ฉบับที่ ๒๐ ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๗

จุดเปลี่ยนชีวิต ให้ได้มากกว่าคำว่า "รัก" ไหม..?? โดย ธัน ธนวรรธ

 

-: บันทึกเรื่องราวของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจากการมาวัดพระธรรมกาย :-

: ธัน  ธนวรรธ

              หากติดตามความเคลื่อนไหวในวงการโฆษณา จะสังเกตเห็นว่าเมื่อหลายปีก่อน มีโฆษณาที่กระตุ้นจิตสำนึกของความเป็น "ลูก" ชิ้นหนึ่ง ที่ปล่อยแม่ผู้ชราภาพไว้เพียงลำพังในบ้าน โดยไม่มีลูกคนไหนมาดูแล ทั้งๆ ที่มีฐานะความเป็นอยู่ดีท่ามกลางคฤหาสน์หรู แต่แม่ต้องนั่งกินข้าว มีสุนัขนั่งร่วมโต๊ะอาหารในตำแหน่งที่ลูกเคยนั่ง และพูดคุยกับสุนัขประดุจดังลูกตัวเอง ด้วยอาการเศร้า น้อยใจ และ รอคอยลูกผู้เป็นที่รักที่สุดเสมอ...

              ดูแล้วรู้สึกว่า Creative โฆษณาชิ้นนี้เก่งพอตัว เพราะสามารถเข้าถึงความลึกของปัญหาด้านหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม รวมทั้งยังสามารถสะท้อนและสะเทือนอารมณ์ ทำให้ ผู้มีพ่อมีแม่ หรือผู้ใหญ่ สูงอายุในบ้าน ได้กลับมานึกทบทวนตัวเองว่า เรื่องในโฆษณา.. ใช่ตัวเราที่ทิ้งพ่อแม่ไว้อย่างนั้นหรือเปล่า...?

              ปัญหาตรงจุดนี้เป็นบางมุม ที่ไม่อาจมองข้าม และเราเชื่อว่า ทุกครอบครัวต้องการความสุขที่มากขึ้น และคุณด้วยใช่ไหม...??

              ดังนั้น จึงขอเสนอเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง ที่มีทางออกที่ดีในการสร้างความสุขให้กลับคืนสู่ครอบครัวอีกครั้ง เพราะเขาได้ทำให้แม่รู้สึกว่า สิ่งที่ลูกมอบให้แม่นั้น มากกว่าคำว่ารัก โดยได้มอบ ของขวัญที่มีค่าที่สุดชิ้นหนึ่งให้กับแม่ แล้วก็ พบว่า ของขวัญชิ้นนี้ ทำให้แม่ค้นพบบางสิ่ง ของชีวิตที่ทำหายไป และมากไปกว่านั้น ของขวัญชิ้นนี้ได้ทำลายเครื่องกั้นความสุข ที่แม่ต้องการมาตลอดชีวิตลง และทำให้แม่ พบความสุขที่ยิ่งกว่า...

              โจ..วรวุฒิ กนกอุดม และคุณแม่ศิริรัตน์ กนกอุดม ครอบครัวที่ประกอบธุรกิจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ขายอะไหล่รถ โรงชุบโครเมียม ร้านอาหาร

              "แม่ผม..เป็นผู้หญิงที่ขยันมาก ทำงานตัวเป็นเกลียว หาเงิน หาทุกอย่างมาเพื่อลูกทุกคนโดยไม่ปริปาก บางทีเหนื่อยมากจนผมสงสาร ซึ่งอะไรก็ตามที่เป็นความสุขของลูกๆ แม่ยินดีจะทำ พอผมเรียนจบก็ได้เข้ามาช่วยกิจการของที่บ้านอย่างเต็มตัว ทำให้แบ่งเบาภาระท่านไปได้มาก ในฐานะที่ท่านลำบากมานานเพื่อลูกๆ และครอบครัวเราทุกอย่าง"

