การประพฤติปฏิบัติธรรม หมั่นทำใจหยุดใจนิ่งนี้ จะนำความสุขความบริสุทธิ์ให้บังเกิดขึ้นในชีวิต จะเป็นบาทแห่งความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวง ใจที่หยุดนิ่งดีแล้ว จะเป็นแหล่งรวมแห่งความสุข สุขที่ละเอียดประณีตเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ตั้งแต่สุขที่เกิดจากใจโล่งโปร่งเบาสบาย สุขเมื่อเข้าถึงแสงสว่าง เข้าถึงดวงปฐมมรรคอันเป็นเบื้องต้น จนถึงสุขที่เกิดจากการเข้าถึงกายในกาย เรื่อยขึ้นไปจนกระทั่งเข้าไปถึงพระธรรมกาย เข้าไปตามแผนผังชีวิตของมนุษย์ทุกๆ คน ซึ่งจะเข้าถึงจุดแห่งความสุขตรงนี้ได้ เราต้องหยุดใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏอยู่ใน ปทีปวิมาน ความว่า
“โย อนฺธการมฺหิ ติมีสิกายํ
ปทีปกาลมฺหิ ททาติ ทีปํ
อุปฺปชฺชติ โชติรสํ วิมานํ
ปหูตมลฺยํ พหุปุณฺฑรีกํ
ผู้ใดจุดประทีปถวายคราวที่ควรจุดประทีปในเวลาคํ่าคืน อันเป็นอุปกรณ์กำจัดความมืดให้เป็นทาน วิมานอันมีรัศมีโชติช่วง มีสวนงดงามมาก มีบุณฑริกบัวขาวมาก ย่อมเกิดแก่ผู้นั้น”
คำสอนในพระพุทธศาสนามีเหตุมีผลว่า ผู้ที่ทำกรรมใดไว้ผู้นั้นจะต้องรับผลของกรรมนั้น อานุภาพแห่งบุญนี้มีมากมายและเกินควรเกินคาด เหมือนพระบาลีที่หลวงพ่อกล่าวเกริ่นไว้ต้อนต้น นั่นเป็นเรื่องราวแห่งการถวายประทีป ซึ่งแม้เป็นการถวายเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ส่งผลเป็นอสงไขยอัปปมาณัง พวกเราตระหนักกันดีอยู่แล้วในเรื่องของการสร้างบารมี ฉะนั้น ขออย่าประมาทมัวเมาในชีวิต เราจะต้องสร้างบารมียิ่งๆ ขึ้นไป หลวงพ่อจะพูดอย่างนี้ซํ้าแล้วซํ้าอีกจนกว่าพวกเราจะซาบซึ้ง แล้วมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายปลายทาง คือจนกว่าเราทุกๆ คนจะเข้าถึงที่สุดแห่งธรรม
การสร้างบารมีที่เรากำลังทำอยู่นี้ ล้วนเป็นบุญใหญ่ทั้งนั้น ที่กล่าวอย่างนี้บ่อยๆ ไม่ใช่เป็นการสร้างกระแส แต่เป็นความจริงที่หลวงพ่อปรารถนาอยากจะให้พวกเราได้เห็นกระแสแห่งบุญที่บังเกิดขึ้น ซึ่งมากมายมหาศาลทีเดียว ถ้าเราได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว เราจะเกิดมหาปีติ เพราะโดยปกติแล้วผลแห่งบุญก็เป็นอจินไตยอยู่แล้ว ยิ่งถ้าทำถูกเนื้อนาบุญ ก็ยิ่งจะมีผลทับทวี เหมือนเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เป็นเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์
* สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี ทุกๆวันอุโบสถก็จะมีเหล่าพุทธศาสนิกชนรักษาอุโบสถกันอย่างสมํ่าเสมอ วันหนึ่งซึ่งเป็นวันอุโบสถเช่นกัน มีอุบาสกเป็นจำนวนมากมารักษาอุโบสถศีล และตั้งใจถวายทานอย่างเต็มกำลังกันทุกคน หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วพวกเขาพากันนุ่งห่มผ้าที่สะอาด ถือของหอมและดอกไม้เดินมุ่งหน้าไปที่วิหาร เมื่อไปถึงก็เข้าไปนั่งสนทนาธรรมกับพระภิกษุผู้เป็นพหูสูตด้วยความเบิกบาน
อุบาสกทั้งหลายใช้เวลาสนทนาธรรมอย่างนี้จนกระทั่งถึงเวลาเย็น แล้วรวมกันไปฟังธรรมต่อ แม้พวกเขาฟังธรรมต่อเนื่องกันมายาวนานอย่างนี้ ก็ไม่มีความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่อย่างใด กลับเกิดความปีติซาบซึ้งในรสพระธรรม คนสมัยก่อน เวลาฟังธรรม สนทนาธรรม จะเป็นช่วงเวลาที่ทุกๆคนหวงแหน เพราะรู้ว่าการฟังธรรมเป็นมหากุศล เป็นทางมาแห่งความปีติเบิกบานใจเพียงอย่างเดียว ชึ่งหากใครทำความรู้สึกอย่างนี้ให้เกิดขึ้นในขณะที่นั่งฟังธรรมอยู่นั้น ก็จะได้บุญอย่างมาก และยิ่งถ้าทำใจหยุดใจนิ่งไปด้วยในขณะนั้นก็สามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้
พวกอุบาสกนั่งฟังธรรมกันจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกดิน ความมืดได้ครอบคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ ขณะนั้นเองมีหญิงคนหนึ่งผ่านมาเห็นเหตุการณ์ นางเห็นสาธุชนนั่งฟังธรรมกันก็เกิดความเลื่อมใส จึงคิดวิธีการที่จะได้บุญกับพระภิกษุที่แสดงธรรม รวมทั้งเหล่าอุบาสกผู้ใคร่ในธรรม นางคิดว่า วันนี้เราจะเอาบุญใหญ่ จึงกลับบ้านนำเครื่องจุดประทีปมาแล้วจุดประทีปขึ้น ได้ตั้งไว้หน้าธรรมาสน์ที่แสดงธรรม แล้วก็นั่งฟังธรรมด้วย
ในขณะที่นางนั่งฟังธรรมอยู่นั้น สายตาที่ทอดมองไปข้างหน้า ได้เห็นแสงแห่งประทีปสว่างไสว หัวใจนางพองโตด้วยมหาปีติ นั่งฟังธรรมไปก็ยิ้มไปด้วยอาการที่เบิกบานในการถวายประทีปของตน หลังจากที่ฟังธรรมจบแล้ว นางได้ไหว้พระภิกษุผู้แสดงธรรมแล้วเดินทางกลับบ้าน แม้เวลาผ่านไปยาวนานเพียงใด ภาพแห่งการสร้างบารมีครั้งนั้น ยังคงแจ่มชัดในใจของนางอยู่ตลอดเวลา นึกขึ้นมาทีไรก็มีมหาปีติไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อนึกเรื่อยๆ ใจก็สว่างไสวอยู่ในบุญตลอดเวลา แม้มีชีวิตอยู่ในโลกก็มีแต่ความสุข พอละจากโลกนี้ ด้วยผลแห่งการถวายประทีปในครั้งนั้น ทำให้นางได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานสว่างไสวรุ่งเรืองมาก และความงามแห่งเรือนร่างของเทพธิดานั้นก็ยิ่งสว่างไปทั่วทุกทิศ อีกทั้งมีรัศมีกายที่สว่างไสวข่มเทวดาทั้งหลายในภพนั้น
ต่อมา พระมหาโมคคัลลานะ อริยสาวกผู้เลิศด้วยฤทธิ์ ได้เที่ยวจาริกไปในเทวโลก มองเห็นแสงสว่างที่ออกจากเรือนร่างของเทพธิดาท่านนี้ก็ฉุกคิดว่า ในสวรรค์ชั้นนี้ มีเทพบุตรและเทพธิดามากมาย แต่ไม่มีเทพองค์ใดที่มีแสงสว่างออกจากเรือนร่างสว่างไสวเท่ากับเทพธิดาตนนี้ แม้วิมานที่บังเกิดขึ้น มหาสมบัติทั้งหลาย ก็มีแสงสว่างที่รุ่งโรจน์ยิ่งนัก พระเถระจึงเอ่ยถามเทพธิดานั้นว่า
“ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะที่งดงามยิ่งนัก มีแสงสว่างไปทั่วทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก รุ่งเรืองเกินกว่าเทวดาทั้งหลาย ท่านได้สร้างบุญพิเศษอะไรไว้หนอ รัศมีของท่านจึงสุกใส รุ่งโรจน์ ทุกทิศก็สว่างไสวด้วยรัศมีที่ออกจากร่างกายของท่าน สมัยที่เป็นมนุษย์นั้น ท่านได้สร้างกรรมดีอะไรไว้” เทพธิดาได้เล่าว่า “สมัยที่ดิฉันได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น ได้จุดประทีปถวายในเวลาคํ่ามืด ในขณะที่ผู้คนทั้งหลายกำลังนั่งฟังธรรม ดิฉันเป็นผู้ให้แสงสว่าง ด้วยผลบุญที่ดิฉันได้กระทำแม้เพียงน้อยนิดนั้น ได้ส่งผลให้ดิฉันมีรัศมีทั่วสรรพางค์กายรุ่งโรจน์สว่างไสวกว่าเทวดาทั้งหลาย มหาสมบัติที่สำเร็จด้วยรัตนะทั้งปวงก็บังเกิดขึ้นเพราะผลแห่งกรรมนั้น อานุภาพบุญนี้น่าอัศจรรย์ยิ่งนักพระคุณเจ้า”
พระเถระฟังถ้อยคำของนางเทพธิดาแล้ว ได้เอาเรื่องนั้นเป็นเหตุให้ท่านแสดงธรรมโปรด ครั้นจบพระธรรมเทศนา เทพธิดาและเหล่าบริวารทั้งหมด ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา หลังจากที่พระเถระกลับมาจากเทวโลกแล้ว ท่านได้นำเรื่องราวการสร้างความดีของเทพธิดานั้นมากราบบังคมทูลพระบรมศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผลแห่งบุญอันน้อยนิดนี้ ดูหมิ่นไม่ได้เลย มหาสมบัติใหญ่และวิมานที่สว่างไสวเรืองรอง ก็เพราะผลแห่งกรรมอันเล็กน้อยเท่านั้น”
พระบรมศาสดาสดับดังนั้นแล้ว ตรัสว่า “โมคคัลลานะ ผลบุญที่เกิดขึ้น เธอเองก็เห็นมากับตาตัวเองแล้วมิใช่หรือ อานุภาพแห่งบุญนี้ไม่มีประมาณอย่างนี้แหละ” แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมแก่พุทธบริษัทให้เห็นคุณค่าของการสร้างบุญกุศล ตั้งแต่นั้นมา พุทธบริษัทต่างพากันตระหนักในการสร้างบุญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยความเบิกบานใจ
เราจะเห็นว่า มหาสมบัติอันเป็นทิพย์ รอคอยผู้มีบุญที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้ว แม้บุญนั้นจะเป็นบุญเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ให้ผลที่ยิ่งใหญ่เกินควรเกินคาด สมบัติทุกอย่างเป็นอุปกรณ์ในการสร้างความดีและมีไว้ใช้สร้างบารมี ไม่ใช่มีไว้หวงแหน การที่พวกเราตั้งใจทำความดีกันทั้งทาน ศีล ภาวนา ล้วนเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ เกินกว่าเรื่องราวที่หลวงพ่อได้นำมาเล่าเป็นกำลังใจนี้หลายเท่านัก บุญกุศลทุกอย่างที่เราตั้งใจสร้างนี่แหละ จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราถึงพร้อมด้วยที่สุดของมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติและนิพพานสมบัติ ไปทุกภพทุกชาติกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๔๘ หน้า ๘๒