ฉบับที่ ๒๖ ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

กิจที่ควรกระทำก่อนถึงวันขึ้นปีใหม่ เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

 



----------------------------------------------------------------------------------------------------
เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)


              วันนี้เป็นวันอาทิตย์ต้นเดือนสุดท้ายของปี ซึ่งถ้าจะว่าไปอีกทีสำหรับเด็กๆ อาจจะมีความรู้สึกว่า กำลังจะเป็นหนุ่ม เป็นสาว หรือว่าโตขึ้นมาอีกปีหนึ่ง

             ส่วนผู้ใหญ่ก็อาจจะมีความรู้สึกว่า แก่ขึ้นอีกปีแล้ว หรือถ้าพูดแบบไม่เกรงใจก็ต้องบอกว่า กำลังเข้าใกล้หลุมฝังศพอีกก้าวหนึ่งแล้ว

             เพราะฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องย้อนกลับมาทบทวนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าหรือเป็นเด็ก ว่า ๑ ปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ ความแก่ด้วยวัยนั้นใครๆ ก็หนีไม่พ้น แต่ว่าบุญบารมีของเราได้แก่ตามอายุไปด้วยหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องมาหยุดคิดพินิจพิจารณากัน

             ถ้าทบทวนดูแล้วปรากฏว่า นอกจากเราจะแก่โดยวัยโดยอายุแล้ว บุญบารมีของเราก็แก่ตามไปด้วย ถ้าอย่างนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างมาก

              แต่ถ้าพบว่าเราแก่ไปโดยวัยเพียงอย่างเดียว ส่วนบุญบารมีของเราไม่ได้แก่ตามไปด้วยเลย อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างมากอีกเช่นกัน

              คำว่า "บุญบารมีของเราไม่ได้แก่ตาม" ใน ที่นี้ หมายถึง ทานของเรา ศีลของเรา ภาวนา ของเรา ไม่ได้แก่กล้าตามอายุไปด้วยนั่นเอง

              คือต้องทั้งแก่ด้วยและกล้าด้วย เพราะคำว่า "กล้า" แปลว่า แข็ง หรือว่ามั่นคง

             ยกตัวอย่าง ต้นไม้ ถ้าเป็นไม้ยืนต้นประเภทไม้เนื้อแข็ง พอมีอายุมากเข้า แก่นที่อยู่ภายในลำต้นก็โตตาม นั่นคือความแก่กล้าตามวัยของต้นไม้ต้นนั้น

              แต่ว่ามีไม้ยืนต้นบางชนิด เช่น ต้นมะพร้าว ต้นตาล เป็นต้น พอมีอายุมากเข้า เนื่องจากเป็นไม้ยืนต้นประเภทไม่มีแก่น เมื่อไม่มีแก่น เนื้อไม้ก็ ไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาผ่านไปๆ คุณประโยชน์ของมันก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

             ยิ่งเป็นประเภทไม้ล้มลุก มีอายุเพียงแค่ ๑ ปี หรือว่า ๒ - ๓ ปี ก็ตายแล้ว เพราะไม้ประเภทนี้ยิ่งไม่มีแก่นเลย

             แล้วอะไรล่ะที่เป็น "แก่นของคน" ก็บอกว่า "บุญบารมี" นั่นเอง ที่เป็นแก่นของคน

             อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านได้เทศน์เอาไว้ชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเป็นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม หรือว่ากายอรูปพรหม ก็ตาม กายเหล่านี้ไม่ใช่เราเพิ่งมาสร้างขึ้น แต่ว่าเป็นของที่มีอยู่แล้ว

             เพราะว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากบุญบารมี ที่ เราสร้างของเรามาข้ามภพข้ามชาติ นับเป็นอสงไขยชาติ อสงไขยภพ อสงไขยกัป

             จนในที่สุด ด้วยอำนาจบุญบารมีที่สะสมมานั้น ส่งผลก่อให้เกิดเป็นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม และกายอรูปพรหม เกิดขึ้นภายใน กายมนุษย์หยาบของเรา เหมือนอย่างกับแก่นไม้ที่เกิดขึ้นมาเอง ตามอายุของต้นไม้นั้น

              ใครที่ในแต่ละชาติได้สร้างบุญ สร้างบารมี สร้างความดีมามาก กายภายในของเขาก็ประณีตมาก ดวงธรรมของเขาก็โตมาก

              ดวงธรรมในที่นี้หมายตั้งแต่ดวงปฐมมรรค ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ และ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เพราะฉะนั้นดวงธรรมยิ่งโต ก็ยิ่งดี

              ถ้าเราสะสมดวงธรรมได้โตมากเท่าไร ใจของเราก็มั่นคงด้วยอำนาจของบุญของดวงธรรมมากเท่านั้น

             ศีลของเราก็มั่นคง ขยายตามส่วนของดวงศีล

             สมาธิของเราก็แก่กล้า ขยายตามส่วนของดวงสมาธิ

             สติปัญญาของเราก็เฉียบแหลม ขยายตามส่วนของดวงปัญญา

             หลวงปู่วัดปากน้ำฯ ท่านยังพูดเอาไว้อีกว่า คนทั่วไปดวงธรรมในตัวของเขา ไม่ว่าจะเป็นดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ หรือว่าดวงวิมุตติญาณทัสสนะก็ตาม โดยเฉลี่ยแล้วโตเพียงแค่ ไข่แดงของไก่เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้โตเท่าไรนัก

             แต่ว่าคนที่อบรมบ่มนิสัยมาดี สร้างบุญสร้างบารมีมาดี ดวงธรรมในตัวของเขาจะโตกว่านั้น คืออย่างน้อยก็ขนาดลูกเทนนิส หรือขนาดผลส้มหย่อมๆ

             สำหรับผู้ที่บารมีแก่กล้าขึ้นมาอีก ดวงธรรมในตัวของเขาจะโตขนาดดวงจันทร์ เวลาข้างขึ้นเดือนหงาย

             บางคนสะสมบุญบารมีมากเข้าๆ ดวงธรรมในตัวของเขาจะโตขนาดดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน

              ดวงธรรมนี้ แม้จะอยู่ภายในตัวของเรา คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ หรือบางทีเจ้าตัวเองก็ยังมองไม่เห็น

              แต่ว่าความสว่างของดวงธรรมนั้นนั่นเอง ที่จะส่งผลทำให้เขาไม่ว่าจะวินิจฉัย หรือตัดสินความ อะไร ก็ถูกต้องร่องรอย ไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อนซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการกัน

              แล้วดวงธรรมดวงนี้ เราสามารถจะเร่งวันเร่งคืนขยายให้โตได้ไหม ก็บอกว่าได้ แต่ว่าก็คง ไม่ได้แบบเป่าลูกโป่งหรอกนะ เพราะลูกโป่งพอได้มาเราก็เป่าลมพรวดๆ เข้าไป มันก็โตขึ้นมาทันที แต่ว่าโตแบบลูกโป่งนั้นอยู่ไม่คงทน

              ส่วนบุญบารมีที่เราสร้างขึ้นมา โดยวิธีเร่งให้ทาน เร่งรักษาศีล เร่งนั่งสมาธิจะโตแบบมั่นคง โตแล้วไม่ยุบลงไปอีก แต่ว่าก็คงไม่ได้โตอย่างพรวดพราดเหมือนอย่างกับลูกโป่ง

              เพราะฉะนั้น ใกล้จะสิ้นปีอยู่แล้ว ใครที่สำรวจตรวจสอบตัวเองแล้วพบว่า ทานของเรายังบกพร่อง ไม่ค่อยได้ทำอย่างต่อเนื่องเท่าไร

             เมื่อวันขึ้นปีใหม่ปีที่แล้ว ก็ตั้งใจว่าจะตักบาตรทุกวัน แต่ว่าจนกระทั่งจะสิ้นปีอยู่แล้ว เพิ่งตักบาตรไปได้เพียงแค่อาทิตย์เดียว หรือว่าเดือนเดียวเท่านั้นเอง

             ความตั้งใจหายไปไหนก็ไม่รู้ ทำให้ตักบาตรบ้าง ไม่ตักบาตรบ้าง ถ้าหลวงพ่อ หลวงพี่ขืนรอเราละก็ คงอดหัวโต หรือไม่ก็สึกไปบ้างแล้วก็ไม่รู้
ถ้าเป็นอย่างนี้ เวลาที่เหลืออยู่ประมาณ ๑ เดือนนี้ รีบไปตักบาตรเอาบุญส่งท้ายปีเก่ากันเสียให้ดี

             ใครที่เมื่อต้นปีตั้งใจจะรักษาศีลให้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือว่าศีล ๘ ก็ตาม แล้วเกิดไปกะพร่องกะแพร่งเสียระหว่างทาง เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่นี้ รีบตั้งใจรักษาศีลให้ดีเยี่ยม โดยการรักษาศีล ๘ เลย จากนี้ไปก็คงจะได้บุญไม่น้อยถ้าหากเรารักษาอย่างเคร่งครัด จริงจัง

             แม้ท่านที่ตั้งใจรักษาศีลมาอย่างจริงจังแล้ว ถ้าปลายปีนี้ ยิ่งเร่งให้ศีลบารมีแก่กล้ายิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการรักษาศีล ๘ แล้วจะแถมมาอยู่ธุดงค์ วันขึ้นปีใหม่ด้วยก็เอา ขอโมทนาล่วงหน้าด้วย

              หรือว่าท่านที่นั่งสมาธิต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ต้นปี จะส่งท้ายปีนี้ด้วยเวลาที่เหลือ คือใครที่พอจะแบ่งเวลาไปนั่งสมาธิภาวนาได้ต่อเนื่อง ๗ วัน ๑๐ วัน หรือตลอดจนกระทั่งถึงวันสิ้นปีได้ ก็ยิ่งดี ทำเถอะ

             เพราะว่าเป็นการเร่งสร้างบุญสร้างบารมีของเราแบบเย็นๆ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจ หากใครมีโอกาสทำได้ก็รีบทำเสีย

              ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็แสดงว่าปีเก่าที่กำลังจะผ่านไปนี้ วัยของเราไม่ได้ล่วงพ้นไปเปล่าๆ เรา ไม่แก่เปล่าเลย เพราะว่าบุญบารมีของเราได้แก่กล้า ตามไปด้วย

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล