ฉบับที่ ๓๒ ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘

"ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ในสังคมยุคปัจจุบัน"

 


สังคมไทยทุกวันนี้เปลี่ยนไปมาก เนื่องจากผู้คนมุ่งแต่ทำมาหากิน จนกระทั่งหารอยยิ้ม แทบไม่ค่อยจะเจอ กราบขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แนะ วิธีใช้ชีวิตให้มีความสุข ในสังคมยุคนี้ด้วยเจ้าค่ะ?

            ความจริงไม่ว่ายุคนี้ หรือยุคไหนๆ ก็ตาม ถ้าคนเรามุ่งแต่เรื่องการทำมาหากิน ก็ยากที่จะหาความสุขได้ เพราะว่าชีวิตของคนเรานั้น ถึงจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้ชีวิตเป็นสุขได้

             พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้สติเอาไว้ว่า การที่คนเราจะมีความสุขในชีวิตทางโลกได้ ต้องมีองค์ประกอบ ๔ ประการด้วยกัน ได้แก่

             ๑. มีทรัพย์ คือ มีงานทำ มีรายได้ ถึงจะมีความรู้สึกว่า ยิ่งหาทรัพย์ได้มากก็ยิ่งดี ก็ไม่ว่ากัน

             ๒. ใช้ทรัพย์เป็น แม้หาทรัพย์ได้มาก แต่ถ้าใช้ทรัพย์ไม่เป็น ทรัพย์ที่หามาได้มากๆ นั้น อาจจะไม่พอใช้ หรืออาจจะนำใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร จนมีโอกาสทำให้เกิดความเดือดร้อนได้

             ความผิดพลาดจากการใช้ทรัพย์ที่หามาได้ไม่เป็นนี้เอง ที่ทำให้คนส่วนมากมีความรู้สึกว่า การดำเนินชีวิตในยุคนี้ยากจริงๆ เพราะต้องเร่งรีบ ต้องดิ้นรนกัน จนกระทั่งอย่าว่าจะยิ้มให้คนอื่นเลย แม้แต่จะยิ้มให้กับตัวเองในกระจก ยังไม่ค่อยจะมีเวลาเลย

             การบริหารทรัพย์ที่หามาได้อย่างถูกต้องนั้น สิ่งที่ต้องระมัดระวังให้มากคือ อย่าบริหาร ทรัพย์ด้วย รายรับกับรายจ่าย แต่ต้อง บริหารทรัพย์ด้วยรายเหลือ พูดง่ายๆ หามาได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญว่าเหลือเท่าไหร่ และใช้ออกไปอย่างไรต่างหาก

             แต่ก็ไม่ใช่กระเหม็ดกระแหม่ เก็บเอาไว้จนร่ำรวย แม้เวลาป่วยไข้ ก็ยังไม่อยาก เอาออกมาใช้ คุณพ่อคุณแม่ซึ่งเลี้ยงดูเรามา ก็ไม่อยากจะให้ท่านเพื่อเป็นการตอบแทน พระคุณ กลายเป็นคนขี้เหนียวไปเสียอีก

             อย่างนี้ก็เรียกว่าใช้ทรัพย์ไม่เป็นอีกเหมือนกัน เพราะแม้ได้ทรัพย์มา ก็ทำให้เดือดร้อน ในการเก็บรักษา ส่วนการนำทรัพย์ที่หามาได้ไปใช้ในทาง ไม่ถูกไม่ควร เช่น นำไปใช้ในเรื่องอบายมุข ก็จะทำให้เกิดความเสียหายหนักยิ่งขึ้นไปอีก

             ๓. ไม่มีหนี้ ในปัจจุบันต้องเรียกว่าเราใช้เงินกันไม่เป็น บริหารเงินไม่เป็นเพราะพวกเรา เป็นหนี้ กันเยอะ แล้วหลายคนกลับไปคิดว่า ที่เป็นหนี้เพราะว่ามีรายได้น้อย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น

             มีการสำรวจพบว่า ชาวบ้านอยู่กันในหมู่บ้านสบายๆ มีรายรับเพียงพอ รายจ่ายก็มีไม่มาก เท่าไหร่ แต่วันดีคืนดี ทางการตัดถนนเข้าหมู่บ้านเท่านั้น หนี้ก็เพิ่มขึ้นมา ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนี้ทั้งหมู่บ้าน ไม่มีใคร เคยเป็นหนี้เลย

             เพราะพอถนนตัดเข้าไปก็เริ่มรู้สึกมีความจำเป็น ขึ้นมาทันทีว่า ถ้าไม่มีรถปิคอัพ ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ ไว้ขับไปไหน มาไหน ชักจะน้อยหน้าคนอื่นเสียแล้ว ก็เลยไปซื้อรถปิคอัพ ไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ แบบผ่อนส่งมา อยู่ดีๆ ได้หนี้มาก้อนใหญ่ทีเดียว

             ยิ่งมีไฟฟ้าเข้ามาอีก ทีนี้ทั้งตู้เย็น ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด มีความจำเป็นขึ้นมาอีกแล้ว
ก็เลยต้องเป็นราชาเงินผ่อน ผ่อนนั่น ผ่อนนี่ ของบางอย่างไม่ควรจะผ่อน ก็ผ่อน แต่ถ้าหากจำเป็น เช่น ไม่มีบ้านจะอยู่ จะต้องผ่อนบ้านก็ไม่ว่ากัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ดู ให้เหมาะสมกับฐานะ อย่าไปผ่อนบ้าน ที่ใหญ่โตนัก

             นี่คือสิ่งที่คนในยุคนี้ไม่ระมัดระวังตัวกันให้ดี ทำให้ต้องดิ้นรนเพื่อที่จะหาทรัพย์ให้ได้มากๆ เข้าทำนองปากกัดเท้าถีบ และทำให้มีความรู้สึกว่า เป็นยุคที่เศรษฐกิจ บีบคั้น แต่ความจริงไม่ว่ายุค ไหนๆ ก็เหมือนกัน ทั้งนั้น ถ้าใช้เงินไม่เป็น ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายโดยไม่รู้ว่าความจำเป็น มีแค่ไหน มีอะไรเป็นเครื่องวัด

             สิ่งเหล่านี้เมื่อไม่ค่อยได้ศึกษากันให้ดี ผลสุดท้ายก็เลย ต้องเดือดร้อนกันอย่างทุกวันนี้ แล้วยังไปโทษคนอื่น อีกว่าทั้งหมด นี้เป็น ความผิดของรัฐบาล เกือบทุกรัฐบาล ที่เข้ามาบริหาร บ้านเมือง ทำให้เราเป็นหนี้

             ๔. ทำงานไม่มีโทษ เนื่องจากใช้ทรัพย์ไม่เป็น ปล่อยให้มีรูรั่วเยอะ ทรัพย์ที่หามาได้ก็เลย ไม่ค่อยจะพอใช้ เพราะฉะนั้น จึงต้องพยายามหางานที่ทำให้ได้เงินมากๆ

             แต่งานที่ทำให้มีรายได้มากๆ นั้นส่วนมากเป็นงานที่ มีโทษ เพราะมักจะเป็นงานประเภท ที่เกี่ยวกับอาชีพต้องห้าม ที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า มิจฉาอาชีวะ คือ ค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ ค้าสัตว์เอา ไปฆ่า ค้ายาพิษ ค้ายาเสพติด

             เมื่อไปทำงานอย่างนี้เข้า ทั้งๆ ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ว่ากลับเดือดร้อนหนักยิ่งขึ้นไปอีก เช่น บางคนไปทำอาชีพ ในทาง ส่งเสริมอบายมุข ตั้งแต่เปิดบ่อน เปิดบาร์ เปิดสิ่งที่ไม่ควร จะเปิดกัน นั่นแหละ ในที่สุดถึงได้เงินมามาก แต่ก็มีทุกข์ตามมาไม่น้อยเหมือนกัน

             เพราะฉะนั้น สำหรับคนในยุคนี้ ถ้าจะให้มีความสุขกันจริงๆ แล้วล่ะก็ ต้องปฏิบัติตนดังต่อ ไปนี้

             ประการที่ ๑ เอาเป็นว่าขอแต่เพียงพอมีกิน พอมีใช้ ระมัดระวังกันหน่อย ไม่ต้องไปตาโต ไม่ต้องกอบโกยอะไรมาให้มากมาย

             ประการที่ ๒ สิ่งที่จะส่งเสริมให้เป็นสุขได้จริงๆ คือ มีเพื่อนดีมีศีลธรรมเพราะจะทำให้เรามี โอกาส สร้างความดี สร้างบุญกุศลติดตัวไปมาก

             ถ้าทำกันได้อย่างนี้ แล้วจะพบว่าโลกใบนี้น่าอยู่ โดยเฉพาะเมืองไทย ถึงจะมีคลื่นยักษ์ สึนามิบ้าง ถึงจะมีอะไรต่ออะไรบ้าง เมืองไทยของเราก็ยังน่ารักอยู่ดี ไม่อย่างนั้น ใครๆ ก็คงไม่มาเที่ยว เมืองไทยกันหรอก

             เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในสังคม ยุคปัจจุบัน ก็ต้องทั้งหาให้เป็น ใช้ให้เป็น ไม่เป็นหนี้ และไม่ทำงาน ที่มีโทษ มีแต่เพื่อนที่ดีๆ แล้วเราจะมี ความดี มีบุญ เกิดขึ้นมา ทั้งเนื้อทั้งตัวทีเดียว 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล