Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 14
การทำตนให้พ้นจากอาสวะกิเลสจนเข้าถึงอายตนนิพพาน จะต้องสั่งสมบารมีให้เต็มที่ ยิ่งถ้าเลือกเส้นทางที่สุดแห่งธรรมซึ่งเป็นเส้นทางสู่การรื้อวัฎฏะก็ยากยิ่งขึ้นไปอีก ต้องสร้างบารมีชนิดที่ไม่มีขีดจำกัดของเวลา
มีเพียงแต่ความแก่กล้าของบารมีธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้ได้บรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดของชีวิต การจะก้าวข้ามสังสารวัฏไปได้ต้องอาศัยการสั่งสมบุณบารมีอย่างยิ่งยวด จะขาดการสั่งสมบุญเพียงวันเดียวก็ไม่ได้
และต้องทำอย่างนี้ข้ามภพข้ามชาติ ทำจนบาปไม่ได้ช่อง ให้สายธารแห่งบุญไหลผ่านตัวเราตลอดเวลา โดยเฉพาะบุญจากการเจริญสมาธิภาวนา
ทำใจหยุดใจนิ่ง ทำใจใสใส จนได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน จะทำให้เราประสบความสำเร็จทั้งในชาตินี้และทุกภพทุกชาติ มีธรรมภาษิตในขุททกนิกาย มโหสถชาดกว่า
คนโง่ถึงจะมีกำลังก็ไม่ทำให้ประโยชน์สำเร็จได้ เพราะได้ทรัพย์มาด้วยกรรมอันร้ายกาจ นายนิรยบาลทั้งหลายย่อมฉุดคร่าเอาคนโง่ผู้ไม่ฉลาดคร่ำครวญอยู่ไปสู่นรกอันร้อนแรง คนมีปัญญาเท่านั้นเป็นผู้ประเสริญ คนโง่ถึงมียศจะประเสริญอะไร บัณฑิตนักปราชย์ทั้งหลายต่างสรรเสริญปัญญาว่าเป็นยอดกว่าทรัพย์สินเงินทองหรือของมีค่าใดๆในโลกนี้
ปัญญาในที่นี้ไม่ได้หมายเอาเพียงความรู้ วิชาการทางโลก ที่นำมาใช้ประกอบอาชีพเพื่อทำมาหากินอย่างเดียว แต่หมายถึงปัญญาที่สามารถสั่งสอนตัวเองให้รู้จักผิดชอบชั่วดี แยกแยะบุญบาปได้ชัดเจน
และปัญญาที่เลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและชาวโลก รวมไปถึงปัญญาเพื่อความหลุดพ้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นดวงปัญญาที่แจ่มใสมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจเป็นอย่างมาก เพราะปัญญาสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้
การใช้กำลังเรี่ยวแรงเข้าตัดสินหรือแก้ปัญหาไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด ผู้รู้ทั้งหลายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ปัญญาเท่านั้นที่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด เหมือนดังเรื่องของพระเจ้าสุตโสมผู้กำลังใช้ปัญญาในการกลับใจจอมโจรโปริสาทให้เลิกกินเนื้อมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด
ตอนที่แล้วเมื่อชาวเมืองรู้ข่าวว่าพระเจ้าสุตโสมจะไปหาโปริสาทก็พากันมาทูลทัดทาน แต่ก็ไม่เป็นผล ในคืนนั้นพระโพธิสัตว์ได้ประทับอยู่ในพระราชนิเวศ บรรทมหลับอย่างมีความสุข
พอถึงตอนเช้าก็ถวายบังคมลาราชมารดา ราชบิดา ตรัสสั่งราพสกนิกรที่มาเข้าเฝ้า มหาชนพากันเดินตามไปส่งเสด็จด้วยความอาลัยอาวรณ์
ขณะเดียวกันก็อ้อนวอนให้พระองค์เสด็จกลับ เมื่อพระโพธิสัตว์ไม่อาจให้มหาชนกลับได้ จึงเอาท่อนไม้มาขวางหนทางไว้ และตรัสว่า “ถ้ามีความรักใคร่ในตัวเราก็อย่าก้าวผ่านท่อนไม้นี้มา แต่ถ้าใครฝ่าฝืน บุคคนนั้นต้องถูกราชอาชญา”
มหาชนไม่อาจล่วงขีดอาชญาของพระโพธิสัตว์ได้จึงได้แต่ร้องไห้และเฝ้ามองตามพระโพธิสัตว์ผู้มีความองอาจดุจราชสีเสด็จไปตามลำพัง ย้อนกลับมาทางด้านจอมโจรโปริสาท ตั้งแต่พระโพธิสัตว์เสด็จไป โจรโปริสาทได้แต่ครุ่นคิดว่าถ้าท่านสุตโสม สหายของเราต้องการจะมาก็จงมา แต่ถ้าหากไม่ต้องการมาตายก็ช่างเถิด เพราะเราก็ไม่อยากฆ่าสหายรักและผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์อยู่แล้ว
หากรุกขเทวาจะลงโทษเราก็จงลงโทษตามปรารถนาเถิด แต่โจรโปริสาทคาดไม่ถึงจริงๆว่าจะมีบุรุษกล้าอาชาไนยยึดถือความสัตย์ยิ่งกว่าความตายอย่างพระเจ้าสุตโสม ขณะที่ตนเองเริ่มทำจิตกาธาน ก่อไฟขึ้น นั่งถากหลาวรอเวลาอันสมควรอยู่นั้น พระโพธิสัตว์ก็เสด็จไปถึงพอดี
โจรโปริสาทครั้นเห็นพระเจ้าสุตโสมมายืนอยู่ต่อหน้า ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ก็เกิดอาการขนลุกชูชัน ใจหนึ่งก็ตกใจประหวั่นพรั่นพรึง ที่ตนพบผู้รักษาความสัตย์ยิ่งชีวิต ในโลกนี้ยังมีผู้ไม่กลัวต่อความตายจริงๆหรือ แต่ใจหนึ่งก็ดีใจที่จะได้ฆ่าพระเจ้าสัตโสมทำพลีกรรม ตนเองจะได้ไม่ถูกเทวดาลงโทษ
จึงทูลถามว่า “สหาย ท่านเสด็จไปทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้วหรือ”
พระโพธิสัตว์ตอบด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มว่า “ใช่แล้วโปริสาท คาถาที่พระกัสสปทศพลทรงแสดงไว้ เราได้สดับแล้ว และการสักการะพราหมณ์ผู้เป็นธรรมกถึกเราก็ได้ทำแล้ว นั่นคือสัจจะบารมีของเราที่มีต่อพราหมณ์ เป็นอันว่าเราเป็นผู้มีโชคที่สุด เราได้ไปทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว”
“บัดนี้เราเป็นผู้รักษาความสัตย์ ได้กลับมาหาท่านแล้ว ท่านโปริสาท เชิญท่านทำการบูชายัญเราเถิด จงเพิ่มศีลบารมีและสัจจะบารมีให้กับเราด้วยเถิด”
โจรโปริสาทได้ฟังถ้อยคำที่อาจหาญเช่นนั้น ก็รู้สึกทั้งศรัทธา ทั้งหวั่นเกรงในอานุภาพของพระเจ้าสุตโสม อันที่จริง ตนเองก็รู้ว่าพระเจ้าสุตโสมเป็นผู้มีอานุภาพมาก หากใช้กำลังต่อสู้กันตนเองก็อาจเพลี้ยงพล้ำก็ได้ ถึงกระนั้นก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมพระเจ้าสุตโสมจึงไม่ยินดีใจการฆ่า ซึ่งแตกต่างจากตนเองอย่างสิ้นเชิง ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
ทางด้านพระโพธิสัตว์ผู้รุ่งเรื่องด้วยปัญญา ทรงตระหนักดีว่าการจะสอนให้โจรโปริสาทกลับตัวกลับใจเสียใหม่นั้นจะใช้ไม้แข็งไม่ได้ ต้องใช้ไม้อ่อนอย่างเดียว เพราะความผิดพลาดทั้งหมดล้วนเกิดจากความผิดปกติทางด้านจิตใจ จึงต้องใช้ปัญญา พูดจาให้โจรโปริสาทตรองเห็นโทษไปตามความจริง และยอมรับผิดด้วยความจริงใจ ส่วนการใช้กำลังเข้าประหัดประหารหรือทำร้ายโจรโปริสาทนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงประสงค์ตั้งแต่แรก
โจรโปริสาทคิดว่าการที่พระเจ้าสุตโสมไม่หวาดหวั่นต่อมรณะภัย กล้าตรัสอย่างนี้เป็นเพราะอานุภาพของอะไร จึงสันนิษฐาณว่าคงเป็นเพราะอานุภาพของสตารหคาถาเป็นแน่ ยิ่งคิดก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าสตารหคาถานั้นมีอานุภาพเพียงไร ทำไมถึงทำให้พระเจ้าสุตโสมไม่หวาดกลัวต่อมรณะภัย
จึงกล่าวว่า “ความตั้งใจเดิมของข้าพระองค์ยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ช้าก็เร็วพระองค์ต้องถูกทำพลีกรรมอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ข้าพระองค์ใคร่ของสดับสตารหคาถาก่อนจึงค่อยทำพลีกรรมต่อไป ช่วยแสดงให้ฟังหน่อยได้ไหม”
พระโพธิสัตว์ดำริว่า โปริสาทนี้มีจิตใจเหี้ยมโหดนัก ธรรมะเป็นของสูงส่งไม่ใช่จะมาแสดงแก่ผู้ไม่มีความเคารพได้รับฟังกันง่ายๆ เราควรข่มโจรนี้ให้เกิดความละอายใจก่อน แล้วจึงค่อยแสดงธรรมให้ฟัง
ทรงข่มโจรโปริสาทว่า “ท่านโปริสาท ท่านน่ะไม่ประพฤติธรรม จำต้องจากแว่นแคว้นก็เพราะท้องเป็นเหตุ ส่วนคาถาเหล่านี้สรรเสริญธรรม ธรรมะและอธรรมจะลงรอยกันได้ที่ไหน คนที่ไม่ประพฤติธรรม ทำกรรมหยาบช้า ฝ่ามือนองด้วยเลือดตลอดเวลา หาสัจจะไม่ได้ คนไม่มีธรรมอย่างท่านสมควรจะฟังธรรมที่หาค่าไม่ได้หรือ”
โจรโปริสาทฟังแล้วก็ไม่รู้สึกโกรธเคือง เพียงแต่โต้แย้งว่า“ท่านสุตโสม ข้าพเจ้าไมได้ประพฤติธรรมเพียงคนเดียว แม้พวกพรานก็ยังเที่ยวป่าฆ่าสัตว์ หรือคนก็ยังฆ่าคนเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่อีกมากมาย ทั้งสองคนนั้นเป็นผู้เสมอกันในโลกหน้า ทำไมพระองค์จึงตรัสติเตียนเฉพาะข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวเล่า”
จะเห็นว่าคนพาลนั้นแม้ทำความชั่วก็ไม่สำนึกว่าตัวผิด เพราะสิ่งที่ทำมันฝังลึกเข้าไปอยู่ในใจเสียแล้ว ในโลกปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน มีพวกเห็นผิดเป็นถูกกันมาก จะเห็นว่าสูบบุหรี่ดื่มเหล่า เล่นการพนันไม่บาป เพราะไมได้ไปทำร้ายใคร ไม่ได้ขโมยเงินของใครมาซื้อ อ้างว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ทุกคนทำได้ เป็นต้น
เมื่อมีผู้ปรารถนาดีไปแนะนำว่าแม้จะไมได้ไปเบียดเบียนใคร แต่ก็เบียดเบียนตัวเอง เป็นปากทางแห่งความเสื่อม ก็ไม่ยอมเชื่อ นี่เป็นเพราะความไม่เข้าใจความจริงของชีวิตในสังสารวัฏ ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องช่วยกันขยายความรู้อันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสู่ใจของมวลมนุษยชาติให้เร็วที่สุด มวลมนุษย์ก็จะได้ปลอดภัย