Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๑๐
ภายใต้กระแสโลกในยุคปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเพื่อจะเอาชนะ บางคนต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ แต่ชัยชนะภายนอก ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง เพราะผู้ชนะย่อมก่อเวร จากคู่แข่งก็เปลี่ยนมาเป็นคู่แค้น เป็นชัยชนะที่ไม่ยั่งยืน วันหนึ่งอาจต้องกลับพ่ายแพ้ ไม่มีใครที่เป็นผู้ชนะตลอดกาล
แต่สำหรับนักสร้างบารมีแล้ว เราต้องเร่งสร้างบารมีแข่งกับวันเวลาของชีวิต ที่เหลือน้อยลงไปทุกที เวลาคือคู่แข่งที่แท้จริงของเรา แม้เวลาจะเหลือน้อยลงแต่บุญบารมีของเราจะต้องให้เพิ่มขึ้นทับทวี สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราจะต้องเอาชนะคือ กิเลสอาสวะภายใน ยามใดที่เรากำจัดกิเลสอาสวะได้หมดสิ้น เมื่อนั้นเราก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีวันกลับมาแพ้อีกต่อไปนะจ๊ะ
มีธรรมภาษิตที่พระโบราณอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า
ขันติเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์
ขันติเป็นตบะของผู้พากเพียร
ขันติเป็นกำลังของผู้บำเพ็ญพรต
ขันตินำประโยชน์สุขมาให้
ขันติความอดทน คือการรักษาสภาวะของใจให้เป็นปกติ ไม่ว่าจะกระทบกับสิ่งที่พึงปรารถนาหรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม ก็ยังอดทนอดกลั้นไว้ได้ งานทุกชิ้นในโลกที่สำเร็จได้ จำเป็นต้องอาศัยขันติความอดทนเป็นพื้นฐาน จะเป็นนักบวชที่ดีก็ต้องมีขันติธรรมประจำใจ อดทนต่อกิเลสเครื่องเย้ายวนทั้งหลาย จึงจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้
พุทธองค์ถึงกับตรัสยกย่องขันติธรรมว่า ยกเว้นปัญญาแล้ว เราตถาคตสรรเสริญขันติว่า เป็นคุณธรรมอันเยี่ยม ความอดทนจึงเป็นเครื่องประดับ ที่ล้ำค่าของบัณฑิตนักปราชญ์ ที่จะขาดกันมิได้ เหมือนทหารในยามออกศึก จะขาดอาวุธและเสื้อเกราะไม่ได้เลย นอกจากนี้ครูบาอาจารย์ท่านยังชี้ให้เราดูหญ้าแพรก ที่อาศัยความอดทนต่อทุกสภาพดินฟ้าอากาศ จึงสามารถดำรงอยู่ได้ ไม่ว่าจะร้อนหรือหนาวก็ทนอยู่ได้
ในชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้มีความรู้น้อย มีกำลังทรัพย์น้อยแต่ถ้ามีความขยันหมั่นเพียร และอาศัยความอดทนแล้ว ก็สามารถนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตเราได้ ความอดทนนี่แหละทำให้เราน่ะเป็นยอดคน และสามารถเปลี่ยนจากคนธรรมดาให้กลายมาเป็นพระอริยเจ้าได้
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานในการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงใช้ความอดทนอย่างยิ่งยวดมาโดยตลอด ไม่เคยได้บารมีประเภทไหนมาฟรีๆ หรือได้มาอย่างง่ายๆ ล้วนต้องเอาชีวิตเข้าแลกทั้งนั้น จนกระทั่งได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูของมนุษย์และเทวาทั้งหลาย
เหมือนดังเรื่องของพระเตมียกุมาร ผู้ตั้งสัจจะว่า จะแสร้งทำเป็นคนง่อย คนใบ้ไม่พูดไม่จา เพื่อจะได้พ้นจากราชวังอกผนวช แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมีผู้มาทดสอบพระองค์ท่านตลอดเวลาอย่างนี้ ทดสอบกันทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี เพื่อจะให้ท่านเลิกล้มความตั้งใจนั้นเสีย ซึ่งในวันนี้เราก็จะได้มารับฟัง ขันติธรรมอันยอดเยี่ยมของพระองค์ ต่อจากเมื่อวานนี้กันนะจ๊ะ
พระราชกุมาร ทรงนึกถึงความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ที่เคยประสบมาในนรก ทรงมีเป้าหมายที่จะต้องออกไปให้พ้นจาก พระราชมณเฑียรให้ได้ จึงทรงอดทน อดกลั้นมั่นคงอยู่ในปณิธานเรื่อยมา พวกอำมาตย์ก็ได้กราบทูลพระราชาว่า ธรรมดาเด็ก ๙ ขวบย่อมกลัวศัสตรา จึงขออนุญาตทดลองพระราชกุมารว่า เป็นง่อยจริงหรือไม่ ด้วยการนำไปประทับนั่งที่พระลานหลวงกับกุมารทั้ง ๕๐๐ ร้อย แล้วให้บุรุษร่างใหญ่แต่งกายดุจเพชฌฆาต ทำทีประดุจจะประหารพระราชกุมาร เพชฌฆาตเกว่งดาบโห่ร้อง ขู่ตะโกน ร้องตวาดว่า “พระโอรสของพระเจ้ากาสิกราช มีลักษณะง่อยเปลี้ย เป็นใบ้ เขากล่าวกันว่าเป็นคนกาลกิณี บัดนี้อยู่ที่ไหน เราจะตัดหัวให้ขาดเสียเดี๋ยวนี้” แล้วพลางเดินปลี่เข้าหาพระราชกุมาร
พวกเด็กๆ เห็นดังนั้นก็เกิดความสะดุ้งกลัว ร้องลั่น วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง แต่พระกุมารก็ทรงนิ่ง เหมือนไม่ทรงรับรู้สิ่งใดเลย แม้คมดาบจรดที่พระศอแล้ว ก็ไม่อาจทำให้พระองค์สะดุ้งกลัวได้ แต่ผู้ที่ต้องสะดุ้งคือเพชฌฆาตจำเป็นนั่นแหละ เพราะไม่เคยเห็นใครที่ไม่กลัวความตาย วันนี้ได้เห็นพระกุมารผู้ไม่แยแสต่อความตาย นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัสจรรย์ยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าการกระทำของตัวเองไร้ผล บุรุษนั้นก็ล่าถอยไป
เหล่าอำมาตย์จึงเปลี่ยนมาทดลองด้วยวิธีใหม่อีก โดยนำน้ำอ้อยผสมข้าวยาคูและผลตาลสุกมาทาทั่วพระสรีระของพระราชกุมาร แล้วนำพระองค์ไปวางไว้ในแหล่ง ที่มีแมลงวันชุกชุม พระราชกุมารแม้จะถูกฝูงแมลงไต่ตอม ดูดดื่มกินน้ำหวานจนทั่วพระสรีระ ประดุจถูกแทงด้วยเข็มนับไม่ถ้วน แต่ก็ทรงนิ่งเฉยเช่นเดิม ไม่ร้องไห้ไม่แสดงอาการเจ็บปวด ไม่ทุรนทุรายให้ใครเห็น มีอาการปกติราวกับผู้นิรทุกข์
จนกระทั่งปีต่อมา คณะอำมาตย์ได้กราบทูลให้คำปรึกษาอีกว่า “ขอเดชะ เด็กที่มีอายุได้ ๑๐ ขวบก็จัดว่าเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแล้ว ผู้ที่อยู่ในวัยนี้จะเริ่มรักความสะอาด รังเกียจสิ่งปฏิกูล พวกข้าพระองค์จะทดลองด้วยของโสโครกพระเจ้าข้า” เมื่อกราบทูลดังนี้แล้ว ก็ไม่ให้พี่เลี้ยงนางนมสรงสนานให้พระราชกุมาร ปล่อยให้พระองค์ทรงถ่ายหนักถ่ายเบา อยู่ในที่ซึ่งพระองค์บรรทมอยู่นั้นเอง ทำให้ฝูงแมลงวันบินมารุมไต่ตอมพระองค์ จนแทบจะมองไม่เห็นพระวรกายเลย เพราะกลายเป็นดุจซากศพปฏิกูลซึ่งเป็นที่อาศัยของฟูงแมลงวัน
พระราชกุมารทรงได้รับทุกขเวทนา แสนสาหัสมายาวนาน แม้แต่พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทาเทวี ทั้งสองพระองค์ ก็หาได้ทุกข์ทรมานน้อยไปกว่า พระโอรสของพระองค์ไม่ โดยทั่วไปพระราชบิดานั้นยังพอข่มพระทัยได้ แต่พระราชมารดา ยากที่จะข่มพระทัยได้ ทั้งสองพระองค์ทรงเกิดความละอาย ต่อข้าราชบริพารยิ่งนัก ทั้งทรงทุกข์ร้อนแทนพระราชกุมาร จนพระทัยแทบจะแตกสลาย จึงทรงแหวกฟูงแมลงวัน ตรงเข้าโอบกอดพระโอรสผู้เป็นที่รักยิ่ง โดยไม่ได้ทรงรังเกียจ
ทรงกรรแสงคร่ำครวญราวกับว่า พระชนม์ชีพจะแตกดับ แล้วตรัสวิงวอนพระโอรสว่า “ลูกเตมิยกุมาร พวกเรารู้ว่า ลูกไม่ได้เป็นคนง่อยเปลี้ย ไม่ได้เป็นคนบอด คนหนวก เพราะคนพิการเขาไม่ได้มีมือมีเท้าอย่างนี้ และไม่ได้มีช่องปากช่องหูอย่างนี้ เจ้าเป็นลูกที่พ่อและแม่ได้มาด้วยการอธิษฐานจิต ขอแต่เหล่าเทพยดา และตั้งตารอคอยด้วยความหวัง บัดนี้เจ้าก็โตแล้ว ใครเขาจะประคับประคองเจ้าได้ตลอดไป เจ้าไม่ละอายบ้างหรือ เจ้าจะทนนอนอยู่ทำไม จงลุกขึ้นชำระล้างร่างกายเถิด”
พระราชกุมารแม้ทรงเกลือกกลั้ว อยู่กับกองคูถที่น่าขยะแขยงเช่นนั้น แต่พระหทัยของพระองค์ก็ไม่ได้หวั่นไหว ทรงวางอารมณ์เป็นกลาง เพราะทรงคำนึงถึงกลิ่นเหม็นของคูถในนรก ที่พระองค์เคยประสบมา แม้ผู้ที่ยืนอยู่ในที่ไกลถึงร้อยโยชน์ ก็ยังต้องสะอิดสะเอียน ถึงแม้พระราชาและพระราชเทวี จะทรงพล่ำบ่นอ้อนวอนพระโอาสอย่างไร ก็ไม่สามารถทำจิตของพระโอรสให้หวั่นไหวหรือให้โอนอ่อนได้เลย พระโอรสยังคงมีมนัสมั่นต่อปณิธานที่ได้ตั้งเอาไว้ เอาแต่บรรทมนิ่ง เหมือนไม่ได้ทรงสดับพระวาจานั้น ทรงอดกลั้นความโศกาอาดูรนั้นเสีย ด้วยทรงนึกถึงเป้าหมาย ที่จะต้องออกผนวชให้ได้
ปีต่อมาเหล่าอำมาตย์ก็ใช้วิธีใหม่อีก โดยทดลองพระราชกุมารด้วยถ่านเพลิง ด้วยการวางกระเบื้องบรรจุไฟไว้ใต้พระแท่นที่บรรทม พระราชกุมารแม้จะถูกเปลวไฟสุมรุมอยู่เบื้องล่าง จนเกิดความร้อนไปทั่วพระสรีระของพระองค์ ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่ก็มิได้ขยับพระหัตถ์หรือพระบาทเลย กลับทรงสอนพระองค์เองว่า “เตมิยกุมาร ความร้อนในนรกแผ่ไปตั้งร้อยโยชน์ สามารถทำลายจักษุของมนุษย์ แม้อยู่ไกลถึงร้อยโยชน์ได้ ความร้อนของเปลวเพลิงนี้ ยังดีกว่าความเร่าร้อนในนรกนั้น ตั้งร้อยตั้งพันเท่า”
ครั้นทรงดำริฉะนี้แล้ว ก็ทรงอดทนต่อความร้อนนั้น มิได้หวั่นไหวเหมือนพระผู้เข้านิโรธสมาบัติ แต่พวกอำมาตย์เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน คำว่าไม่ยอมแพ้ก็คือ ไม่ไปนำราชกุมารออกมาเหมือนแต่ก่อน ทำให้พระองค์ได้รับทุกขเวทนามาก ส่วนว่าพระโอรสจะฝ่าวิกฤตไปได้อย่างไร ก็ให้มาติดตามรับฟังกันต่อในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ
ข้อคิดสำหรับวันนี้คือ เราต้องอดทนให้ถึงที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งใจเอาไว้ อย่ายอมแพ้ท้อแท้ท้อถอย ให้ฝ่าฟันอุปสรรค์ไปจนกว่าจะถึงชัยชนะกันนะจ๊ะ