ฉบับที่ ๓๐ ประจำเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘

อานุภาพของทิศ ๖ (ตอนที่ ๒)

 

 

เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา
พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

             ครั้งก่อนเราได้ศึกษากันมาแล้วว่า ทิศ ๖ ประกอบด้วยตัวของเราเองเป็นแกนกลาง แล้วแวดล้อมด้วยบุคคลอีก ๖ กลุ่ม ซึ่งบุคคลแต่ละกลุ่มล้วนมีความสัมพันธ์กัน ทั้งยังมีอิทธิพลต่อ ความเสื่อม ความเจริญ ความโง่ ความฉลาด สารพัดเรื่องราวกับเรา ในฐานะและหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป

             คนเรานั้นไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาดีเพียงลำพังคนเดียวได้ เนื่องจากถ้ามองเข้าไปดูในตัวเองแล้วจะพบว่า พวกเราเป็นผลพวงของทิศ ๖ เพราะว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาพร้อมกับความไม่รู้ทั้งสิ้น

             เมื่อไม่สังเกตตรงนี้ให้ดี แล้วไปดูเบาใน ทิศ ๖ มนุษย์ถึงไม่เจริญเท่าที่ควร แล้วยังไม่โทษตัวเองแต่กลับไปโทษคนอื่นเสียอีก จึงทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตัวเอง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้ถูกจุด ยิ่งแก้ก็ยิ่งแย่

             เพราะฉะนั้น ทิศ ๖ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยของสังคมที่เล็กที่สุด แต่ว่ามีความสำคัญที่สุด และทรงอานุภาพที่สุดนี้ ถ้าไม่ระมัดระวังกันให้ดี ย่อมเป็นที่มาแห่งความเสื่อม ความวิบัติ ของ ทุกสิ่งทุกอย่างได้



             หน้าที่สำคัญของทิศ ๖ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อมีอยู่ ๓ เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ

๑. เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังนิสัยใจคอ

             นิสัยของคนเรานั้นได้มาจากทิศ ๖ ซึ่งเมื่อสรุปแล้วจะเหลือแค่ บ้าน วัด โรงเรียนนี่เอง ไม่ใช่ตกลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่หลั่งไหลมาเองเหมือนอย่างกับน้ำฝนบนท้องฟ้า
             คือตอนเล็กๆ เราก็ได้คุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์ ลุงป้าน้าอา หลวงปู่ หลวงพ่อ ช่วยกันอบรมให้ จนกระทั่งกลายมาเป็นนิสัยใจคอของเรา

             ส่วนว่าท่านจะอบรมได้ดีขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะไม่มีใครจะอบรมบ่มนิสัยใจคอ หรือคุณงามความดี ให้กับผู้อื่นได้มากกว่าที่ตัวเองมีอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านมีสติปัญญาเท่าไหร่ ท่านก็อบรมให้เราได้เท่านั้น

             ยกตัวอย่าง เวลาลูกกินข้าวแล้วไม่ล้างจาน คุณแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะให้คนรับใช้เอาไปล้าง นั่นเริ่มเพาะนิสัยไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองให้ลูกแล้ว

             เด็กคนนี้พอโตขึ้นมาก็เลยรับผิดชอบอะไรไม่เป็น แล้วอย่างนี้จะหวังให้มารับผิดชอบวงศ์ตระกูล หวังจะให้รับผิดชอบต่อทรัพย์สมบัติ เขาจะไปรับผิดชอบได้อย่างไร ในเมื่อแค่จานข้าวที่ตัวเองกินก็ยังไม่ล้างเลย

๒. เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความเก่งความดี

             ทิศ ๖ เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความเก่งความดี หรือความรู้ ความสามารถและคุณธรรมประจำใจ แต่ว่าอย่าเอาเรื่องของนิสัยใจคอ กับความเก่งความดีมาปนกัน
             เพราะไม่ว่าใครจะเป็นคนหยาบ เป็นคนละเอียด เป็นคนทำอะไรประณีต เป็นคนทำอะไรทิ้งๆ ขว้างๆ ก็ตาม นั่นเป็นนิสัยไม่ได้เกี่ยวกับ ความรู้ ความสามารถ ยังไม่เกี่ยวกับเรื่องว่าดีหรือเลว
             ความรู้ความสามารถตลอดจนความเก่งความดีของมนุษย์ ก็ได้มาจากทิศ ๖ อีกเหมือนกัน อย่าคิดว่าเก่งได้ด้วยตัวเอง ถ้าใครคิดอย่างนั้นแสดงว่าเป็นคนเนรคุณ ทั้งต่อพ่อแม่และครูบาอาจารย์ทีเดียว
             เพราะกว่าคุณพ่อคุณแม่จะอบรมเลี้ยงดูมาก็แทบแย่ กว่าครูบาอาจารย์จะเคี่ยวเข็ญสั่งสอนมาก็แทบแย่ แต่พอโตขึ้นมาเป็นคนที่มีทั้งความรู้ความสามารถ กลับบอกว่าตนนั้นเก่งได้ด้วยตัวเอง
             เมื่อทิศ ๖ เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความเก่งความดีให้กับเราอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ลูกเอ๊ย เวลาประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรก็ตาม นึกถึงพระคุณทิศ ๖ ของเราด้วย
             เช่น เวลาเล่นกีฬาชนะ ก็ให้หันหน้าไปทางทิศที่คุณพ่อคุณแม่ของเราอยู่ แล้วกราบท่านสักทีหนึ่ง โรงเรียนของเราอยู่ทิศไหน หันหน้าไปทางทิศนั้น กราบครูบาอาจารย์สักทีหนึ่ง แล้วหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่เราเคารพนับถือท่านอยู่ทิศไหน กราบไปทางทิศนั้นสักทีหนึ่ง แล้วจะมีแต่ความสุขความเจริญ
             ไม่ใช่ไปกระโดดโลดเต้น ร้องกรี๊ดๆ ดีใจ อย่างนั้นไม่เอานะ

๓. เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความสุขความเจริญ

             ทิศ ๖ เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความสุขความเจริญของคนในสังคม ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ไม่ใช่เพียงเฉพาะของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
             เพราะจากนิสัยใจคอ จากความเก่งความดีที่มีอยู่นั่นเอง ทำให้คนๆ นั้น คิด พูด ทำ ในทางที่ดี ในสิ่งที่ถูก จึงกลายเป็นความสุขความเจริญ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
             แต่ถ้าเขาเอาไป คิด พูด ทำ ในทางไม่ดี ในสิ่งที่ผิด ก็จะกลายเป็นความทุกข์ความเสื่อม ทั้งชาตินี้และชาติหน้าอีกเหมือนกัน

แหล่งกำเนิดกับแหล่งปลูกฝังนี้มีความหมายคล้ายๆ กัน

             คือตัวของเราตอนแรกนั้นเหมือนเป็นที่ว่างๆ แล้วทิศ ๖ ก็เอานิสัยใจคอ เอาความรู้ ความสามารถ เอาความดี มาปลูกให้เกิดขึ้นมาในตัวเราพูดง่ายๆ สิ่งใดที่เรายังไม่มี เช่น คุณความดีใดๆ ที่ยังไม่มีอยู่ในตัว ความรู้ความสามารถ ที่ยังไม่มีอยู่ในตัว ก็ได้ทั้ง ๖ ทิศรอบข้างเรานั่นแหละเอามาปลูกให้

             ปลูกเสร็จก็ยังคอยเฝ้าดูแล คอยประคบประหงม เพาะบ่มให้งอกเงยขึ้นมา จนกระทั่งโตวันโตคืน แล้วแทรกซึมอยู่ทุกอณูในเลือด ในเนื้อ ในจิตในใจของเรา กลายเป็นนิสัยใจคอ เป็นธรรมะประจำใจ เป็นความรู้ความสามารถ เป็นความเก่งความดี เป็นความสุขความเจริญ
เมื่อสิ่งเหล่านี้เติบโตขึ้นในตัวเราแล้ว วันหนึ่งเราก็เอาทั้งธรรมะ เอานิสัยใจคอที่ดีๆ เอาความรู้ ความสามารถ ความเก่ง ความดี ความสุขกาย ความสุขใจของเรา เที่ยวไปหว่านไปโปรยให้กับคนอื่นต่อไป

             บางครั้งถ้าสิ่งที่ได้รับมานั้นเจริญงอกงามเต็มที่ เราก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเอาย้อนกลับไปให้กับคนที่เคยให้เรา เพราะของเราตอนนี้โตกว่าของเขาแล้ว

             ยกตัวอย่าง หลวงพ่อเอง โยมพ่อโยมแม่ประคบประหงมมา ครูบาอาจารย์ประคบประหงม มา จนกระทั่งเจริญเติบโตมาได้ระดับหนึ่ง แล้วเราก็พัฒนาต่อมาเรื่อยๆ

             ครั้นได้มาบวช เราก็สามารถพัฒนาสิ่งที่ท่านช่วยกันปลูกให้นั้นได้มากขึ้น
             เมื่อมากขึ้นจนกระทั่งโตกว่าต้นเดิม หลวงพ่อก็นำย้อนกลับไปแจกโยมพ่อโยมแม่ นำย้อนกลับไปแจกครูบาอาจารย์ในสถาบันต่างๆ

             เมื่อย้อนกลับไปกลับมาได้อย่างนี้ ท่านจึงใช้คำว่าทิศ ๖ มีหน้าที่เป็นทั้งแหล่งกำเนิด เป็นทั้งแหล่งปลูกฝัง

             ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอานุภาพของทิศ ๖ อย่างหนึ่ง ที่เราพอจะมองออกได้นั่นเอง

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล