พระอริยเจ้าทั้งหลาย ล้วนเป็นผู้ที่ได้สั่งสมอุปนิสัยที่ดีงามมาทุกภพทุกชาติ ได้สั่งสมบุญมาทุกรูปแบบ เพื่อเป็นพลวปัจจัยในการบรรลุธรรม เพื่อกำจัดอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป เพื่อเปลื้องตนให้พ้นจากกองทุกข์ การที่จะเปลื้องตนให้ออกจากทุกข์ได้นั้น เบื้องต้น เราก็ต้องเดินตามรอยพระอริยเจ้า หมั่นสั่งสมบุญทุกอย่าง และบุญนั้นก็จะกลั่นธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ เมื่อบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว จึงจะสามารถกำจัดกิเลสอาสวะเหมือนอย่างพระอริยเจ้าทั้งหลายได้
มีวาระแห่งภาษิตที่ปรากฏอยู่ใน ติมิรปุปผิยเถราปทาน ความว่า
“พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงข้ามพ้นด้วยพระองค์เองแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้น ทรงทรมานตนเองแล้ว จักทรงทรมานสรรพสัตว์ ทรงเบาพระทัยเองแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้เบาใจ ทรงสงบเองแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้สงบ ทรงพ้นเองแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้พ้น ทรงดับทุกข์เองแล้ว จักทรงยังสรรพสัตว์ให้ดับทุกข์”
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อมีทุกข์ให้เราระลึกนึกถึงท่านก็จักพึ่งท่านได้ เพราะพระองค์ทรงหมดกิเลสแล้ว อีกทั้งทรงยังผู้อื่นให้ล่วงพ้นจากทุกข์ตามไปด้วย เต็มเปี่ยมด้วยพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ แม้ว่าในภพชาติที่ได้บังเกิดไปพบพระองค์ จะยังไม่สามารถบรรลุธรรมในชาตินั้น พระองค์ก็ทรงเป็นเนื้อนาบุญอย่างดีเยี่ยม ให้นักสร้างบารมีทั้งหลาย ได้ตักตวงบุญจากพระองค์
ดังเรื่องราวที่หลวงพ่อจะนำมาเล่าในครั้งนี้ เป็นประวัติการสร้างความดีของพระอริยเจ้าในกาลก่อน ที่ท่านได้เข้าถึงบรมสุขคือพระนิพพาน สิ้นกิเลสอาสวะ เพราะผลบุญที่ได้สั่งสมไว้อย่างดีแล้วกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันตเถรเจ้าองค์นี้ มีชื่อว่า พระติมิรปุปผิยเถระ
* เมื่อครั้งในอดีต ท่านได้เกิดในยุคของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า สิทธัตถะ ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่พระบรมศาสดาทรงประกาศพระสัทธรรมใหม่ๆ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ จึงยังไม่แผ่ขยายไปยังหมู่บ้านที่ท่านอาศัยอยู่
เมื่อท่านเจริญวัยขึ้น ก็ได้แต่งงานมีเหย้ามีเรือน พอครองเรือนไปได้ไม่นานนัก จึงได้ก็รับรู้ถึงปัญหาต่างๆ ของฆราวาส ตั้งแต่การทำมาหากิน ปัญหาครอบครัว มีชีวิตที่ไม่อิสระเหมือนเดิม ความทุกข์จึงเข้ามาครอบงำจิตใจ ทำให้ท่านฉุกคิดได้ว่า ที่เราเป็นทุกข์อยู่ในทุกวันนี้ เพราะกามเป็นต้นเหตุ เราควรเปลื้องตนออกจากทุกข์ ท่านเห็นโทษในกามทั้งหลาย จึงออกบวชเป็นดาบส อาศัยอยู่ ณ ที่ใกล้แม่น้ำจันทภาคา
มีอยู่วันหนึ่ง ท่านคิดว่า ในที่ๆ เราอาศัยอยู่นี้ ยังไม่สงบสงัด เราควรแสวงหาสถานที่เหมาะสม ต่อการปฏิบัติธรรม เมื่อคิดเช่นนี้ จึงออกเดินทาง มุ่งหน้าเข้าป่าหิมพานต์ โดยเดินเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคา ซึ่งเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะ ที่เวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ในบริเวณที่ดาบสนั้นเดินผ่านพอดี
ขณะที่กำลังมุ่งหน้าเดินไปนั้น ก็มองเห็นฉัพพรรณรังสีที่เปล่งออกมาจากพระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดความอัศจรรย์ใจ จึงหยุดมองอยู่ครู่หนึ่งและ เห็นพระพุทธองค์ประทับนั่งอย่างสงบ งามสง่าด้วยลักษณะมหาบุรุษ พิจารณาแล้วก็คิดว่า สมณะนี้งดงามน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ชะรอยพระองค์จักเป็นพระพุทธเจ้าดังที่เขาเล่าขานกันมา นับเป็นบุญลาภของเรา ที่ได้มาพบพระองค์ท่าน เราจึงควรเริ่มเอาบุญกับเนื้อนาบุญอันเลิศเช่นนี้
ครั้นคิดได้อย่างนี้แล้ว หันมองไปรอบตัว เห็นแต่ดอกดีหมีที่บานสะพรั่งเท่านั้น ที่ได้ชื่อว่า ดอกดีหมี ก็เพราะว่า มีสีเขียวปนดำ คล้ายดีของหมี เวลาที่ดอกบานทั่วทั้งป่า จะทำป่าให้ดูเหมือนดำมืดไปหมด ดาบสนั้นเมื่อไม่เห็นดอกไม้อย่างอื่นเลยในบริเวณนั้น จึงนำไปดอกดีหมีมาโปรยบูชาพระพุทธพุทธองค์ แล้วประณมอัญชลี ทำประทักษิณ ถวายบังคมพระบาทพระศาสดาแล้วมุ่งเข้าป่าหิมพานต์โดยไม่ได้อยู่ฟังธรรมแต่อย่างใด
ขณะที่จากไปได้ไม่นาน ก็ถูกสัตว์ร้ายไล่ตาม ดาบสได้เดินหนีไปตามริมเหวและพลัดตกลงไปในเหวนั่นเอง แต่ด้วยบุญที่ได้กระทำพุทธบูชาก่อนตาย ส่งผลให้ท่านไปบังเกิดในสวรรค์ ได้เสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ตลอดเวลาที่เวียนว่ายตายเกิด ๙๔ มหากัป ไม่เคยตกนรกเลย ในกัปที่ ๕๖ นับถอยหลังจากกัปนี้ไป ได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๗ ครั้ง พระนามว่า มหารหะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ
จนมาถึงสมัยพุทธกาล ไปบังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง ครั้นเจริญวัยแล้วก็มีความเลื่อมใสในพระศาสนา ได้ออกบวชบำเพ็ญเพียรอยู่ไม่นานนัก ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ สมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ต่อมาท่านได้ระลึกถึงบุพกรรมของตน จึงเกิดโสมนัสเปล่งวาจาออกมาว่า “อานิสงส์แห่งพุทธบูชานี้ ยิ่งใหญ่จริงหนอ เราได้บรรลุโลกิยสมบัติและโลกุตรสมบัติ ก็ด้วยอานุภาพบุญที่เกิดจากพุทธบูชา”
นี้ก็เป็นเรื่องราวของพระตีมิระปุปผิยอรหันตเถรเจ้า ที่ท่านได้ประสบผลแห่งบุญ นับเป็นตัวอย่างที่จะทำให้เราเกิดกำลังใจในการจะกระทำการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการบูชาพระองค์ท่าน ไม่ว่าในสมัยใดก็ตาม ล้วนมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ และหลวงพ่อจะขอยกตัวอย่างขึ้นมาอีกหนื่งตัวอย่าง เพื่อให้พวกเราได้ศึกษาไว้ เป็นประวัติการสร้างบารมีของพระอรหันต์อีกรูปหนึ่ง ที่ท่านออกบวชตั้งแต่เยาว์วัย คือมีอายุได้เพียง ๗ ขวบเท่านั้น ท่านมีชื่อว่า พระคตสัญญกเถระ
* พระเถระรูปนี้ เคยเกิดในยุคของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ติสสะ ท่านได้บังเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ถึงแม้ว่าท่านจะมีร่างกายที่เป็นเด็กเพียงแต่ทว่าจิตใจของท่านกลับมีความเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีศรัทธาเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจบุญเก่าที่เคยทำเอาไว้ในอดีต ท่านได้ออกบวชตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เป็นเพียงสามเณรน้อย ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระศาสดาอย่างสมํ่าเสมอ มีความเลื่อมใสในพระองค์ท่านปรารถนาไม่มีประมาณ ท่านอยากจะเอาบุญกับพระบรมศาสดา จึงคิดว่า
"ตัวเรานี้ก็เป็นเพียงสามเณรน้อย ไม่มีไทยธรรมดังเช่นญาติโยมทั้งหลาย แต่เราก็อยากจะได้บุญกับพระพุทธองค์ เราควรจะบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัย เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงไปหาดอกกรรณิการ์ หามาได้เพียง ๗ ดอกเท่านั้น ก็ก้มลงกราบถวายบังคมพระบาทของพระศาสดา แล้วก็ได้โยนดอกไม้กรรณิการ์ ๗ ดอกขึ้นไปในอากาศเป็นพุทธบูชาด้วยความเลื่อมใส ขณะที่พระองค์เสด็จผ่าน สามเณรน้อยก็กระทำอัญชลีบูชา
การกระทำของสามเณรน้อยในวันนั้น นำความปีติมาให้จนกระทั่งละจากโลกในขณะที่ยังเยาว์วัยอยู่ แต่ผลบุญนั้นได้ส่งผลให้ไปบังเกิดในสุคติภูมิ เสวยสมบัติทิพย์ ที่ละเอียดประณีต ครั้นเมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็มีสมบัติอันเลิศ ไม่เคยตกนรกเลย ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ ในกัปที่ ๘ นับแต่กัปนี้ไป ได้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ ครั้ง มีพระนามว่า อัคคิสิขะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก ในสมัยพุทธกาล ท่านได้มาบังเกิดในตระกูลเศรษฐี เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วจึงออกบวชเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นจากทุกข์ ท่านใช้เวลาไม่นาน ก็ได้เป็นพระอรหันต์ สมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษทั้งหลาย
จะเห็นได้ว่า จากเรื่องราวทั้ง ๒ เรื่องที่หลวงพ่อนำมาเล่าในครั้งนี้ เป็นผลแห่งบุญที่ได้บูชาด้วยดอกไม้ เพียงแต่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคนละพระองค์เท่านั้น แต่มีผลเฉกเช่นกัน ก็คือส่งผลให้มีความสุขความสำเร็จในชีวิตทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งชาติสุดท้ายได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ทุกท่านอาจจะคิดว่า เพราะท่านได้ทำการบูชาในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่จึงได้บุญเช่นนั้น จึงอยากให้ทำความเข้าใจ และได้รับทราบกันต่อไปว่า ถึงแม้ว่าพระพุทธองค์จะดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ตาม หากมีความเลื่อมใสหนักแน่นไม่คลอนแคลน เสมอเหมือนพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่แล้วละก็ อานิสงส์ย่อมเสมอกัน เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ก็ให้ทุกท่านหมั่นบูชา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชากันทุกๆ วัน เถิด
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๓๐๐
* มก.เล่ม ๗๑ หน้า ๓๐๔