูว่าใจเกิดดับเร็วแค่ไหน เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวใจเกิดดับเป็นล้าน ๆ ครั้ง คำว่า “ลัดนิ้วมือ” เป็นอย่างไร ก็จากนิ้วที่เหยียดตรงอยู่แล้วงอลงมา หรือนิ้วที่งอ ๆ อยู่ยืดเหยียดออกไป หรือดีดนิ้วมือเปาะหนึ่ง นี้เรียกว่าลัดนิ้วมือ เพียงลัดนิ้วมือเท่านั้น ใจมีการเกิดการดับเป็นล้าน ๆ ครั้ง ธรรมดาเราก็มองไม่เห็นใจอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อใจเกิดดับหรือเกิดตายเร็วขนาดนั้น มนุษย์จึงสังเกตอาการเกิดอาการตายของใจไม่เห็น

         เหมือนกับไฟฟ้ากระแสสลับ ที่ไฟฟ้ามีการสลับขั้วจากขั้วบวกไปขั้วลบ จากขั้วลบไปขั้วบวก กลับไปกลับมาอย่างต่อเนื่องประมาณ ๕๐ ครั้งต่อวินาที ซึ่งจริง ๆ แล้วมีช่วงที่ขาดห้วงขาดตอนอยู่ เพราะขณะที่มันวิ่งจากขั้วบวกไปขั้วลบ ไฟฟ้าก็เกิดขึ้นแว็บหนึ่ง และขณะที่มันวิ่งจากขั้วลบกลับไปขั้วบวก ไฟฟ้าก็เกิดขึ้นอีกแว็บหนึ่ง แต่เกิดในทิศทางที่ตรงข้ามกัน

          ดังนั้น การที่เราเห็นหลอดไฟฟ้าสว่างต่อเนื่อง แท้จริงมันกะพริบ ๆ เช่นเดียวกับฟ้าแลบแต่ว่ามันกะพริบถี่มาก ๆ ตามนุษย์แยกไม่ออก จึงคิดว่ามันสว่างตลอดเวลา

         ไฟฟ้ามีเกิดดับ ส่วนใจก็เกิดดับล้าน ๆ ครั้งต่อลัดนิ้วมือ ถ้าเปรียบกับไฟฟ้าซึ่งกะพริบขนาดนี้ ตามนุษย์เลยมองตามไม่ทัน แล้วทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมองทันการเกิดดับของใจ นั่นเพราะพระองค์ทรงฝึกความละเอียดของใจมากขึ้นจึงทรงเห็นได้ ขั้นต้นทรงเห็นด้วยตาทิพย์ ต่อมาทรงเห็นด้วยตาธรรมกาย แล้วทรงนำมาบอกมาสอนแก่มนุษย์

         คำถาม อะไรคืออาหารใจ คำตอบสั้น ๆ บุญเป็นอาหารใจ นับแต่โบราณมาปู่ย่าตาทวดของเราชาวไทยขยันทำบุญ แสดงว่าความรู้ของท่านก้าวหน้ามาก จึงรู้ว่าใจก็มีความจำเป็นต้องได้อาหาร

      เรื่องการเติมอาหารให้กายและใจของคนนั้น อุปมาเหมือนรถยนต์ ปัจจัยให้รถแล่นไปมี ๒ ส่วน คือ มีน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอาหารเครื่องยนต์ และมีไฟฟ้าเป็นตัวจุดระเบิดทำให้เกิดการเผาไหม้กลายเป็นพลังงานขับเคลื่อนรถให้แล่นไป ถ้ามีน้ำมันแต่ขาดไฟฟ้ารถแล่นไม่ได้เช่นกันถ้ามีไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่แต่ขาดน้ำมัน รถก็แล่นไม่ได้ ถ้าขาดทั้ง ๒ อย่างก็แล่นไม่ได้ต้องมีครบทั้งน้ำมันและไฟฟ้ารถจึงแล่นได้

        คนเราก็เช่นกัน แข็งแรง ๆ อยู่อย่างนี้ ถ้าหยุดกินอาหารเมื่อไร มีบุญก็มีไปเถิด เดี๋ยวก็ต้องตาย หรือถึงเวลาก็ได้กินอาหาร แต่ถ้าหมดบุญวันไหนละก็ นอนไปคืนนี้ พรุ่งนี้ไม่ตื่นแล้วมันเป็นอย่างนี้ ปู่ย่าตาทวดของเราเมื่อท่านฝึกตัวเองมากขึ้นก็พบเรื่องนี้ ทุกเช้าเมื่อตื่นขึ้นมาท่านจึงต้องสร้างบุญก่อนด้วยการตักบาตรบ้าง รับศีลบ้าง เพราะว่าต้องเติมบุญให้ใจ ซึ่งวิธีเกิดของบุญนั้นมีอยู่โดยย่อ ๓ ทาง คือ ๑. ให้ทาน บุญก็เกิด ๒. รักษาศีล บุญก็เกิด ๓. เจริญภาวนา บุญก็เกิด เพราะอย่างนี้ปู่ย่าตาทวดของเราท่านไม่ประมาท นอกจากกินข้าวปลาอาหารเลี้ยงกายแล้ว ท่านยังตั้งใจทำบุญเพื่อหล่อเลี้ยงใจไปด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงอยู่กันสงบสุขดี แม้ความรู้ด้านเทคโนโลยีน้อย แต่เรื่องบุญเป็นเทคโนโลยีทางใจที่ปู่ย่าตาทวดเราเก่ง

         ในขณะที่พวกเราในยุคนี้จะค่อนข้างขาดเทคโนโลยีทางใจ ถ้าให้ปู่ย่าตาทวดมองชีวิตของคนในปัจจุบัน ปู่ย่าตาทวดจะมองอย่างไร ท่านคงจะบอกว่า “ลูกหลานเอ๋ย เอ็งประมาทแล้วเอ็งรู้จักแต่จะเติมธาตุสี่ แต่ไม่รู้จักเติมบุญให้ตัวเอง ที่เอ็งเกิดมาแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้จนกระทั่งมาเดินกันเต็มถนน หรือว่ามาบวชกันอยู่เต็มวัดได้นั้น เป็นเพราะบุญเก่าของเอ็งที่ติดตัวมามันยังมีอยู่ ถึงเอ็งยังไม่ได้เติมบุญใหม่เข้าไป บุญเก่าซึ่งเหมือนกับไฟฟ้าในแบตเตอรี่มันยังมีอยู่ มันก็ช่วยเผาผลาญธาตุสี่ภายนอกให้เลี้ยงกายมีชีวิตต่อไป แต่นั่นแหละ ถ้าเอ็งประมาทเมื่อไร ไม่เติมบุญใหม่เข้าไป เมื่อบุญเก่าหมด แข็งแรงก็แข็งแรงเถิด เป็นลมล้มพับตายแบบปัจจุบันทันด่วนก็เป็นไปได้” อย่าว่าแต่หมดบุญเลย แค่บุญหย่อนหน่อยเดียว ทรัพย์สมบัติมีอยู่ก็วิบัติ หมดโอกาสใช้ เกิดไฟไหม้ น้ำท่วมได้ แม้ที่สุดความรู้ความสามารถมีอยู่ เศรษฐกิจเกิดผันผวนจากนอกประเทศบ้าง ในประเทศบ้าง ความแข็งแรงมีอยู่ ความสามารถมีอยู่ แต่บุญมันหย่อน เขาก็ปลดออก ไม่ให้ทำงาน เพราะฉะนั้นทรัพย์สมบัติใหม่ก็เลยไม่เกิด บางคนเมื่อตอนบุญตัวเองยังมีเต็มที่อยู่ เล่นหุ้น ราคาหุ้นเป็นล้าน พอเศรษฐกิจตกต่ำเหลือราคาแค่แสน ตกมาอีกเหลือราคาหลักหมื่น ตกมาอีกเหลือราคาแค่หลักพัน สุดท้ายเหลือราคาหลักสิบหุ้นใบเดิมแต่ว่าบุญเจ้าของหย่อน ราคามันก็ตกเอา ๆ จะเอาไปให้ใครเขาก็ไม่เอา เหมือนที่โบราณมีสำนวนว่า ทองมันกลายเป็นถ่านนั่นเอง

        เพราะฉะนั้น ห้ามล้อเล่นกับบุญกับบาป บาปเป็นเรื่องตรงข้ามกันกับบุญ แทนที่จะให้ทาน แต่ว่าไปขโมยเขา ก็ได้บาป ไปโกงเขา แทนที่จะรักษาศีลก็กลับไปทำลายศีลของตัวบาปก็เกิด แทนที่ตัวจะทำภาวนาให้ใจสงบหยุดนิ่ง กลับพากันไปก่อกวนความสงบคนอื่นเขาบาปก็เกิด ทำไปทำมาถึงคราวบาปท่วมก็ตกระกำลำบาก

       ขอฝากไว้เป็นข้อคิดนะ จะแก้ไขอะไรให้แก้ที่เหตุ หาทางสร้างบุญ เพิ่มบุญ เพิ่มพลังงานด้านบวกให้แก่ตัวเอง มีบุญแล้วใจผ่องใส คิดนึกอะไรก็มีสติสัมปชัญญะเต็มที่ เมื่อรู้แล้วว่ามีการผิดพลาด ก็ไปสังเกตว่ามันผิดพลาดตรงไหน ผิดพลาดตรงคุณภาพหรือปริมาณ ดูแล้วสังเกตให้ได้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร แล้วก็ปรับให้ลงตัวให้ได้ ปัญหาก็จะแก้ไขได้ลุล่วง อย่าเอาบาปมาลุยกัน ไม่เกิดประโยชน์เลย บุญเก่าก็หมดไป บุญใหม่ก็ไม่ได้สร้าง ถ้าทำอย่างนี้มีแต่หายนะจะเข้าครอบงำ เพราะบุญกับบาปอยู่เบื้องหลังความสุขความสำเร็จในชีวิตเรา

       ความตายนั้นอยู่ใกล้เรามาก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเราทุกวินาที ทุกลมหายใจ แต่ว่าเราไม่ทราบเลย ถ้าเราสามารถเห็นบุญเห็นบาปได้ชัด ๆ คนคนนั้นจึงจะรู้วันตายของตัวเองได้ แต่ตอนนี้น้อยคนในโลกนี้ที่สามารถเห็นบุญบาปในตัวเองชัดว่ามันหมดไปเท่าไร มันเพิ่มมาเท่าไร

       เราไม่รู้วันตายเพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าบุญในตัวเราขณะนี้มีเท่าไร ก็ได้แต่ทำบุญเผื่อเหนียวไป อย่าประมาทกันนะ เวลาเราขับรถ ที่หน้ารถยนต์จะมีมาตรวัดระดับน้ำมัน มีตัวบอกปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่อยู่ ขนาดมีบอกแล้วว่ามีน้ำมันมีไฟฟ้าเหลือเท่าไร ก็ยังไม่วายที่รถไปตายกลางถนนจนได้ เพราะว่าเผลอไปไม่ได้ดู แล้วตัวเราซึ่งไม่มีมาตรวัดบุญในตัวว่าเหลือเท่าไรโอกาสตายกลางทางง่ายเสียจริง ๆ เลย

        เพราะฉะนั้น ขณะยังมีลมหายใจอยู่รีบสั่งสมบุญไว้เถิด เพราะชีวิตก้าวสู่ความแตกสลายอยู่ทุกเมื่อ ถามว่าอายุขัยแท้จริงของคนเราเท่าไร บางคนอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปีตายก็มี ไม่ถึง ๗๕ ปีตายก็มี บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ไม่ทันได้คลอดออกมา ความจริงแล้วอายุขัยของมนุษย์มีความยาวเพียงแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เพราะว่าหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตายเช่นกั

      การที่คนเรามีอายุยืนยาวได้แค่ไหนนั้น อยู่ที่บุญในตัวของเราที่เป็นตัวหล่อเลี้ยงใจ แต่ว่าเรายังมองไม่เห็นว่าตอนนี้มีบุญอยู่เท่าไร เมื่อไม่รู้ว่ามีอยู่เท่าไร ก็ให้ถือว่าใกล้ ๆ จะหมดแล้วถ้าคิดอย่างนี้จะได้ขยันสร้างบุญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งจะกลายเป็นตัวเร่งให้เราขยันขึ้นมาการคิดถึงความตายหรือมรณานุสตินั้น คนมีปัญญาคิดก็จะกระปรี้กระเปร่า จะเร่งทำความดีให้ได้บุญมาก ๆ เมื่อบุญมากแล้วอายุก็จะยืน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้มีบุญมากแต่เมื่อถึงคราวร่างกายก็ต้องเสื่อมต้องแตกสลายเช่นกัน แต่ว่าบุญที่สั่งสมมาดีแล้วยังสามารถติดตัวข้ามชาติต่อไปอีก เมื่อเป็นเช่นนี้อยู่ในภาวะไหนก็ควรต้องทำบุญไว้ให้มาก

         คนฉลาดเมื่อคำนึงถึงความตายก็คิดที่จะสร้างความดี คิดที่จะสร้างบุญให้เยอะ ๆ ก่อนตายจะใช้ร่างกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อนี้ให้คุ้มเลย ก่อนที่กายนี้จะต้องกลับไปเป็นดินอีกครั้งจะต้องใช้ให้คุ้ม ถ้ามองอย่างนี้ความกระตือรือร้นที่จะทำความดีก็จะเกิดขึ้น เช่น คิดว่าชาตินี้ถ้าไม่รีบศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เต็มที่ ความฉลาดของเราก็จะเพิ่มมาได้แค่นิดเดียว แล้วชาติต่อไปถ้าไม่เจอคำสอนของพระองค์อีก เราไม่โง่ตายหรือ อย่ากระนั้นเลย ตั้งใจศึกษาธรรมะของพระองค์ ตั้งใจนั่งสมาธิเยอะ ๆ ให้ใจใส เกิดชาติต่อไปใจจะได้ใสมากหน่อย ถ้าเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หน้า พอท่านเทศน์สอน ก็ให้เราบรรลุธรรมปุ๊บปั๊บเลย ถ้าไม่เจอก็พอจะมีบุญเตือนตัวเองไม่ให้ถลำไปทำชั่วเพิ่มอีก ถ้าเราศึกษาธรรมะแล้วนำมาพิจารณาความจริงของชีวิตได้ละเอียดลออ แล้วเร่งสั่งสมบุญให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้น ธรรมะที่ศึกษาเรียนรู้มาก็จะเกิดประโยชน์แก่ตัวเองเต็มที่

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล