ฉบับที่ ๒๑ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

หลวงพ่อตอบปัญหา "การดื่มสุราในวงเหล้า สร้างมิตรภาพได้จริงหรือ" โดย : พระภาวนาวิริยคุณ

 



               หลวงพ่อครับ คนเราชอบดื่มสุรา ทั้งๆ ที่รู้ว่าสุราเป็นของไม่ดี โดยมักจะอ้างว่า สุราเป็นน้ำกระชับมิตร เป็นน้ำประสานใจ บางคนคบหากันแล้วนำสุรามาดื่ม เปรียบเสมือน สุรานั้นเป็นน้ำสาบาน มิตรภาพที่เกิดจากการ ดื่มสุราเป็นน้ำสาบานนั้น มีความยั่งยืนหรือไม่อย่างไรครับ

 



              เรื่องของการดื่มสุรานั้น เรื่องหนึ่ง เรื่องของการสร้างมิตรภาพกันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง สองเรื่องนี้มันไม่ไปด้วยกันหรอก เรื่องของสุราเป็นเรื่องมีแต่เสียกับเสีย ตั้งแต่เสียทรัพย์ เสียสติ เสียมารยาท หรือตัดรอนปัญญาของตัวเอง สิ่งเหล่านี้เราก็รู้กัน แต่ว่าเกิดความเข้าใจผิดอย่างต่อเนื่องกันมานาน จนกลายเป็นค่านิยมผิดๆ ในสังคมขึ้นมา เห็นเหล้าสุรากลายเป็นของดีไป ความจริงแล้ว การดื่มเหล้า คือ การปิดปัญญาแต่เปิดนรกให้ตัวเองอย่างมาก

              เพราะฉะนั้น คนที่ไปดื่มเหล้าดื่มสุราเข้าเมื่อไร เท่ากับเขากำลังแสวงหานรกอยู่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปแสวงหาน้ำมิตรหรือเพื่อนแท้ได้ ถ้าได้ก็คงจะได้เพื่อนขาดสติไร้ปัญญาด้วยกัน เพื่อนประเภทนี้คบไว้ก็มีแต่จะชวนลงนรกเท่านั้น

              ส่วนในกรณีคนที่จะผูกเป็นมิตรภาพกันให้ได้ดีนั้น เป็นเรื่องของความมีสติสัมปชัญญะ มิตรภาพจะยั่งยืนอยู่ที่ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ขาดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันเมื่อไร ไม่ว่าลูกรัก ภรรยารัก เพื่อนรักก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าคุณอยากมีมิตรภาพ มีเพื่อนมาก มาสร้างความมีน้ำใจความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กันและกัน นั่นแหละคุณจะได้เพื่อนแท้

              ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

              คำตอบคือ เราต้องช่วยกันอุดความขาดแคลนให้กับคนที่เราคบหาอยู่ให้หมด แล้วเราก็จะรักกัน เราจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ถึงตายก็ไม่พรากจากกัน ความขาดแคลนของมนุษย์มีอยู่ ๔ เรื่องด้วยกันคือ

              ๑. ขาดแคลนในเรื่องทรัพย์
              ๒. ขาดแคลนในเรื่องของกำลังใจ
              ๓. ขาดแคลนในเรื่องของภูมิปัญญา ความรู้ความสามารถ
              ๔. ขาดแคลนในเรื่องของความปลอดภัย

               เมื่อเราอุดช่องว่างทั้ง ๔ อย่างนี้ ให้กับ ผู้ที่เราคบค้าสมาคมได้เต็มที่ เมื่อนั้นเราจะได้เพื่อนแท้ แต่หลวงพ่อบอกก่อนว่าเหนื่อยแทบ ใจขาดเลย เพราะทั้ง ๔ อย่างนี้ คือธรรมชาติของคนเรา วิธีจะอุดช่องว่าง ทำได้ดังนี้

              ประการที่ ๑ มีอะไรก็ปันกันกินกันใช้ เพราะธรรมชาติของคน สมบัติมักจะขาดมืออยู่เรื่อยไป เพราะทำทานข้ามชาติมาน้อย แต่ว่าเรามีความจริงใจต่อกัน พอสมบัติของเพื่อนขาดมือ เราก็พอให้หยิบยืมกันได้ ถ้าได้อย่างนี้ก็อุ่นใจมาระดับหนึ่ง

              ประการที่ ๒ พูดให้กำลังใจกัน เวลาเราทำงานหลายๆ ครั้ง เราจะพบว่ากำลังใจไม่พอ เมื่อเจออุปสรรค สิ่งที่รอนน้ำใจคนอย่างมากเลย ก็คือคำพูดดูถูกเหยียบย่ำกัน ตรงกันข้าม สิ่งที่ให้กำลังใจคนมากที่สุด ก็คือคำพูดอีกนั่นแหละ พระพุทธองค์ก็เลยตรัสไว้ว่า ให้มีปิยวาจานะลูก ถ้ารักจะกระชับมิตรไว้ให้ดี ต้องมีคำพูดที่ประสานน้ำใจให้กำลังใจกัน สิ่งนี้แหละที่จะกระชับมิตรตัวจริง

              ประการที่ ๓ ให้ความรู้กัน ยิ่งกว่านั้น เวลาทำงานมากเท่าไร ก็เจอปัญหาอีก คือปัญญากับงานตามกันไม่ค่อยทัน ความรู้ความสามารถชักจะหย่อนลงไป แล้วจะทำอย่างไร ถ้ามีใครมาช่วยเติมปัญญาตรงนี้ให้เราได้ จะเป็นเทคโนโลยีบ้าง หรือขอปัญญาคุณบ้าง ได้ความรู้แล้วเราก็เอาไปแก้ปัญหากันได้ ให้ตรงนี้เราได้ รักกันจนวันตาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่า "อัตถจริยา" ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่กัน คือให้ปัญญากันให้ได้

              ประการสุดท้าย เสมอต้นเสมอปลาย ยิ่งเราทำงานระดับชาติ ระดับโลกใหญ่ขึ้นไปเท่าไร ความปลอดภัยยิ่งไม่ค่อยจะมีเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยจากสภาพสังคมบ้าง จากศัตรูบ้าง ใครสามารถให้ความปลอดภัยกับเราได้ คนนั้นน่ารักที่สุด

              ทั้ง ๔ ประการนี้ ภาษาพระใช้คำว่า "สังคหะ" หรือการสงเคราะห์กัน คุณธรรมนี้มีอยู่ ในตัวใคร คนนั้นจะได้เพื่อนแท้ ยิ่งมีมากเท่าไร เพื่อนแท้จะไหลมาหาเราเป็นสายทีเดียว


บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล