Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน เทคนิคของยักษ์ช่วยคนเข้าถึงธรรม
ชีวิตของคนเราล้วนปรารถนาความสุขและความสำเร็จ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากความคิดดีๆ เมื่อความคิดดีจิตใจก็แจ่มใส มีอารมณ์ดี อารมณ์เบิกบาน คำพูดที่ผ่านมาก็จะเป็นปิยะวาจา ไพเราะ นุ่มนวล น่าฟัง เป็นลมปากเปิดทางที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสุขและความสำเร็จ
จากนั้นการกระทำที่ดีๆก็จะเกิดขึ้นตามมา เป็นกระบวนการแห่งความดีที่มีพลังอยู่ในตัว ยิ่งเราเสริมสร้าง พลังและกำลังใจด้วยการหยุดใจให้เป็นสมาธิ ความสุขก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น จนกระทั่งไร้ขอบเขต ความสำเร็จก็จะบังเกิดขึ้นตามมา เพราะสองสิ่งนี้จะเกิดไปพร้อมๆกัน บนวิถีชีวิตที่สงบสุข มุ่งมั่น สร้างสรรค์ตามธรรมลองคลองธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีวาระแห่งพุทธสุภาษิต ที่มาในมุจลินทสูตร ว่า ความสงบวิเวก เป็นสุขของผู้มีความยินดี มีธรรมอันสดับแล้ว พิจารณาเห็นธรรมอยู่เนืองๆ ความไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายเป็นสุข ความปราศจากราคะ ก้าวล่วงกามทั้งหลายเป็นสุขในโลก ความนำอัสมิมานะใหหมดได้เป็นสุขอย่างยิ่ง
ผู้รู้ได้กล่าวว่า วิถีชีวิตอันเรียบง่ายที่สุด คือชีวิตที่ดีที่สุด เพราะเป็นชีวิตที่สุขสงบ สันโดษ มีกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก สงบระงับจากกิเลสอาสวะ ไม่มีกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ไม่มีมานะถือตัว หรือเอาตัวไปเปรียบกับใคร แต่มีความพึงพอใจในตัวเอง ใครมีชีวิตแบบนี้ก็จะเป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ ยิ่งได้เข้าถึงธรรมก็จะมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะสุขอย่างใดก็ไม่เท่ากับใจหยุดนิ่ง ได้เข้าถึงธรรม การได้บรรลุสุขเข้าถึงธรรม เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนและสรรพสัตว์ทั้งหลายปรารถนา
บางคราการเข้าถึงธรรมของมนุษย์ก็ได้อาศัยอมนุษย์ช่วย อมนุษย์บางพวก อย่างเช่นยักษ์ ก็ได้เข้ามามีบทบาทในการช่วยสนับสนุนให้คนเข้าถึงธรรม ตัวอย่างเช่น ยักษ์ที่ช่วยเป็นกำลังใจให้มหาอุบาสกท่านหนึ่ง คือท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ในครั้งที่ท่านได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ซึ่งในคืนก่อนจะเข้าเฝ้านั้นท่านเศรษฐีได้ตื่นขึ้นถึงสามครั้งเพราะเข้าใจว่าสว่างแล้ว ในใจก็มีแต่ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปหาพระบรมศาสดาเร่งวันเวลาที่จะให้เช้าไวไว
แต่ก็ไม่ทันใจกระทั่งทนไม่ไหว จึงตัดสินใจออกไปนอกพระนครเพียงลำพัง โดยไปทางประตูป่าสีตวัน ในท่ามกลางความมืดมิด ระหว่างทางนั้นท่านเศรษฐีได้เกิดความกลัวขึ้นมา มีความหวาดเสียวขนพองสยองเกล้าเกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
สีวะกะยักษ์ เห็นประโยชน์ใหญ่ที่จะเกิดขึ้นกับท่านเศรษฐีในการไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้เปล่งเสียงปลอบโยนอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้ท่านเศรษฐี มีความกล้าหาญในการก้าวเดินต่อไป
โดยให้กำลังใจว่า ถึงแม้ท่านจะมีพลช้าง พลม้า รถเทียมม้าอัสดรอย่างละหนึ่งแสน ก็ไม่ถึงเสี้ยวที่สิบหกแห่งกำลังใจของท่าน ในการที่จะก้าวไปข้างหน้าต่อไป ยักษ์ก็ปลอบใจมาเรื่อยๆ
จนในที่สุดท่านเศรษฐีก็ได้มาถึงที่พำนักของพระบรมศาสดา และก็ได้ฟังธรรมจนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน และก็เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา
ส่วนมหาอุบาสิกาที่ได้บรรลุธรรมเพรายักษ์ก็มี เช่น มหาอุบาสิกา ชื่อ กาฬี แห่งกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นเป็นวันนักษัตร ในคราวอาสาฬหะ
มหาอุบาสิกาได้ขึ้นไปบนปราสาทเปิดหน้าต่างยืนรับลมอยู่ ยักษ์สาตาคิรีและยักษ์เหมวตได้กล่าวสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย กล่าวถึงพระพุทธคุณที่ไม่มีประมาณ มหาอุบาสิกาฟังแล้วเกิดมหาปิติ มีความเลื่อมใส ก็ถือเอาพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลในขณะที่ยืนฟังอยู่นั้นเอง
ต่อมาท่านก็ได้รับการสถาปนาจากพระบรมศาสดาว่าเป็นผู้เลิศแห่งอุบาสิกาผู้มีความเลื่อมใสในการฟังธรรม
อีกเรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องของยักษ์ ที่มีส่วนช่วยในการบรรลุธรรมของสามเณรให้ได้บรรลุธรรมขั้นสูงเป็นพระอรหันต์ เรื่องก็มีอยู่ว่ากว่าที่ท่านจะมาเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เกือบจะลาสิกขาไปแล้ว ท่านเป็นผู้มีบุญได้บรรพชาตั้งแต่วัยเยาว์
ในครั้งที่ท่านเป็นสามเณรน้อยอยู่ ก็น่ารัก ได้ประพฤติปฏิบัติต่อพระอุปชาจารย์อย่างดีเยี่ยม และก็เป็นที่รักของเพื่อนสหธรรมิก
แต่พอท่านเริ่มก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ความรู้สึกนึกคิดจิตใจก็เปลี่ยนไป เพราะฮอร์โมนในร่างกายมันกระตุ้นให้เกิดความกำหนัดยินดี พอเป็นสามเณรโตก็อยากจะลาสิกขาไปมีครอบครัวแบบชาวโลก มารดาในอดีตของท่านซึ่งเป็นยักษ์ตามปกป้องคุ้มครองท่านอยู่ พอทราบว่าท่านคิดจะลาสิกขาจึงหาวิธีการที่จะทำให้ท่านกลับใจ
วันหนึ่ง ขณะที่ท่านไปบิณฑบาต ท่านก็แวะไปที่บ้านของโยมมารดาในปัจจุบัน ซึ่งท่านก็เป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว และได้บอกมารดาว่าอยากจะลาสิกขา
ทันใดนั้น ยักษ์มารดาในอดีตก็ได้เข้าสิงร่างสามเณร ได้บิดคอสามเณรจนหน้าเขียว น้ำลายฟูมปากเหมือนคนชักจะตาย แต่ที่ทำไปก็เพราะรักลูกเณร ไม่อยากให้ลาสิกขา ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายอะไร
ฝ่ายมารดาในปัจจุบันก็ตกใจที่เห็นลูกเป็นอย่างนั้น ทันใดนั้น น้ำเสียงของสามเณรก็เปลี่ยนไป เป็นเสียงของยักษ์ มารดาที่เป็นมนุษย์ก็ร้องไห้ เพราะสงสารลูกสามเณร
จึงบอกยักษ์ว่า ธรรมดาผู้ประพฤติธรรมมีศีล ทั้งยักษ์และนาค ครุฑ คนธรรพ์ ตลอดจนทวยเทพธรรมดา ต้องลงรักษาไม่ใช่หรือ แม้ตัวดิฉันก็มีศีลรักษาตัวอุโบสถศีลตลอดทุกปักษ์สม่ำเสมอไม่เคยขาดเลย ทำไมท่านถึงมาประพฤติเช่นนี้
ยักษ์ก็บอกว่าก็สามเณรนั่นแหละที่ประพฤติผิด เหล่าทวยเทพจึงเสียใจและไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง สักพักนึงยักษ์ก็ออกจากร่าง สามเณรก็กลับเป็นปกติ และก็แปลกใจที่เห็นมารดาร้องไห้ต่อหน้า จึงถามมารดาว่าเกิดอะไรขึ้น
มารดาจึงบอกว่า ยักษ์ได้เข้าสิงลูก เพราะความประพฤติไม่สมกับที่เป็นสามเณร มีใจคิดจะลาสิกขา แม้บวชอยู่ ต่อไปก็จะเหมือนคนที่ตายไปแล้ว สามเณร ซึ่งอันที่จริงท่านก็มีบุญเก่ามาก แต่วัยนี้ถูกกิเลส ราคะ ความกำหนัดยินดีมาครอบงำชั่วขณะ
พอเห็นมารดาร่ำไห้ก็เกิดความสงสารและก็เกิดหิริโอตัปปะขึ้นมาในใจ ดวงใจที่เคยมืด ก็พลันสว่างขึ้น ท่านก็รับปากยืนยันกับโยมมารดาว่าจะไม่ลาสิกขาแล้ว ต่อมาเมื่อท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ก็ตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา
ไม่นานก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อดีตยักษ์มารดาพร้อมด้วยเหล่าทวยเทพเทวาก็ยินดีปรีดา อนุโมทนาสาธุการกับท่าน ปลื้มปิติไปกับท่านด้วย ที่ท่านได้สำเร็จกิจอันสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศให้กับสรรพสัตว์และเป็นอายุพระพุทธศาสนา
การกระทำทุกอย่างของตัวเรา ไม่ว่าจะในทางความคิด คำพูด หรือการกระทำ ล้วนมีผลกระทบต่อมนุษย์ อมนุษย์ และทวยเทพทั้งหลาย เราจะคิดว่าเรื่องของเรา คนอื่นไม่เกี่ยว หรือเราจะคิด จะพูดจะทำอะไร มันก็ไม่ได้ไปหนักใจใคร ความคิดอย่างนี้ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ เพียงแค่ความคิดหรือความรู้สึกเล็กๆที่ออกจากจิตใจ แต่ว่ามีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ไปไกลถึงดวงดาวทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์ถึงได้กล่าวว่า เด็ดใบไม้ สะเทือนถึงดวงดาว ฉะนั้นเวลาที่เราจะคิด พูดหรือทำอะไรก็ตาม ต้องกรองให้ดีเสียก่อน อย่าให้ใครต้องมาเสียใจเพราะเรา ทุกอย่างที่ออกจากกายวาจาใจเรา ต้องสะอาด บริสุทธิ์ ดีงาม ให้ทั้งมนุษย์และเทวาได้ชื่นชม ได้รับความสุข ได้บุญกุศล รวมไปถึงได้เข้าถึงธรรมด้วย ซึ่งตัวเราก็ต้องขยันปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมด้วย