แม่           ..คือผู้หญิงที่คิดถึงทุกคนในครอบครัวก่อนตัวเอง

              ..คือผู้หญิงที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข

              จนบางครั้ง ดูเหมือนแบกทุกข์ทั้งหมดไว้คนเดียว

              แต่ทว่า..แม้แม่จะอดทนและเข้มแข็งขนาดไหนก็ตาม การใช้ชีวิตครอบครัวก็เลี่ยงไม่ได้เลย ที่จะไม่พบปัญหา ทุกครอบครัวมีปัญหาแทบทั้งนั้น ต่างกันก็แต่จะใหญ่หรือเล็ก จนบางครั้งทำให้แม่เครียด ไม่สบายใจเอามากๆ ประกอบกับแม่ต้องรับผิดชอบธุรกิจที่ ยุ่งมากจนแทบจะไม่สามารถให้เวลากับอะไรมากนัก โดยเฉพาะช่วงที่ลูกๆ ไม่อยู่ แม่ต้องบริหารงานในร้านอยู่คนเดียว กับอะไหล่รถเป็น พันๆ ชิ้น ต้องจำอุปกรณ์ทุกอย่างให้ได้หมดว่าอะไรอยู่ตรงไหน รู้ว่าอะไรประกอบกับส่วนของรถตรงไหน ต้องสั่งของ ต้องเช็คสต็อกสินค้า

              งานนี้ไม่ง่ายเลยใช่ไหม สำหรับแม่ที่มีอายุแล้วคนหนึ่ง !!

              "ผมรักแม่ และก็รู้ว่าเราจะต้องตอบแทนบุญคุณท่าน แต่ผมจะไม่เข้าใจวิธีการที่ถูกต้องเลยหากผมไม่ได้เข้าวัดพระธรรมกาย แล้วได้มีโอกาสเข้าอบรมธรรมทายาทภาคฤดูร้อน พอเปิดเรียนก็ทำงาน ชมรมพุทธฯ การเรียนดี และทำกิจกรรมควบคู่ไปด้วย จนกระทั่งได้รับรางวัลนิสิตดีเด่น และก็ได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรชวนคนมาวัด และที่สำคัญการได้มาศึกษาธรรมะทำให้ผมได้มาเรียนรู้ว่า การจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ให้หมดนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็นับว่ายังตอบแทนคุณของท่านไม่หมด จะตอบแทนท่านหมดก็ต่อเมื่อ หากท่านยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำท่านให้ตั้งศรัทธาอยู่ในพระศาสนาให้ได้ หากท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านพึงกระทำสามสิ่งนี้ให้ได้ เพื่อเป็นการปิดนรก เปิดสวรรค์ และชี้หนทางพระนิพพานให้แก่ท่านในที่สุด"

              ความเข้าใจของคนในปัจจุบัน หากไม่ได้ มาศึกษาพระพุทธศาสนา จะเข้าใจเพียงว่า การหาเงินทองมาให้ท่านเยอะๆ การพาท่านไปเที่ยวรอบโลก การพาท่านไปทานอาหารแพงๆ การทำให้ท่านไม่เดือดร้อน คงจะ เพียงพอแล้ว

              ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่ที่มากไปกว่านั้น เราต้องทำตามหลักที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน เพราะการกระทำเพียงแค่นี้ ก็ไม่สามารถประกันได้ว่า หลังจากท่านละโลกไปแล้ว ท่านจะตกนรกหรือเปล่า จะมีชีวิตหลังความตายที่ลำบากหรือสบาย..?

              "แต่การทำให้ได้เช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนัก เพราะถ้าง่าย คนทั้งโลกก็คงทำได้หมดแล้ว คือดูอย่างตัวผมเอง ทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้กับที่บ้านมาเกือบ ๑๐ ปี แม่ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนปฏิเสธศาสนาอะไร แถมยังเป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจดีมาก แต่ผมก็ยังไม่สามารถทำให้ท่านได้เข้าใจหลักธรรมอะไรได้ทั้งหมด ซึ่งถ้าเราทำให้ท่านได้เร็วกว่านี้ ท่านก็น่าจะมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่ เพราะมีที่พึ่งทางใจ"

              ในเมื่อเราไม่ใช่นักพูดที่เก่งที่สุด ไม่ใช่นักถ่ายทอด ความรักที่ดี พอๆ กับการสร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ด้วยแล้ว เราจึงจำเป็นต้องหาหนทางที่ดีกว่า...

              "ผมว่าวิธีที่ดีที่สุด ทั้งๆ ที่ลองมาเกือบ ๑๐ ปี ก็คือ ตั้งแต่ที่วัดมีการถ่ายทอดธรรมะผ่านดาวเทียม ผมจึงตัดสินใจติดจานดาวเทียม ที่เรียกกันว่าจานดาวธรรม เพื่อมอบเป็นของขวัญให้ท่าน ในเมื่อท่านไม่ค่อยมีเวลาไปวัด หรือไม่อยากไปด้วยประการใดก็ตาม เราก็น่าจะนำธรรมะไปสู่ตัวท่านที่บ้าน ซึ่งก็ได้ติดตั้ง และถ่ายทอดทางทีวีในห้องทำงานของแม่เลย ทำให้แม่ผมได้ดูทุกวัน แล้วผมก็พบว่าแม่ผมเปลี่ยนไป..."

              "แม่เอง ไม่ได้ตักบาตรในตอนเช้าอย่างต่อเนื่องมานานนับ ๑๐ ปี เดี๋ยวนี้ได้ตักบาตรในตอนเช้าทุกวันไม่ขาด ตั้งใจรักษาศีล ๕ ในวันพระก็จะรักษาศีล ๘ และใส่ชุดขาว นั่งสมาธิต่อเนื่องทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง จิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ทำให้แม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เดี๋ยวนี้มีความสุขมาก ปล่อยวางได้เยอะ อะไรที่กลุ้มใจ ที่ทำให้ใจหมองก็ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ มีหลักในชีวิต และรู้จักใช้มันอย่างถูกวิธี ผิดกับเมื่อก่อน

              ..แม่บอกว่าเป็นทีวีช่องที่ดีมากๆ ไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่คิดว่า จะทำรายการธรรมะได้น่าสนใจขนาดนี้ เดี่ยวนี้แม่แทบจะไม่ได้ดูช่องอื่นเลย เพราะดูช่องนี้แล้วใจมันสบาย ทำให้ได้หลักคิดอะไรหลายอย่าง เดี๋ยวนี้ปล่อยวางได้ ไม่รู้จะกลุ้มใจไปทำไม ทีวีช่องอื่นดูมาหลายสิบปี ไม่เห็นมีช่องไหนสอนเรื่องเหล่านี้ สื่อปัจจุบันนี้บางทีมีแต่เรื่องร้อนๆ ดูแล้วบางทีเราเอามาเครียดอีก ดูแล้วใจไม่ใส และตั้งแต่ดูจานดาวธรรม ทำให้เข้าใจเรื่องศาสนามากกว่าเดิมอย่างมากๆ เดี๋ยวนี้แม่มีความสุข ไม่ รู้สึกเหงา ไม่น้อยใจอะไรกับใคร รู้หลักการใช้ชีวิตครอบครัว ไม่ใจร้อน รู้หลักการพูด เพื่อให้ครอบครัวดีขึ้น ที่ได้สิ่งนี้ก็ต้องขอบใจโจ ที่เขาให้สิ่งนี้กับแม่..."

              ไม่เพียงแต่แม่เท่านั้นที่มีความสุข โจ ก็มีความสุขด้วย เพราะเครื่องกั้นความสุขในชีวิตของแม่ถูกทำลายลงแล้ว

              "แทบไม่น่าเชื่อ เพียง ๑ เดือน แม่ผมเปลี่ยนได้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้แม่ผมใจเย็นขึ้นมาก ชวนแม่ไปนั่งสมาธิ ๗ วัน ที่พนาวัฒน์ จ.เชียงใหม่ ก็ยินดีไป แถมตอนนี้แม่ผมมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดีกว่าผมเสียอีก จากเดิมที่ผมมักจะเล่าธรรมะให้แม่ฟ’ง เดี๋ยวนี้ แม่ผมก็นำธรรมะมาเล่า มาสอนลูกๆ ผมว่าอะไรที่หามาได้ทั้งชีวิตนี่ ก็เทียบไม่ได้กับการที่แม่ผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น..."

              สิ่งดีๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่นี้หรอกสำหรับครอบครัวของโจ เพราะหลังจากที่ดูรายการเทเหล้า-เผาบุหรี่ จากรายการธรรมะผ่านจานดาวธรรม ทำให้โจกำจัดเหล้าจำนวนหลายขวดที่เก็บไว้ในตู้โชว์มาหลายสิบปี ซึ่งล้วนแล้วแต่ราคาแพงๆ ออกจากบ้าน เพราะเห็นโทษภัยของอบายมุข และเป็นการเริ่มสิ่งดีๆ ที่อยากให้เกิดขึ้นในครอบครัวตามมาอีก

              "ยังมีครอบครัวอื่นอีกจำนวนมากที่มีการเปลี่ยนแปลงดีๆ เกิดขึ้น เพราะอย่างครอบครัวผม รายการดาวธรรม กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว และผมเองก็เชื่อเหลือเกินว่า รายการนี้จะเป็นประโยชน์มากกับทุกบ้าน เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย อย่างในบ้านที่มีผู้สูงอายุซึ่งท่านอยู่บ้านเฉยๆ ลูกหลานเองก็ไปทำงาน ไปเรียนกันหมด หากไม่มีอะไรดีๆ เพื่อเป็นที่พึ่งให้ท่านได้ เมื่อท่านอยู่เฉยๆ ก็คิดมากไปต่างๆนานา คิดว่าตัวเองไม่มีค่า น้อยใจ รอวันหมดอายุขัยไปเปล่าๆ บางคนก็ขี้กังวล ห่วงลูกคนนั้น คนนี้ ผมว่าจานดาวธรรมนี่แหละดี เข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้"

             รายการธรรมะอื่นๆ ก็มี จำเป็นมากแค่ไหน ที่จะต้องเป็นจานดาวธรรม

             "ตามความรู้สึกส่วนตัวผม ดาวธรรมเป็นอะไรที่ใช่เลย.. เป็นธรรมะที่มีรูปแบบทันสมัยมาก ดูแล้วไม่น่าเบื่อ ไม่ง่วง ลองสังเกตสิ..สมัยนี้พอพูดถึงพระเทศน์ บางคนจะง่วง เป็นอะไรที่ถ้าไม่ทุกข์จริงๆ ก็ไม่เข้าหาพระ หรือคนแก่บางคน พอเราบอกให้ไปฟังพระเทศน์ เขายอมรับไม่ได้ แต่พอบอกว่าจะติดจานดาวเทียมถ่ายทอดรายการดีๆ มาให้เขาดูที่บ้าน เพราะรักเขา อยากจะมอบสิ่งดีให้เป็นของขวัญ อย่างนี้เขาดีใจ รับได้ เกิดความอยากดู และพอดู ก็ติดใจ เพราะมีรูปแบบรายการที่ไม่ซ้ำ และยังได้ข้อคิดอีกด้วย"

             แน่นอนเราเชื่อมั่นว่า แบบแผนวิถีชีวิตของคนไทย ทุกคนมีความรักและผูกพันกับพ่อแม่เป็นที่สุด แต่บางทีด้วยภาวะเศรษฐกิจ หรือภาระการมีครอบครัวใหม่ที่เพิ่มขึ้น หรือไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่ดูเหมือนทำให้เราห่างเหิน ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้รักท่านน้อยลงไปกว่าเดิมเลย แต่ความห่างเหินบางที ทำให้ท่านแอบน้อยใจ เศร้า เป็นทุกข์ ในสังขารที่ถูกบั่นทอนให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ พร้อมกับสภาพจิตใจที่ถดถอย เพราะไม่มีที่พึ่ง

             หากเป็นเช่นนี้ คำว่า "รัก" คำเดียวมันเพียงพอแล้วหรือ สำหรับผู้ที่รอคอยที่พึ่ง โดยเฉพาะหากผู้นั้นเป็นพ่อ แม่เรา เป็นปู่ ย่า ตา ยายของเราเอง

             หากคุณรักท่าน จงมอบของขวัญที่เป็นธรรมโอสถ ในรูปแบบที่น่าสนใจ เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์แบบทุกชีวิตในครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกสักอย่าง

             ซึ่งมันไม่มากเกินไปเลย เพื่อแลกกับความสุข ที่ท่านต้องการ และค้นหามาทั้งชีวิต แต่ยังไม่พบ

             ติดจานดาวธรรม สิ่งที่จะมอบเป็นของขวัญให้พ่อแม่ที่ มากกว่าคำว่า "รัก"

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล