Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๑๘
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบทความว่า
วายเมเถว ปุริโส อนิพฺพินเทยฺย ปณฺฑิโต
บุรุษผู้เป็นบัณฑิตไม่ควรท้อถอย
ควรมุ่งมั่นจนกว่าจะประสบความสำเร็จ
อัธยาศัยของพระบรมโพธิสัตว์ที่น่าศึกษาอย่างหนึ่งคือ เมื่อท่านตัดสินใจทำอะไรแล้วจะไม่ย่อท้อ หากไม่สำเร็จเป็นไม่เลิกลา ท่านจะไม่ตามใจกิเลส เพราะรู้ว่ากิเลสคือสิ่งที่ชักจูงให้ใจตกต่ำ ต้องเวียนวนอยู่ในมหาสมุทรแห่งทุกข์ในสังสารวัฏ ไม่สามารถข้ามเป็นส่วนฝั่งพระนิพพานได้
พระบรมศาสดาทรงสั่งสอนให้พุทธสาวกมีความเพียรอย่างไม่ลดละ เพราะคนจะล่วงพ้นจากทุกข์ได้ ก็เพราะความเพียร หาหความเพียรย่อหย่อนเสียแล้ว ความสำเร็จติดตั้งไว้ก็จะเนิ่นช้าออกไป แม้กระทั่งในเรื่องการสั่งสมบุญก็ต้องมีความเพียร มีใจจดจ่อ เมื่อเจออุปสรรคก็ไม่ย่อท้อ จะต้องมุ่งมั่นต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ
อุปสรรค นอกจากจะแปลว่าสิ่งที่ขวางกั้นการทำความดีแล้ว นักปราชญ์ยังให้นัยอีกนัยหนึ่งว่า อุปสรรคแปลว่าเข้าใกล้สวรรค์ ใกล้ความสุขและความสำเร็จ ดังนั้นเมื่อพบเจออุปสรรคก็ให้ดีใจเถิดว่า เราใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว เหมือนเรื่องราวของพระเตมียกุมาร ผู้เพียรพยายามหาทางออกบวช ต้องอดทนแสร้งทำเป็นคนง่อยเปลี่ย นานถึง ๑๖ ปี นี่ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะจ๊ะ
คนทั่วไปแม้จะแสร้งทำอย่างท่าน ถ้าเกิน ๑๖ วันก็ถือว่าเก่งแล้ว แต่นี่นาถึง ๑๖ ปีเต็มๆ เพราะท่านทำด้วยอุดมการณ์ เพื่อถางทางไปพระนิพพาน ความเพียรและขันติธรรมของท่าน จึงเป็นเลิศกว่าคนทั่วไป เพราะฉะนั้นเรามาติดตามรับฟัง เรื่องราวการออกผนวช ของพระเตมียราชกุมารกันต่อเลยนะจ๊ะ
เมื่อว่านนี้หลวงพ่อได้เล่าถึงตอนที่นายสารถีได้ขับรถม้า พาพระเตมียกุมาร ออกจากพระนครไปไกล ๓ โยชน์ จนรถถึงชายป่าแห่งหนึ่ง แต่หน้าแปลกใจ ที่ป่าอันอุดมแห่งนั้นได้ปรากฏแก่สายตาของนายสารถี ประดุจป่าช้าผีดิบ นายสารถีจึงชะลอรถแวะลงจอดที่ข้างทาง เปลื้องเครื่องทรงของพระโพธิสัตว์ออกแล้วห่อไว้ เสร็จแล้วก็ถือจอบเดินไปหาทำเล เพื่อขุดหลุมสี่เหลี่ยมในที่ไม่ไกลจากราชรถ
ส่วนพระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เราจะทดลองเคลื่อนไหวมือและเท้าดู จึงเสด็จลงจากราชรถ ทรงเดินกลับไปกลับมาอยู่พักหนึ่ง ก็ทรงรู้ว่า พระองค์เป็นผู้มีพละกำลังอยู่ อวัยวะทุกอย่างยังใช้การได้ดี และทรงทราบโดยอนุมารว่า เรามีกำลังพอที่จะเดินทางไกลได้ถึง 100 โยชน์ภายในวันเดียว
เมื่อทรงพิจารณาดูกำลังว่า ถ้าหากนายสารถีคิดจะทำร้ายเรา เราจะมีกำลังพอที่จะต่อสู้กับนายสารถีหรือไม่หนอ จึงทรงทดลองจับท้ายรถแล้วยกขึ้นทั้งคัน ก็ปรากฏว่าสามารถยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อทรงทราบว่าตนมีพละกำลัง พอที่จะต่อสู้ป้องกันตัว เพื่อไม่ให้ใครมาทำอันตรายพระองค์ได้ ก็ทรงดำริต่อไปว่า ก่อนที่จะออกบวช เราควรที่จะได้แต่งเครื่องประดับใหม่ที่เหมาะสม ในขณะนั้นเอง วิมานของท้าวสักกเทวราช ผู้ครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เกิดอาการแข็งกระด้างและร้อนขึ้นมาด้วยเดชชานุภาพของพระโพธิสัตว์ ท้าวเธอจึงทรงตรวจดูว่า เพราะเหตุอะไรหนอ
เมื่อทรงสอดส่องทิพยเนตรลงมายังโลกมนุษย์ ก็ทรงเห็นเหตุและความเป็นไปทั้งหมด จึงทรงดำริว่า “ความปรารถนาของพระเตมิยราชกุมารถึงที่สุดแล้ว ขณะนี้เธอต้องการเครื่องประดับ ก็เครื่องประดับของมนุษย์ไม่คู่ควรแก่เธอ เราจะให้เตมิยราชกุมารประดับด้วยเครื่องประดับทิพย์" ว่าแล้วก็ได้ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา แล้วก็มอบเครื่องประดับทิพย์ให้ แล้วมีรับสั่งให้นำเครืองประดับทิพย์นี้ ไปประดับพระเตมิยราชกุมาร
วิสสุกรรมเทวบุตร ครั้นรับพระบัญชาจากท้าวสักกะแล้ว ก็นำเครื่องประดับทิพย์นั้น ลงมายังโลกมนุษย์ในทันที เพียงชั่วพริบตาดุจการเหยีดแขนและคู้แขนเท่านั้น วิสสุกรรมเทวบุตรก็มาปรากฏกายอยู่ ณ เบื้องหน้าพระโพธิสัตว์ ทูลขออนุญาตที่จะประดับตกแต่งพระวรกายให้พระองค์ จากนั้นก็ได้ประดับพระวรกายของพระโพธิสัตว์ ให้สวยสดงดงาม ด้วยเครื่องประดับที่ท้าวสักกะทรงประทานให้ อันเป็นของกึ่งทิพย์กึ่งมนุษย์ ที่วิจิตรอลังการณ์มาก
พระโพธิสัตว์ครั้นได้รับการประดับพระกายเสร็จแล้ว จึงเสด็จไปหาสุนันทสารถีซึ่งกำลังขุดหลุมอยู่ ได้ประทับยืนที่ริมปากหลุม แล้วตรัสถามนายสารถีว่า “แน่ะนายสารถี ท่านจะขุดหลุมไปทำไม” ส่วนนายสารถีมัวแต่ก้มหน้าก้มตาขุดหลุมโดยเร็วที่สุด จึงไม่ได้สนใจ สนใจแหงนหน้าขึ้นแลดูเลย ได้กล่าวตอบไปทันทีว่า “พระโอรสของพระราชาเป็นง่อยเปลี้ย เหมือนไม่มีจิตใจ พระราชารับสั่งให้เราฝังท้าวเธอเสียในป่าแห่งนี้”
พระโพธิสัตว์จึงตรัสต่อว่า "ดูก่อนสารถี เราไม่ได้เป็นคนง่อยเปลี้ย ไม่ได้มีร่างกายพิกลพิการ ดังนั้นถ้าท่านฝังเราเสียในป่า ก็เท่ากับว่าท่านทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม" ตรัสดังนี้แล้ว จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ออก แล้วทรงเชื้อเชิญให้นายสารถีมองดูพระองค์ พร้อมกับตรัสว่า “เชิญท่านดูแขนขาของเรา แล้วเชิญฟังคำภาษิตของเรา ถ้าท่านฝังเราเสียในป่านี้ ก็เท่ากับว่าท่านทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม”
สุนันทสารถีได้ฟังแล้ว จึงคิดว่า นี่ใครหนอ เมื่อมาถึงก็พูดสรรเสริญแต่ตนเองเท่านั้น จึงหยุดพักการขุดหลุมแล้วเงยหน้าขึ้นดู เมื่อได้เห็นรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ซึ่งงดงามดุจท้าวสักกะจำแลงมา ก็ทั้งอัศจรรย์ใจและตกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับคนที่แต่งกายงดงามดังเทวดาในท่ามกลางราวไพรแห่งนี้
แม้เขาจะเห็นอย่างชัดเจนด้วยนัยน์ตาทั้งสอง ก็ยังจำไม่ได้ว่าเป็นพระเตมิยราชกุมาร แต่ก็รู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็น นึกรำพึงขึ้นในใจว่า ชายผู้นี้จะเป็นมนุษย์หรือเทวดากันหนอ จึงถามไปว่า “ท่านเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกเทวราชผู้ให้ทานในกาลก่อน ท่านเป็นใคร หรือว่าเป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร”
เมื่อทรงเห็นว่าเป็นโอกาสอันควร ที่จะบอกให้สารถีทราบว่าพระองค์เป็นใคร และจะได้แสดงธรรมให้สารถีงดการทำร้ายพระองค์เสีย จึงตรัสว่า “ดูก่อนสารถี เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะ ผู้ให้ทานในกาลก่อน เราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสิกราช ผู้ที่ท่านกำลังจะฝังเราในหลุมนั่นแหละ ดูก่อนสารถี ถ้าท่านฆ่าเราเสียในป่านี้ ท่านก็ได้ชื่อว่าทำในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เพราะบุคคลนั่งหรือนอนใต้ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น ผู้ประทุษร้ายมิตรได้ชื่อว่าเป็นคนเลวทราม พระราชาเป็นเหมือนต้นไม้ เราเป็นเหมือนกิ่งไม้ ตัวท่านเป็นเสมือนคนอาศัยร่มเงา ถ้าท่านฝังเราเสียในป่านี้ ท่านก็ได้ชื่อว่าทำในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม”
เป็นธรรมเนียมของบัณฑิต ที่ถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณว่า ต้องมีความกตัญญูต่อคน สัตว์ สิ่งของ ที่มีอุปการะคุณ เมื่อเดินทางไปในป่าได้อาศัยนั่งหรือนอนใต้ร่มไม้ใด ก็จะได้งดเว้นไม่หักราน ไม่ตัดไม้ ต้นไม้ เพราะถือว่าเป็นต้นไม้ที่มีคุณ
ฝ่ายสุนันทสาระถีได้ฟังธรรมภาษิต ที่ไพเราะจับใจของพระโพธิสัตว์แล้วก็เริ่มคล้อยตาม ส่วนว่าเขาจะตัดสินใจทำประการใด จะปฏิบัติละเมิดพระบัญชาหรือไม่ ก็ให้มาติดตามรับฟังกันต่อในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ สำหรับวันนี้ให้ลูกทุกคน ทำความดีให้ถึงพร้อมแล้วก็อย่าลืมแสดงความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีอุปการะคุณต่อเรากันนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนา โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)