คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย

วันที่ 11 พย. พ.ศ.2558

คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย


          คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายมีคำศัพท์เฉพาะว่า "อินทรียสังวรศีล" มีคำศัพท์ที่ควรแยกพิจารณาได้ 3 คำ คือ


คำที่ 1 "อินทรีย์" มีความหมายหลายอย่าง แต่ในศีลข้อนี้ มุ่งถึงอินทรีย์ 6 หรืออายตนะภายใน6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คำที่ 2 "สังวร" หมายถึงสำรวมระวัง
คำที่ 3 "ศีล" หมายถึง ภาวะปรกติ

 

          ดังนั้น "อินทรียสังวรศีล" จึงหมายถึง "ภาวะปรกติในการสำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง 6"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระเจ้าอชาตศัตรูว่า


    "มหาบพิตร อย่างไรภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะเธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ (สำรวมตา) ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌา และโทมนัสครอบงำ... ภิกษุฟังเสียงด้วยโสต... ดมกลิ่นด้วยฆานะ... ลิ้มรสด้วยชิวหา... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำ จึงรักษามนินทรีย์ ถึงความสำรวมในมนินทรีย์ภิกษุประกอบด้วยอินทรียสังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน มหาบพิตร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์
ทั้งหลายด้วยประการดังกล่าวมานี้แล"

 

จากพระดำรัสที่ยกมานี้ มีคำศัพท์ที่พึงทำความเข้าใจอยู่หลายคำ คือ
"ทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย" หมายถึง "อายตนะภายใน 6" เหตุที่ใช้คำว่า "ทวาร" ซึ่งแปลว่า ประตูก็เพราะอายตนะภายในทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นทางเปิดรับอายตนะภายนอกทั้ง 6คือ รูป เสียง กลิ่น รสสัมผัสและธรรมารมณ์ (อารมณ์ที่รู้ด้วยใจ) อายตนะภายในจึงเป็นเสมือน"ประตู" ที่เปิดรับบุคคลภายนอกเข้ามาในบ้านส่วนอายตนะภายนอกทั้ง 6 นั้น มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"อารมณ์ 6""เห็นรูปด้วยจักษุ" โบราณาจารย์ทั้งหลายอธิบายว่า ลำพังจักษุหรือตาเห็นรูปไม่ได้ เพราะไม่มีใจ ลำพังใจก็เห็นรูปไม่ได้ เพราะไม่มีประสาทตาแต่ขบวนการของการเห็นจะต้องประกอบด้วยองค์ 3คือ ตา รูป และใจ กล่าวคือ จักษุ (ทวาร) กับรูป (อารมณ์) กระทบกัน บุคคลย่อมเห็นรูปนั้นได้ด้วยใจ เมื่อใจรับรู้อารมณ์ทางตาแล้ว ย่อมทำให้เกิดการเห็นขึ้น นี่คือความหมายของ "เห็นรูปด้วยจักษุ" บางแห่งท่านใช้ "เห็นรูปด้วยจักษุวิญญาณ" "วิญญาณ" ในที่นี้หมายถึง การรับรู้ด้วยใจ ในขณะที่อายตนะภายในและภายนอกกระทบกัน

 

         ดังนั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เห็นรูปด้วยจักษุ" ย่อมหมายถึง "เห็นรูปด้วยจักษุวิญญาณ"
ในทำนองเดียวกัน เมื่อพระองค์ตรัสว่า "ฟังเสียงด้วยโสต" ย่อมหมายถึง "ฟังเสียงด้วยโสตวิญญาณ"
"ดมกลิ่นด้วยฆานะ" ย่อมหมายถึง "ดมกลิ่นด้วยฆานวิญญาณ""ลิ้มรสด้วยชิวหา" ย่อมหมายถึง "ลิ้มรสด้วยชิวหาวิญญาณ""ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย" ย่อมหมายถึง "ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายวิญญาณ""รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ" ย่อมหมายถึง "รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยมโนวิญญาณ" นั่นเองส่วนคำว่า "ไม่ถือนิมิต" คือ ไม่ถือเครื่องหมายซึ่งมีอยู่ในอายตนะภายนอก เช่น ไม่ส นใจว่าเป็นหญิงหรือชาย หรือไม่ใส่ใจเครื่องหมายอันเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดกิเล เช่น ไม่ สนใจว่างาม เป็นต้น ดังนั้น การไม่ถือนิมิตก็คือ การยั้งหยุดอยู่ในอาการสักแต่ว่าเห็นเท่านั้น ไม่เก็บไปคิดนึกปรุงแต่งต่อไปอีก"ไม่ถืออนุพยัญชนะ" คือ ไม่ถือลักษณะเล็กๆ น้อยๆ อันเป็นเครื่องประกอบของอายตนะภายนอกเช่น ลักษณะของมือ เท้า หน้าตา การพูด การหัวเราะ การฉอเลาะ หรืออากัปกิริยาอื่นๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดกิเลสโดยสรุปก็คือ เมื่อได้เห็นองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ของอายตนะภายนอก ก็ยั้งหยุดอยู่สักแต่ว่าเห็นไม่เก็บไปคิดนึกปรุงแต่งวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปอีก เพราะจะทำให้กิเลส กามเฟื่องฟูขึ้นในใจ
"สำรวมจักขุนทรีย์" โดยรูปศัพท์ แปลว่า "สำรวมตา" แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะต้องปิดตาเพื่อ ไม่ดูอะไร เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ขณะใดที่ลืมตาย่อมมีสิ่งมากระทบตาเรามากมาย

          ดังนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสอนให้ใช้ สติเป็นเครื่องปิดตา ใช้ สติเป็นเครื่องสำรวม ใช้ สติเป็นเครื่องคุ้มครองความคิด ในขณะที่เราเห็นหรือดูสิ่งต่างๆ โดยเว้นขาดจากการถือนิมิตและอนุพยัญชนะ ดังที่ตรัสว่า"...ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะเธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์..."สำหรับการสำรวมอินทรีย์อื่นอีก 5 อย่าง ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน คือ ใช้ ติเป็นเครื่องคุ้มครองด้วยเหตุนี้โบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า "อินทรียสังวรศีล พึงสำเร็จได้ด้วยสติ"คำว่า "อกุศลธรรมอันลามก" ได้แก่ อภิชฌาและโทมนัส"อภิชฌา" ตามรูปศัพท์แปลว่า โลภอยากได้ของเขา ความคิดเพ่งเล็งจ้องจะเอาของของคนอื่น"โทมนัส " ตามรูปศัพท์แปลว่า ความเสียใจ ความทุกข์ใจ


        ดังนั้น "อภิชฌาและโทมนัส " จึงจัดว่า เป็นอกุศลธรรมอันลามก เพราะความโลภอยากได้ของของคนอื่นนั้น ย่อมนำไปสู่การประพฤติทุศีล ทำให้ประกอบอาชีพไม่บริสุทธิ์ ถ้าได้ของมาดังใจหมาย ของนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ แม้จะรู้สึกเป็นสุข ก็เป็นความสุขหลอกๆ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่จะมีวิบากกรรมติดตามไปอีกยาวนาน หรือหากไม่ได้ของนั้นมาก็รู้สึกผิดหวัง เกิดโทมนัสดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า    "...ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌา และโทมนัสครอบงำ..."คำว่า "รักษามนินทรีย์" หรือ "สำรวมมนินทรีย์" หมายถึงการรักษาใจให้พ้นจากการถูกครอบงำโดยอภิชฌาและโทมนัส


        จะเห็นว่า การสำรวมระวังอินทรีย์ทั้งหลายมีจักษุเป็นต้น แท้ที่จริงแล้ว ก็เพื่อรักษามนินทรีย์คือ ใจให้ปลอดจากทุกข์ ปลอดจากกิเลสภายใน เพื่อเสวยสุขในเบื้องปลายนั่นเองเมื่อทำความเข้าใจกับคำศัพท์ต่างๆ แล้ว ย้อนกลับไปดูพระดำรัส ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ก็พอจะอธิบายลักษณะของการเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายได้ว่าพระภิกษุในพระธรรมวินัยนั้น เมื่อเห็นรูป ซึ่งอาจจะเป็นคนสัตว์ หรือสิ่งของก็ตาม ก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุงแต่งต่อไปอีกว่าสิ่งนี้ คนนี้สวยหรือไม่ สวย หรือสวยน้อยสวยมาก ทั้งนี้เพราะไม่ถือนิมิต และ ไม่ถืออนุพยัญชนะ การที่สามารถไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะได้ ก็เพราะมีสติกำกับใจ มี สติคุ้มครองใจไม่ให้คิดเรื่องไร้สาระ นั่นคือมี ติสำรวมจักขุนทรีย์ แต่ถ้าสำรวมไม่ได้ คือหยุดความคิดไม่ได้ เกิดชอบใจหรือพอใจรูปที่ตนเห็น ก็จะเกิดอภิชฌา คือ ความโลภอยากได้ ซึ่งเป็นกิเลสกามที่นอนเนื่องอยู่ในใจ โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้รูปนั้นมาสนองอภิชฌา ก็จะรู้สึกโทมนัสคือเป็นทุกข์ถึงแม้จะได้รูปนั้นมาตามต้องการ ก็อาจรู้สึกพึงพอใจชั่วระยะหนึ่ง แต่ก็จะต้องเกิดความโทมนัสในที่สุดอยู่นั่นเอง เพราะรูปนั้นไม่เที่ยง ย่อมเสื่อมสลาย หรือพลัดพรากจากเราไปในที่สุด นี่คือผลของการไม่สำรวมจักขุนทรีย์

 

           สำหรับอินทรีย์อื่นที่เหลืออีก 5 อย่างก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่สำรวมแล้วจะมีผลเป็นทุกข์เหมือนกันหมด
ถามว่าทุกข์อยู่ตรงไหน ทุกข์ก็อยู่ที่ใจนั่นเอง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การสำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย แท้ที่จริงก็คือการสำรวมใจ หรือที่เรียกว่า "สำรวมมนินทรีย์" นั่นเองพระภิกษุที่สำรวมมนินทรีย์หรืออินทรีย์ทั้งหลายได้ ย่อมเสวยสุข เพราะกิเลสภายในกล้ำกรายจิตใจไม่ได้ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า"ฝนย่อมไม่รั่วรดเรือนที่มุงดีแล้ว ฉันใดราคะย่อมไม่รั่วเข้าจิตที่อบรมดีแล้ว ฉันนั้น"คำอธิบายที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของทฤษฎี ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ในเชิงปฏิบัติเพื่อที่จะไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ หรือเพื่ออบรมจิตนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

            พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนีหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (สด จนฺท สโร) ได้สอนวิธีอบรมจิต เพื่อป้องกันอภิชฌาและโทมนัสเข้าครอบงำไว้ว่า"สำรวมศีล ใจต้องอยู่ศูนย์กลางกาย นั่นแหละที่ตั้งของศีล ที่เกิดของศีลนั้น จะต้องอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ดวงธรรมนั้นอยู่กลางกายมนุษย์ ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า เท่าฟองไข่แดงของไก่ อยู่กลางกายมนุษย์ ขึงด้ายกลุ่มจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย จุดที่ด้ายสองเส้นนั้นตัดกัน เรียกว่า 'กลางกัก' เป็นที่ตั้งของดวงธรรมของกายมนุษย์ เอาใจไปหยุดอยู่ตรงนั้น ถ้าหยุดตรงนั้นไม่ได้ละก็สำรวมไม่ถูกเสียแล้ว...เมื่อตากระทบรูป ฉาดเข้าให้ มันก็แลบแปลบเข้ามาถึงใจ ถ้าใจไม่หยุด ก็บอกว่า เอาสวยยิ่งเหลือเกิน ถ้าใจหยุด ก็บอกว่า อ้ายนี่เป็นพิษแก่ข้า ข้าไม่เอา หยุดเสียอย่างเก่า ไม่ขยับเขยื้อนทีเดียว...หูกระทบเสียง แปลบเข้า อ้า! เป็นที่ปลาบปลื้มของใจจริงๆ จะทำยังไงดี จะเอาหรือไม่เอา ไม่ได้ ๆ ๆ ไปรักมันเข้าละก็มันเป็นอภิชฌา เดี๋ยวก็ไปเพ่งมัน เดี๋ยวก็เป็นโทมนัสเดี๋ยวก็ดีใจเสียใจกับเสียงนั้นแหละ ไม่ได้การ ใจหยุดกึกเสีย ไม่เป็นไปตามความปลื้มใจ อิ่มในเสียงนั้น...พอกลิ่นกระทบจมูกเข้า แล่นแปลบเข้าไปถึงใจอีกเหมือนกัน กลิ่นนี้หอมชื่นใจนัก จะเอาหรือไม่เอา ใจก็หยุดกึกเสีย ไม่ได้ อ้ายนี่ถ้าปล่อยไว้ไปติดมันเข้าเดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ ทำใจของเราให้ต่ำ มันเป็นอภิชฌาโทมนั มันเป็นข้าศึกต่อเราแท้ๆ ใจก็หยุดนิ่งอยู่ในศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์...พอรสกระทบลิ้นเข้าฉาด แหม! อ้ายรสนี่สำคัญแท้ๆ ชอบใจเสียจริงๆ ใจก็นิ่งเสียอีก ไม่ข้องแวะ ไม่เหลียวแล มันเป็นโทษแก่เรา ถ้าขืนไปรักอ้ายรสนี้ละก็เดี๋ยวความดีใจเสียใจมันต้องประทุษร้ายเรา ใจก็จะนิ่งอยู่ไม่ได้ มันก็จะฆ่าเราเสียเท่านั้น ไม่ได้ๆ ใจก็นิ่งอยู่อย่างนั้น...


           พอสัมผัสกระทบร่างกาย เย็นร้อนอ่อนแข็ง เอ้า! ชอบใจหรือไม่ชอบใจเล่าถูกเข้ามันนิ่มนวล ชวนปลาบปลื้มทีเดียว ไม่ได้ ๆ ๆ ไปยุ่งกับอ้ายความสัมผัสไม่ได้ ถ้าเข้าไปยุ่งกับมัน ประเดี๋ยวเถอะ พาโทมนัสมาประทุษร้ายใจเรา ใจเราหยุดไม่ได้ เดี๋ยวเสียภูมิ เดี๋ยวใจของนักปราชญ์จะกลายเป็นใจของคนพาลไปเสีย ก็หยุดนิ่งเสียอีกไม่ยอมให้ทั้ง 5 อย่างเลยเข้ามาสู่ใจ ถ้าเลยเข้ามาได้ก็ขาดความสำรวม ถ้าขาดความสำรวมใจก็เป็นโทษ เป็นโทษอย่างไร อภิชฌาและโทมนัสก็เข้าบังคับใจ เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ...ถ้าจะให้อภิชฌาและโทมนัสบังคับไม่ได้ก็จงทำใจให้หยุดเสีย..."


           จากพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ยกมานี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า การ
เจริญสมาธิภาวนาเป็นเครื่องมือที่ใช้อบรมใจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากการเจริญภาวนาแล้ว
ไม่มีเครื่องมือหรือวิธีอื่นใดที่จะบังคับใจให้หยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายได้ เมื่อใจท่องเที่ยว คิดเรื่องไร้สาระอยู่
เรื่อยไปสำรวมระวังมนินทรีย์ไม่ได้ ย่อมเปิดโอกาสให้อภิชฌาและโทมนัสเข้าครอบงำ ทำให้ต้องเสวย
ทุกขเวทนา เพราะความคิดฟุ้งซ่าน หรือเพราะพฤติกรรมทุศีลของตนเองอยู่ร่ำไป

 

          อนึ่ง เมื่อพระภิกษุบำเพ็ญอินทรียสังวรศีลได้บริบูรณ์แล้ว อภิชฌาและโทมนัส ก็ไม่อาจเข้าครอบงำ
ใจได้ ยังผลให้สามารถบำเพ็ญปาฏิโมกขสังวรศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วย เพราะมี สติเป็นตัวกำกับศรัทธาอีก
ต่อหนึ่ง จึงกล่าวได้ว่า ปาฏิโมกขสังวรศีลนั้นสำเร็จด้วย ศรัทธา

-----------------------------------------------

SB 304 ชีวิตสมณะ

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.007429567972819 Mins