Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน กลวิธีของคนพาล
ชีวิตเราจะเจริญรุ่งเรืองได้ก็เพราะได้ต้นแบบที่ดีงาม และได้ปฏิบัติตามแบบอย่างที่ดีงามนั้น เหมือนพระอริยสาวกที่ได้แบบอย่างที่ดีจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดของชีวิตได้
ดังนั้น การได้เห็นสมณะผู้สงบจากกิเลสน้อยใหญ่ จึงเป็นอุดมมงคลของชีวิต เพราะมหาสิริมงคลจากการเป็นสมณะภายในขยายออกสู่ภายนอก ทำให้ผู้มีบุญเกิดความปีติเลื่อมใส และพลอยได้รับสิริมงคลไปด้วยจนอยากเข้าใกล้ อยากจะฟังธรรม และเกิดแรงบันดาลใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมละเว้นความชั่ว ทำแต่ความดี และทำใจให้ผ่องใสตามท่านไปด้วย
เพราะฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อให้รู้จักสมณะที่ภายใน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำความรู้จักกันให้ดี ให้ทราบซึ้งกัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ความว่า
ลุทฺโธ อตฺถํ น ชานาติ ลุทฺโธ ธมฺมํ น ปสฺสติ
อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โลโภ สหเต นรํ
คนโลภย่อมไม่รับรู้ถึงเหตุ คนโลภย่อมไม่มองถึงผล
เมื่อใดความโลภเข้าครอบงำนรชนแล้ว เมื่อนั้นนรชนนั้นก็จะมีแต่ความมืดบอด คนบางคนไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีคุณธรรมเหมือนอย่างคนอื่นเขามี พอเห็นใครมีลาภสักการะมียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง มีคนให้ความเคารพนับถือหน้าถือตา เมื่อไปยังสถานที่ต่างๆ ใครๆก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายทุกอย่าง
พอเห็นเขามีอย่างนั้นแล้วก็อยากจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างนั้นบ้าง โดยที่ไม่ได้ประกอบเหตุอันควร คนที่มีอุปนิสัยอย่างนี้มีอยู่ในโลก พอตนเองไม่มีความรู้ความสามารถและคุณธรรมที่จะให้คนทั้งหลายยอมรับนับถือได้ จิตใจก็ถูกกิเลสคือความโลภเข้าครอบงำ ทำให้จิตใจมีแต่ความมืดบอด คิดอยากจะเป็นอย่างคนอื่นเขาโดยไม่สนใจเหตุผล เมื่อไม่ได้โดยวิธีที่สะอาดบริสุทธิ์ จึงต้องคิดหาอุบายหลอกลวงผู้อื่นด้วยวิธีการต่างๆ
เพื่อให้ได้มาซึ่งลาภสักการะและความสะดวกสบาย เหมือนดังเรื่องที่หลวงพ่อจะนำมาเล่าต่อไปนี้
ในครั้งพุทธกาล แรกเริ่มเดิมทีพระเทวทัตเป็นพระที่มีชื่อเสียงดี ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งสำเร็จอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘
คนทั้งหลายจึงพากันเคารพนับถือท่านมาก ลาภสักการะก็บังเกิดขึ้นมากมาย พอมาช่วงหลังชื่อเสียงของพระเทวทัตเริ่มไม่ดี เพราะสาเหตุที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมจากคุณวิเศษที่ตนเคยบรรลุ สาธุชนทั้งหลายทราบข่าวแล้วก็เลิกนับถือพระเทวทัต ลาภสักการะของพระเทวทัตก็เสื่อมลงไป
หลังจากพระเทวทัตเสื่อมจากลาภสักการะแล้ว พระพระโกกาลิกะอยากให้พระเทวทัตมีผู้คนมาเคารพนับถือดังเดิม จะได้มีลาภสักการะเกิดขึ้นอีก จึงใช้อุบายเข้าไปยังตระกูลทั้งหลาย กล่าวพรรณนาคุณของพระเทวทัตขึ้นว่า
“พระเถระนามว่าเทวทัตเกิดในราชวงศ์แห่งพระเจ้าโอกกากราช โดยสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้ามหาสมมตราช เจริญในขัตติยวงศ์อันไม่ปะปน ทรงพระไตรปิฎก ทรงฌานและอภิญญา มีถ้อยคำไพเราะ เป็นพระธรรมกถึก ท่านทั้งหลายจงให้ทาน จงกระทำความเคารพแก่พระเถระเถิด”
ฝ่ายพระเทวทัตเองก็กล่าวพรรณนาคุณของพระโกกาลิกะให้สาธุชนทั้งหลายฟังว่า “พระโกกาลิกะรูปนี้ ออกบวชจากตระกูลพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง เป็นพระผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม มีความสามารถเป็นพหูสูต เป็นพระธรรมกถึก ท่านทั้งหลายจนให้ท่าน จงกระทำเคารพแก่พระโกกาลิกะเถิด”
ทั้งพระเทวทัตและพระโกกาลิกะต่างก็กล่าวพรรณนาคุณของกันและกัน เที่ยวฉันอาหารอยู่ในเรือนของชนทั้งหลาย มีอยู่วันหนึ่ง พวกภิกษุที่วัดเชตวันมหาวิหารได้นั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาถึงเรื่องที่พระเทวทัตกับพระโกกาลิกะต่างก็กล่าวถ้อยคำพรรณนาคุณอันไม่มีจริงของกันและกันแล้วเที่ยวฉันอาหารในเรือนของชนทั้งหลาย
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พระบรมศาสดาเสด็จมาและตรัสถามว่ากำลังนั่งสนทนาอะไรกัน พวกภิกษุจึงกล่าวทูลให้ทรงทราบ พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่าว่าแต่ในชาตินี้เลยที่พระเทวทัตกับพระ โกลิกะต่างกล่าวพรรณาคุณอันไม่มีจริงของกันและกัน แล้วบริโภคภัตราหาร แม้ชาติที่ผ่านมาพระเทวทัตกับพระโกกาลิกะก็ได้ประพฤติอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน”
พวกภิกษุพอได้ฟังพระดำรัสแล้วใคร่อยากจะรู้เรื่องราวในอดีตชาติ จึงทูลให้พระบรมศาสดาตรัสเล่าให้ฟัง พระพุทธองค์ตรัสว่า
ในอดีตกาล ครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี ชาตินั้นพระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็นรุกขเทวดา อยู่ในราวป่าชมพู่แห่งหนึ่ง ในป่าชมพู่นั้นมีอีกาตัวหนึ่งจับอยู่ที่กิ่งชมพู่ กินผลชมพู่สุกอยู่เป็นประจำ ขณะนั้นมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินผ่านมาพอดี แหงนดูเห็นกาก็คิดขึ้นว่าถ้าเรากล่าวยกย่องคุณอันไม่มีจริงของเจ้ากาตัวนั้นแล้วก็คงจะได้กินชมพู่สุกบ้าง
สุนัขจิ้งจอกกล่าวยกย่องคุณของกาขึ้นว่า “ใครหนอ ช่างมีเสียงอันไพเราะเพราะพริ้ง ประเสริฐกว่าสัตว์ผู้มีเสียงไพเราะทั้งหลาย จับอยู่ที่กิ่งชมพู ส่งเสียงร้องไพเราะดุจพญานกยูง ผู้มีเสียงไพเราะฉะนั้น”
เมื่อกาได้ฟังคำพูดสรรเสริญตนของสุนัขจิ้งจอกแล้วก็เกิดความปลื้มปิติใจ จึงกล่าวสรรเสริญคุณของสุนัขจิ้งจอกตอบกลับไปบ้างว่า “กุลบุตรย่อมรู้จักสรรเสริญกุลบุตร ดูก่อนสหายผู้มีผิวพรรณคล้ายลูกเสือโคร่ง เชิญท่านบริโภคผลชมพู่สุกตามความชอบเถิดเราจักให้ผลชมพู่แก่ท่าน” เมื่อกากล่าวจบแล้วจึงให้ผลชมพู่ ให้ผลชมพู่หล่นลง
เทวดาโพธิสัตว์ที่ได้สิงสถิตอยู่ต้นชมพูนั้นเห็นกากับสุนัขจิ้งจอกต่างพากันกล่าวคุณอันไม่มีจริงของกันและกันและกินชมพู่สุกอยู่ จึงกล่าวขึ้นว่า “ดูก่อน บุคคลผู้สรรเสริญกันและกัน เราได้เห็นคนพูดมุสา คือกาเคี้ยวกินของที่คนอื่นคายแล้ว และสุนัขจิ้งจอกผู้กินซากศพมาชุมนุมกันมาเป็นเวลานานแล้ว
วันนี้ยังมาเจอเจ้าทั้งสองอีก ขอพวกเจ้าทั้งสองจงไปจากที่นี่เสีย”แล้วเทวดาโพธิสัตว์ก็ใช้เทวฤทธิ์ แสดงรูปที่น่ากลัวให้กาและจิ้งจอกได้เห็น เมื่อกาและจิ้งจอกเห็นก็ตกใจกลัวต่างก็รีบหนีไปยังที่อื่นทันที
จะเห็นได้ว่าคนพาลมักแสวงหาเลี้ยงชีพด้วยทางที่ไม่ชอบ เป็นผู้ลวงโลก บางคนเห็นแก่ปากแก่ท้องมากเกินไป โดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง เพราะไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจตัวเอง ปล่อยให้ความโลภครอบงำจิตใจ จิตใจของมนุษย์ถ้าไม่ควบคุมได้ดีแล้วก็จะดิ้นรนแสวงหากันเรื่อยไป อยากได้นั่นได้นี่ไม่มีที่สิ้นสุด ตกเป็นทาสของกิเลส จึงเผลอกระทำบาปอกุศลโดยไม่มีความละอายแก่ใจเลย และสามารถกระทำความชั่วได้ทุกอย่าง ขอเพียงให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการทั้งนั้น คนที่มีอุปนิสัยอย่างนี้เปรียบเสมือนคนป่วยที่มีโรคทางใจ ที่มีใจพร่องอยู่เป็นนิจ มีความหิวความทะยานอยากหยุดตลอดเวลา
ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักสรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญ ติเตียนบุคคลที่ควรติเตียน และต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเองกันให้ดี อย่าปล่อยให้จิตใจของเราตกอยู่ในอำนาจของกิเลสที่คอยชักจูงเราไปในอารมณ์ที่น่าใคร่ น่าพอใจ เราต้องมีความพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ มีความสันโดษ อย่าไปแสวงหาลาภยศสรรเสริญในทางที่ไม่ถูกไม่ควร และทำให้เราต้องไปทำความผิดศีลผิดธรรม เพราะจะเป็นบาปอกุศลติดตามตัวเราไปในภพชาติเบื้องหน้า ให้ตั้งใจทำแต่ความดีและหมั่นทำใจให้ใสๆให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัวกันให้ได้