ฉบับที่ ๒๒ ประจำเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

พุทธประวัติ "อนิยตโพธิสัตว์ และนิยตโพธิสัตว์"


พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ อนิยตโพธิสัตว์ และนิยตโพธิสัตว์

เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


             พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ อนิยตโพธิสัตว์ และนิยตโพธิสัตว์


             ๑. อนิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่เคย ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เลย เพียงแต่มีความตั้งใจที่จะสร้างบารมี ด้วยการคิดอยู่ในใจ และการเปล่งวาจา ซึ่งใช้เวลาหลายอสงไขย แต่ก็ยัง ไม่แน่ว่าจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต


             ๒. นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ย่อมเที่ยงแท้ว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งนิยตโพธิสัตว์นี้จะต้องประกอบด้วย ธรรมสโมธาน ๘ ประการ

อนิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่เคย
ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เลย
เพียงแต่มีความตั้งใจที่จะสร้างบารมี
ด้วยการคิดอยู่ในใจ และการเปล่งวาจา
ซึ่งใช้เวลาหลายอสงไขย แต่ก็ยังไม่แน่ว่า
จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่รับพยากรณ์จาก
พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ย่อมเที่ยงแท้ว่าจักได้เป็น
พระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งนิยตโพธิสัตว์นี้
จะต้องประกอบด้วย ธรรมสโมธาน ๘ ประการ คือ

ธรรมสโมธาน ๘ ประการ คือ

            ๑. ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะพระพุทธเจ้าจักทรงพยากรณ์แต่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่แค่ไหนก็ตามพระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด

            ๒. เกิดเป็นเพศชาย เพราะไม่เป็นเพศวิบัติ เป็นบุรุษเพศ แต่ถ้าเป็น เพศหญิง หรือเป็นบัณเฑาะว์ หรือเป็นกะเทย หรือเป็นบุคคลมี ๒ เพศ (อุภโตพยัญชนก) พุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด

            ๓. มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต ในขันธสันดานอย่างแรงกล้า เพราะหากว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุ คือความเป็นพระอรหัตยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีความแก่กล้าในขันธสันดาน พระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด

๑. ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะพระพุทธเจ้า
จักทรงพยากรณ์แต่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่แค่ไหน
ก็ตามพระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์
อย่างเด็ดขาด

๒. เกิดเป็นเพศชาย เพราะไม่เป็นเพศวิบัติ เป็นบุรุษเพศ แต่ถ้าเป็น เพศหญิง หรือเป็นบัณเฑาะว์ หรือเป็นกะเทย หรือเป็นบุคคลมี ๒ เพศ (อุภโตพยัญชนก) พุทธ-องค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด

๓. มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัตในขันธสันดาน อย่างแรงกล้า เพราะหากว่าเป็นบุคคล
ธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุ
คือความเป็น พระอรหัตยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีความแก่กล้าในขันธสันดาน พระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์ อย่างเด็ดขาด


            ๔. ได้พบพระพุทธเจ้า และได้บำเพ็ญกุศลใหญ่แล้วได้ตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์ เพราะว่า การได้รับพยากรณ์จักเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยพุทธฎีกา อันหลั่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

            ๕. เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา หรือนอกพระพุทธศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเป็นผู้ที่มีความเชื่อว่าบุญบาปมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และมีความมั่นคงในเพศบรรพชิต

๔. ได้พบพระพุทธเจ้า และได้บำเพ็ญกุศลใหญ่แล้วได้
ตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์
เพราะว่าการได้รับพยากรณ์จักเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย
พุทธฎีกาอันหลั่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
เท่านั้น
๕. เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา หรือนอกพระพุทธศาสนา อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเป็นผู้ที่มีความเชื่อว่าบุญบาปมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และมีความมั่นคงในเพศบรรพชิต
 


            ๖. มีคุณวิเศษ คือทรงอภิญญา สมาบัติอันเชี่ยวชาญ เพราะเป็นคุณสมบัติพิเศษเกินคนธรรมดาสามัญจักมีได้

            ๗. ได้เคยบำเพ็ญมหาทานบารมี โดยการสละชีวิตเพื่อแลกกับพระโพธิญาณมาก่อน เพราะเป็นปรมัตถมหาทานบารมี ที่ได้กระทำอย่างยิ่ง โดยเอาชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลก

            ๘. มีความรัก พอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง ไม่ได้ท้อแท้ต่ออุปสรรคเพราะต้องมีฉันทะปรารถนาพระโพธิญาณเกินคนธรรมดา แม้จะให้ทนอยู่ในนรกอย่างทุกข์ทรมาน ตลอด ๔ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป เพื่อแลกกับพระสัมมาสัมโพธิญาณก็ยอม

๖. มีคุณวิเศษ คือทรงอภิญญา สมาบัติอัน
เชี่ยวชาญเพราะเป็นคุณสมบัติพิเศษ
เกินคน ธรรมดาสามัญจักมีได้

๗. ได้เคยบำเพ็ญมหาทานบารมี โดยการ
สละชีวิตเพื่อแลกกับพระโพธิญาณมาก่อน เพราะเป็นปรมัตถมหาทานบารมี ที่ได้กระทำ
อย่างยิ่ง โดยเอาชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลก

๘. มีความรัก พอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง ไม่ได้ท้อแท้ต่ออุปสรรคเพราะต้องมีฉันทะ ปรารถนาพระโพธิญาณเกินคนธรรมดา แม้จะให้ทนอยู่ในนรกอย่างทุกข์ทรมาน ตลอด ๔ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป เพื่อแลกกับพระสัมมาสัมโพธิญาณก็ยอม

 


            พระโพธิสัตว์นับตั้งแต่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า เป็นนิยตโพธิสัตว์ ท่านยิ่งเพิ่มพูนบุญบารมีให้มากยิ่งขึ้น โดยมีน้ำใจอันประกอบด้วยพระพุทธภูมิธรรมอันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ คือ

            ๑. อุสสาหะ คือ ทรงประกอบไปด้วยความเพียรที่ติดแน่นอยู่ในใจอย่างมั่นคง ยังจิตของตนให้กระทำแต่กุศลกรรมเพียงอย่างเดียว ให้มีความมานะพากเพียรในการสร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดทุกภพทุกชาติที่เกิด

พระโพธิสัตว์นับตั้งแต่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า
แล้ว เป็นนิยตโพธิสัตว์ คือเป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะเป็น
พระพุทธเจ้าในอนาคต ท่านยิ่งเพิ่มพูนบุญบารมี
ให้มากยิ่งขึ้น โดยมีน้ำใจอันประกอบด้วย
พระพุทธภูมิธรรมอันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ คือ
๑. อุสสาหะ คือ ทรงประกอบไปด้วยความเพียร
ที่ติดแน่นอยู่ในใจอย่างมั่นคง ยังจิตของตน
ให้กระทำแต่กุศลกรรมเพียงอย่างเดียว ให้มีความมานะพากเพียรในการสร้างบุญบารมี
ให้ยิ่งขึ้นไปตลอดทุกภพทุกชาติที่เกิด
 


            ๒. อุมมัคคะ คือ ทรงประกอบด้วยปัญญาที่ติดแน่นอยู่ในใจอย่างมั่นคง ยังจิตของตนให้เชี่ยวชาญ เฉียบแหลม ในการสร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดทุกภพทุกชาติที่เกิด

            ๓. อวัตถานะ คือ ทรงประกอบด้วยการอธิษฐานที่ติดแน่นอยู่ในใจอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหว คลอนแคลนในการสร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดทุกภพทุกชาติที่เกิด

            ๔. หิตจริยา คือ ทรงประกอบด้วยเมตตาที่ติดแน่นอยู่ในใจอย่างมั่นคง มีความสงสารใคร่จักบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่หมู่สัตว์อยู่ตลอดเวลาให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดทุกภพทุกชาติที่เกิด

๒. อุมมัคคะ คือ ทรงประกอบด้วยปัญญา
ที่ติดแน่นอยู่ในใจอย่างมั่นคง ยังจิตของตนให้เชี่ยวชาญ เฉียบแหลม ในการสร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดทุกภพทุกชาติที่เกิด

๓. อวัตถานะ คือ ทรงประกอบด้วยการอธิษฐาน ที่ติดแน่นอยู่ในใจอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหวคลอนแคลนในการสร้างบุญ
บารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดทุกภพทุกชาติที่เกิด

๔. หิตจริยา คือ ทรงประกอบด้วยเมตตาที่
ติดแน่นอยู่ในใจอย่างมั่นคง มีความสงสาร
ใคร่จักบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่หมู่สัตว์
อยู่ตลอดเวลาให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดทุกภพ
ทุกชาติที่เกิด

 


            เมื่อนิยตโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญเพียรบารมีอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ท่านจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกหลายแสนโกฏิชาติ ดังนั้นบุญบารมีที่ได้สั่งสมมาอย่างตลอดต่อเนื่อง ย่อมทำให้ได้รับอานิสงส์ในการบ่มบารมีญาณ โดยจะไม่ไปบังเกิดในภพภูมิที่อาภัพ ๑๘ ประการอีก เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาในการสร้างบารมีอีกต่อไป

เมื่อนิยตโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญเพียรบารมีอย่างเต็มที่
เพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ท่านจะต้อง
เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกหลายแสนโกฏิชาติ
ดังนั้นบุญบารมีที่ได้สั่งสมมาอย่างตลอดต่อเนื่อง ย่อมทำให้ได้รับอานิสงส์ในการบ่มบารมีญาณ โดยจะไม่ไปบังเกิดในภพภูมิที่อาภัพ ๑๘ ประการอีก เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาในการสร้างบารมีอีกต่อไป
 


อาภัพ ๑๘ ประการ คือ

            ๑. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนตาบอดแต่กำเนิด

            ๒. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนหนวกแต่กำเนิด

            ๓. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนบ้า

อาภัพ ๑๘ ประการ คือ
๑. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนตาบอดแต่กำเนิด

๒. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนหนวกแต่กำเนิด

. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนบ้า

 

            ๔. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนใบ้

            ๕. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็น คนแคระ ง่อยเปลี้ย

. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนใบ้

๕. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนแคระ ง่อยเปลี้ย
 

            ๖. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดในชนชาติมิลักขะประเทศ คือประเทศป่าเถื่อน ไม่มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ไม่ได้พบกัลยาณมิตร ที่คอยให้คำแนะนำตักเตือน

            ๗. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดในท้องของนางทาสี เพราะไม่มีอิสระแก่ชีวิต ไม่เป็น ไทแก่ตน ต้องอยู่ในความควบคุมของผู้อื่น

๖. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดใน
ชนชาติมิลักขะประเทศ คือ ประเทศป่าเถื่อน ไม่มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ไม่ได้พบกัลยาณ
มิตร ที่คอยให้คำแนะนำตักเตือน
๗. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดใน
ท้องของนางทาสี เพราะไม่มีอิสระแก่ชีวิต
ไม่เป็นไทแก่ตน ต้องอยู่ในความควบคุม
ของผู้อื่น
 

            ๘. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคน นิยตมิจฉาทิฏฐิ หมายถึง พวกที่มีความเห็นผิดอันไม่มีขอบเขต เป็นรากเหง้าของวัฏฏะ ไม่มีโอกาสหลุดพ้นจากภพ เป็นผู้ถูกห้ามหนทางสวรรค์ และหนทางมรรคผลนิพพาน

            ๙. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นเพศหญิง หรือเป็นบัณเฑาะว์ หรือเป็นกะเทย หรือเป็นบุคคลมี ๒ เพศ (อุภโตพยัญชนก)

            ๑๐. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่ทำอนันตริยกรรม คือ กรรมหนัก ๕ อย่าง คือ
                        ๑.ไม่ฆ่าพ่อของตนเอง
                        ๒.ไม่ฆ่าแม่ของตนเอง
                        ๓.ไม่ฆ่าพระอรหันต์
                        ๔.ไม่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงห้อพระลหิต
                        ๕.ไม่ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน

            ๑๑. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนโรคเรื้อน โรคร้ายแรง

            ๑๒. เมื่อกำเนิดในสัตว์ดิรัจฉาน ย่อมเป็นสัตว์อยู่ในประเภทที่มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่กว่าช้าง

            ๑๓. ไม่เกิดในขุปปิปาสิกเปรต (เปรตผู้หิวกระหาย) และ นิชฌามตัณหิกเปรต (เปรตผู้ถูกความอยากเผาผลาญ) และกาลกัญชิกาสูร (เปรตชนิดหนึ่งที่ตัวสูงใหญ่มาก)

            ๑๔. ไม่เกิดในอเวจีมหานรก และโลกันตนรก

            ๑๕. เมื่อเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นกามาวจร ก็ไม่เป็นเทวดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ และไม่เป็นเทวบุตรมาร

            ๑๖. ไม่เกิดเป็นอสัญญีพรหม ซึ่งเป็นพรหมที่มีแต่รูปร่าง ไม่มีความรู้สึกนึกคิด และไม่เกิดเป็นสุทธาวาสพรหม เพราะว่า สุทธาวาสพรหมจะต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์ในไม่ช้า

            ๑๗. ไม่เกิดในอรูปภพ เพราะเป็นอรูปพรหมที่ทำ ฌานที่ไม่มีรูปมากำหนดเป็นอารมณ์ จักมีอายุยืน ยาวมาก

            ๑๘. ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่น

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล