ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย คือชีวิตที่ผ่านไปพร้อมกับการสั่งสมบุญบารมี พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะได้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิต ท่านก็สั่งสมบุญเรื่อยมา มิได้หยุดพักเลย ทั้งการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เมื่อได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตแล้ว อาศัยบุพเพนิวาสานุสติญาณมองย้อนกลับไปดูการสร้างบารมีที่ผ่านมา จะเห็นแต่ภาพประวัติศาสตร์ชีวิตอันงดงาม นำมาซึ่งความปีติและภาคภูมิใจ
ชีวิตของพวกเรานักสร้างบารมีก็เช่นเดียวกัน จะต้องดำเนินตามอย่างพระพุทธองค์ จึงจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์และประเสริฐสุด เกิดมาเพื่อสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นแก่โลกอย่างแท้จริง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า
“ผู้ที่เกิดมาแล้วจำต้องตายในโลกนี้ ย่อมทำกรรมอันใดไว้ คือเป็นบุญ และเป็นบาปทั้งสองประการ บุญและบาปนั้นแล เป็นสมบัติของเขา และเขาจะพาเอาบุญและบาปนั้นไปสู่ปรโลก อนึ่ง บุญและบาปนั้น ย่อมเป็นของติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตัวไป ฉะนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลพึงทำกัลยาณกรรม สะสมไว้เป็นสมบัติในปรโลก เพราะว่าบุญทั้งหลาย ย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก”
มนุษย์เท่านั้นที่เกิดมาเพื่อสั่งสมบุญ ส่วนสัตว์ที่เหลือส่วนใหญ่แล้วจะเกิดมาเพื่อเสวยผลกรรมที่เคยประกอบเอาไว้ในอดีต ถึงจะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน ต้องรับใช้ผลกรรมที่ก่อเอาไว้ ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน โอกาสสั่งสมบุญให้กับตนเองนั้นยากมาก แม้เป็นสัตว์เดรัจฉานที่เรามองเห็นว่ามีความเป็นอยู่ที่ดี ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าของดีกว่าคนจนทั่วๆ ไป ก็เป็นได้แค่เพียงสัตว์แสนรู้
จะไปบังเกิดเป็นเทวดา เป็นชาวสวรรค์หกชั้นฟ้าที่มีความเป็นอยู่อันเป็นทิพย์ ปรารถนาอะไรก็สำเร็จได้ด้วยบุญ สำเร็จด้วยใจทุกอย่าง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นทิพย์ไปหมด อายุขัยก็ยืนยาว มีความเป็นหนุ่มสาวอยู่ตลอดเวลา นั่นก็เป็นเพราะผลบุญที่สั่งสมเอาไว้ดีแล้ว เกิดมาเพื่อเสวยบุญ แต่โอกาสที่จะสั่งสมบุญให้กับตนเองเต็มที่ ก็ทำได้ยากมาก เพราะกายอันเป็นทิพย์สร้างบารมีสู้กายมนุษย์ไม่ได้ และยิ่งเมื่อติดในสุขอันเป็นทิพย์เสียแล้ว ก็มองเห็นทุกข์เห็นภัยในสังสารวัฏได้ยาก ส่วนใหญ่จะมัวประมาท เพลิดเพลินในกามคุณอันเป็นทิพย์เหมือนกัน เมื่อหมดบุญก็ต้องจุติลงมาเกิดใหม่
จะไปบังเกิดเป็นพรหมผู้มีรัศมีกายที่สว่างไสว เสวยสุขในฌานสมาบัติ มีความเป็นอยู่ที่ประณีตกว่า สุขกว่าชาวสวรรค์มากมายหลายเท่านัก อายุขัยก็ยืนยาวเป็นล้านๆ กัป แม้จะมีพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาบังเกิดตั้งหลายพระองค์แล้ว ก็ยังไม่จุติ ที่ได้อัตภาพเช่นนั้นก็เป็นเพราะกำลังบุญ และกำลังฌานสมาบัติที่ฝึกฝนอบรมจิตไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ จึงมีภพภูมิที่ละเอียดประณีตบังเกิดขึ้นมารองรับ แต่นั่นก็เป็นเพียงการเสวยผลบุญเท่านั้น จะสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเหมือนมนุษยโลกก็ทำได้ยาก
เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งหาได้ยากในโลก ดังพุทธพจน์ที่ว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการยาก ก็ควรหาโอกาสสั่งสมบุญให้เต็มที่ เพราะมนุษย์เท่านั้นที่เกิดมาเพื่อสร้างบารมี ไม่ได้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม หรือปล่อยชีวิตไปวันๆ ให้กระแสของบาปดึงไปอย่างเดียวเท่านั้น และก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อการอื่นด้วย เกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง มาเพื่อสั่งสมบุญ เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว จะได้ปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ พ้นจากความเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร
เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วจะได้ไม่ประมาท ไม่ปล่อยชีวิตไปวันๆ ให้ไร้สาระเหมือนสวะลอยน้ำ แล้วแต่กระแสน้ำจะพัดพาไป หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ มีบุญอะไรที่อยู่ในวิสัยที่เราพอจะทำได้ ก็ทำให้เต็มที่เต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็กบุญน้อยก็เก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ เมื่อมีบุญใหญ่บุญพิเศษมาถึงให้เราได้ทำ ก็อย่าได้ปล่อยผ่านเลยไป เพราะบุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของเราทั้งในโลกนี้และโลกหน้า บุญนี่แหละจะทำให้เราเข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต
* ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระองค์ทรงอุบัติขึ้นเพื่อนำแสงสว่างแห่งธรรมไปจุดประกายในดวงใจของมวลมนุษยชาติ ทำให้มีพระอริยสาวกทั้งมนุษย์และเทวาได้บรรลุธรรมาภิสมัยกันมากมายนับไม่ถ้วน ในสมัยนั้น มีนายมาลาการอยู่ท่านหนึ่ง ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันตสาวก กำลังเที่ยวเสด็จไปบิณฑบาตในนครหงสาวดี ก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใส อยากจะถวายภัตตาหารแด่พระพุทธองค์ แต่ก็ไม่มี เพราะเป็นคนยากจน มีแต่ดอกบัว ๓ ดอกที่เก็บมาจากทุ่งนา
แต่ด้วยจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย นายมาลาการจึงสอนตัวเองว่า ถ้าเอาดอกไม้นี้ไปขาย ก็จะได้รับทรัพย์มาอย่างมากก็เพียงไม่กี่มาสก ถ้าถวายดอกบัวกับพระโลกนาถเจ้า ย่อมจะได้อริยทรัพย์คืออมตมหานิพพาน ทรัพย์นี้จะติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ ไม่ทำให้เราตกไปในอบายภูมิ สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติจะบังเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน ทรัพย์จากการขายดอกบัวเป็นทรัพย์ที่ไม่ถาวร แต่ถ้าได้ถวายกับพระพุทธเจ้า เราจะได้ทรัพย์ที่ติดตามตัวไปข้ามภพข้ามชาติ เราต้องรีบถวายดอกบัวบูชาพระรัตนตรัย ก่อนที่ความเลื่อมใสของเราจะสั่นคลอน
เมื่อสอนตัวเองได้อย่างนั้นแล้ว จึงยกดอกบัว ๓ ดอกขึ้นพนม ทำการนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วก็อธิษฐานจิตพร้อมกับซัดดอกไม้ให้ไปทางพระบรมศาสดา ด้วยจิตเลื่อมใสอันไม่มีประมาณของนายมาลาการในครั้งนั้น และด้วยพุทธานุภาพ ทำให้ดอกบัวลอยขึ้นไปในอากาศ กลายเป็นดอกบัวขนาดใหญ่ มีขั้วอยู่ข้างบน ดอกห้อยลงข้างล่าง คลี่กลีบบานเป็นร่มยักษ์บนอากาศ ให้ความร่มเย็นกับพระพุทธเจ้าและหมู่ภิกษุสงฆ์ ชาวเมืองเห็นดังนั้น ก็เกิดอัศจรรย์ใจไปตามๆ กัน ได้เปล่งเสียงอนุโมทนาสาธุการก้องพระนคร
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนา พร้อมกับตรัสในท่ามกลางมหาสมาคมว่า มาณพใดได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัวนี้ มาณพนั้นจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอดสามหมื่นกัป และจักได้เป็นจอมเทพเสวยทิพยสมบัติอยู่ ๓๐ ครั้ง จักมีวิมานชื่อมหาวิตถาริกะในเทวโลก สูง ๓๐๐ โยชน์ กว้าง ๑๕๐ โยชน์ พวงดอกไม้ ๔๐๐,๐๐๐ พวง ที่เทวดาเนรมิตอย่างสวยงาม จะตามห้อยอยู่ที่ปราสาทอันวิจิตรและจะประดับบนที่นอน นางเทพอัปสรแสนโกฏิ มีรูปร่างงดงาม ฉลาดในการฟ้อนรำ การขับร้องและการประโคม จักมาเป็นบริวาร คอยแวดล้อมอำนวยความสะดวกทุกอย่าง
ฝนดอกไม้ทิพย์มีสีแดง จักตกลงในวิมานอันประเสริฐ ที่เกลื่อนกล่นด้วยหมู่เทพนารี แก้วปัทมราชซึ่งเป็นทับทิมเปล่งแสงแวววาว จักห้อยอยู่ตามฝาผนัง บานประตู ตามต้นเสาของวิมาน เหล่านางเทพอัปสรจักพากันปูลาด และห่มด้วยใบบัวอันเป็นทิพย์ พักผ่อนอยู่ภายในวิมานอันประเสริฐที่ดารดาษด้วยใบบัว ดอกบัวแดงจะเบ่งบานแวดล้อมวิมาน แล้วส่งกลิ่นหอมตลบไปประมาณร้อยโยชน์ และในภพสุดท้าย จักได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในสมัยของพระสมณโคดมพุทธเจ้า
คำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้านั้น กลายเป็นจริงทุกอย่าง เมื่อพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ใครแล้ว ก็จะไม่กลายเป็นอื่น เพราะพุทธญาณเป็นญาณทัสนะที่บริสุทธิ์ ล่วงความเห็นของมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ทรงเห็นแจ้งทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต สามารถกำหนดรู้ถึงบุพกรรมและผลวิบากของผู้ที่ทำกรรมเอาไว้ เพราะฉะนั้น มาณพท่านนี้ เมื่อละโลกไปแล้ว ก็ได้เสวยสุขในสวรรค์ มีวิมานทองเป็นรูปดอกบัวสว่างไสว กลิ่นดอกบัวหอมฟุ้งไปทั่วเทวโลก ละจากอัตภาพนั้น ยังได้มาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ครั้ง เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ ทำให้มีโอกาสได้สั่งสมบุญให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ท่านได้เสวยสมบัติอันเป็นของมนุษย์และของทิพย์ เป็นผู้ปลอดกังวลในทุกภพทุกชาติ
พอมาในภพชาตินี้ อานิสงส์ของการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัวในครั้งนั้น ยังส่งผลให้ท่านได้มาฟังธรรมแล้วออกบวช เพียงไม่นานก็สามารถที่จะทำใจให้หยุดนิ่ง หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยฤทธานุภาพ ท่านได้บรรลุวิชชา ๓ วิชชา ๘ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นคือ เวลาท่านเดินไปที่ไหนจะปรากฏเหมือนมีดอกบัวเบ่งบานอยู่เหนือศีรษะของท่าน แม้เดินอยู่ในที่กลางแจ้งก็เหมือนอยู่ในที่ร่มตลอดเวลา เป็นเพราะอานิสงส์ในการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัว
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านใดอยากได้บุญพิเศษ บุญจากการบูชาพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของพวกเราทั้งหลาย ก็ให้เอาดอกบัวหรือดอกมะลิไปบูชาพระกัน โดยเฉพาะท่านใดมีโอกาสมานมัสการมหาธรรมกายเจดีย์ ก็ให้นำดอกบัว ซึ่งเป็นดอกไม้แห่งการตรัสรู้ธรรมมาบูชาพระเจดีย์กัน
มหาธรรมกายเจดีย์ เป็นเจดีย์แห่งพระรัตนตรัย เราบูชานอบน้อมด้วยจิตที่เลื่อมใสเป็นพุทธบูชา จะทำให้ได้บุญใหญ่เหมือนท่านปทุมิยเถระ ที่มีดอกบัวเบ่งบานอยู่บนกระหม่อมของท่านตลอดเวลา อานิสงส์นี้จะส่งผลให้เรามีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป และได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันอย่างง่ายดายเป็นอัศจรรย์กันทุกคน เมื่อบูชาพระรัตนตรัยแล้วก็ให้นึกน้อมพระรัตนตรัยไว้ในใจ ทำใจให้หยุดนิ่ง อธิษฐานจิตของเราให้ดี แล้วเราจะสมปรารถนาทุกอย่างในชีวิต
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๒๙๕