อานิสงส์ยกมือไหว้พระ

วันที่ 13 พย. พ.ศ.2558

อานิสงส์ยกมือไหว้พระ
 

อานิสงส์ยกมือไหว้พระ

 

     การปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของทุกๆ คน สันติสุขที่แท้จริงนั้นจะบังเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยการปฏิบัติธรรมเท่านั้น โดยน้อมนำเอาใจไปหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะในศูนย์กลางกายกายของมนุษย์ทุกคนล้วนมีพระธรรมกายสิงสถิตอยู่ วิถีทางเข้าถึงกายธรรมได้นั้น ก็ต้องหมั่นทำใจหยุดใจนิ่ง จนกระทั่งใจละเอียดสามารถเข้ากลางของกลางได้ ได้เข้าถึงดวงปฐมมรรค เข้าถึงกายภายในตามลำดับ จนเข้าถึงพระธรรมกาย การดำเนินจิตเข้าสู้เส้นทางสายกลาง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย


มีวาระแห่งภาษิตที่ปรากฏอยู่ใน รังสิสัญญกเถราปทาน ความว่า
 

“เมื่อก่อน เราอาศัยอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ เรานุ่งห่มหนังสัตว์ อยู่ในระหว่างภูเขา
เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดั่งทองคำ ดุจพระอาทิตย์แผดแสง
เสด็จเข้าป่างามเหมือนพญารังมีดอกบาน จึงยังจิตให้เลื่อมใสในพระรัศมี แล้วนั่งกระโหย่ง
ประณมอัญชลี ถวายบังคมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ด้วยเศียรเกล้า
ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งสัญญาในพระรัศมี”


     ถ้อยคำอุทานนี้ เป็นคำกล่าวของพระอรหันต์องค์หนึ่งในสมัยพุทธกาล ที่ท่านได้เปล่งอุทานเอาไว้ ภายหลังจากที่ได้ย้อนอดีตของตัวท่านเอง กลับไปดูชาติที่เกิดมาสร้างบุญ  ทุกๆ คนต้องมีอดีต มีประวัติการเกิดมาครั้งแล้วครั้งเล่า ได้ถูกบันทึกไว้ในศูนย์กลางกายของพวกเราเองทุกๆ คน การที่เรากระทำอะไรไว้ ไม่ได้สูญหายไปไหนเลย หากเมื่อมีใจหยุดนิ่งได้สมบูรณ์ดีแล้ว ทำให้จะย้อนกลับไปดูอีกเมื่อไรก็ทำได้ และหากมีอดีตที่สวยงามเพราะการสร้างบุญก็จะบังเกิดแต่มหาปีติอันไม่มีประมาณ ดังเช่นพระเถรเจ้าองค์นี้ ซึ่งมีนามว่า พระรัง-สิสัญญกเถระ
 
     
* ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ยุคนี้เป็นยุคที่นักสร้างบารมีทั้งหลายลงมาเกิด เพื่อสร้างบุญกันมากมาย ในภพชาตินี้พระเถระได้เกิดในตระกูลหนึ่ง ในช่วงแรกๆ ของชีวิต ท่านก็ได้ดำเนินชีวิตไปตามปกติวิสัยของชาวโลกทั่วๆ ไป ท่านได้ศึกษาหาความรู้ในวัยศึกษา จนผ่านเข้าสู่วัยครองเรือน มารดาบิดาจึงให้แต่งงานมีเหย้ามีเรือน เพื่อให้สืบทอดวงศ์สกุล หลังจากที่ครองเรือนได้ไม่นานเท่าใดนัก ปัญหาต่างๆ ก็เริ่ม บังเกิดขึ้น ตั้งแต่เรื่องหน้าที่การงาน ครอบครัว ล้วนนำความทุกข์มาให้ทั้งสิ้น ไม่เป็นอิสระดังเดิม จึงคิดว่า ชีวิตฆราวาสนี้มีแต่ความทุกข์ ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะสามารถทำทุกข์นี้ให้สิ้นไป ก็คิดได้ว่ามีหนทางเดียวเท่านั้น คือต้องออกบวช จึงจะสามารถสลัดออกจากกองทุกข์นี้ได้
 
     เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงละการครองเรือนบวชเป็นดาบส ครองหนังเสือเหลือง อาศัยอยู่ในหิมวันตบรรพต มีอยู่วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปยังป่าหิมพานต์ เสด็จผ่านไปทางอาศรมของดาบส ดาบสนั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกจากพระวรกาย เกิดความเลื่อมใสในพุทธรังสี คิดว่า สมณะนี้งามจริงหนอ รัศมีก็สว่างไสว ยังใจเราให้แช่มชื่นนัก ชะรอยสมณะนี้ จักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังที่เขารํ่าลือกัน คิดได้อย่างนั้นก็ไม่รอช้า รีบประคองอัญชลี กระทำการนอบน้อมถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์
 
     เหตุการณ์ในวันนั้นอยู่ในความทรงจำของดาบสจนตลอดชีวิต ด้วยบุญนั้น ท่านละจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในสุคติภพ เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต แล้วเวียนวนเกิดอยู่ในเทวโลกทั้งหกชั้น ไม่เคยพลัดตกไปในอบายภูมิเลย จนมาถึงในพุทธกาลนี้ ได้บังเกิดในตระกูลหนึ่ง เมื่อเจริญวัยขึ้น บุญในตัวก็ตักเตือน ทำให้เห็นโทษในการอยู่ครองเรือน จึงสละเพศฆราวาสออกบวช บำเพ็ญเพียรไม่นานนักก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์  
 
     เมื่อบรรลุธรรมแล้วท่านมาใคร่ครวญว่า บุญอันใดหนอที่ทำให้เรามีวันนี้ได้ จึงระลึกชาติไปดูได้เห็นการสร้างบุญที่ทำด้วยจิตอันเลื่อมใสไม่มีประมาณ จึงเปล่งอุทานด้วยความโสมนัสว่า
 
     “เราอาศัยอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ เรานุ่งห่มหนังสัตว์ อยู่ในระหว่างภูเขา เราได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดั่งทองคำ ดุจพระอาทิตย์แผดแสง เสด็จเข้าป่างามเหมือนพญารังมีดอกบาน จึงยังจิตให้เลื่อมใสในพระรัศมี แล้วนั่งกระโหย่งประณมอัญชลี ถวายบังคมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ด้วยเศียรเกล้า  ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราไม่เคยพลัดตกไปสู่ทุคติเลย เราสมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ นี้เป็นผลแห่งความเลื่อมใสในพระพุทธรัศมี”
 
     เราจะเห็นแล้วว่า อานิสงส์แห่งความเลื่อมใสในบุคคลผู้เลิศ ย่อมจะได้มหาสมบัติทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ และไม่ใช่ว่าจะได้อย่างนี้เพียงในยุคนั้นเท่านั้น หากเราได้กระทำในยุคอื่นๆ ก็ย่อมมีอานิสงส์เช่นเดียวกัน ดังนั้นหลวงพ่อจะขอนำมาเล่าอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่างยุคกัน แต่มีความละม้ายคล้ายกัน คือเรื่องที่แล้วเกิดในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี แต่เรื่องที่หลวงพ่อจะเล่าต่อนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ 
 
     เป็นประวัติการสร้างบารมีของพระเถระรูปหนึ่ง ท่านเกิดในตระกูลหนึ่งในสมัยของพระผุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์เลย จนเจริญวัยก็อยู่ครองเรือน และพิจารณาเห็นโทษในการครองเรือน ได้ละการครองเรือนออกบวชเป็นดาบสอยู่ที่ป่าหิมพานต์ มีเพียงเปลือกปอเป็นเครื่องนุ่งห่ม อยู่ด้วยความสุขอันเกิดจากความวิเวก ท่านบำเพ็ญเพียรอยู่ยาวนานทีเดียว
 
     อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาถึงป่าที่ดาบสอาศัยอยู่ และทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีออกจากพระวรกาย ทำให้ดาบสที่อาศัยอยู่ในอาศรม มองเห็นพระพุทธรังสีที่ซ่านออกจากพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเกิดเลื่อมใสในพระรัศมี มีมหาปีติแผ่ซ่านออกจากกาย เพราะไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน ท่านได้ประคองอัญชลีถวายบังคมอยู่ที่ตรงนั้น
 
     ดาบสได้ยังจิตให้เลื่อมใส แล้วกระทำกาละด้วยปีติและโสมนัสนั้นเอง ส่งผลให้ไปบังเกิดเป็นเทพชั้นดุสิต ละจากชั้นดุสิตแล้วได้ไปเสวยสุขในกามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น วนเวียนอยู่ยาวนานมาก จนกระทั่งในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้เกิดในตระกูลหนึ่ง พอเจริญวัยแล้วได้ออกบวช ด้วยอำนาจบุญเก่าที่สั่งสมมาดี ท่านบำเพ็ญเพียรได้ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
 
     เมื่อท่านบรรลุธรรมแล้ว  ก็ได้ระลึกถึงบุพกรรมของตน ก็เกิดโสมนัสในการสร้างความดี ได้เปล่งอุทานว่า “บุญนี้น่าอัศจรรย์นัก เราทรงผ้าเปลือกไม้อยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ ได้ขึ้นสู่ที่จงกรม แล้วนั่งผินหน้าไปทางทิศปราจีน มองเห็นพระสุคตเจ้าพระนามว่า ผุสสะ บนภูเขาที่อยู่ไกลลิบ จึงประณมอัญชลีแล้วยังจิตให้เลื่อมใสในพระรัศมี ด้วยผลแห่งบุญนั้น ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ เราไม่รู้จักทุคติเลย เราสมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษทั้งหลาย ก็ด้วยอานุภาพแห่งบุญในครั้งนั้น” 
 
     จากเรื่องราวที่ยกมากล่าวแล้วทั้งสองเรื่อง จะเห็นได้ว่า การอัญชลีบูชาเนื้อนาบุญผู้เลิศ แม้ด้วยมือสองข้าง หากมีใจเลื่อมใสอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์อันไม่มีประมาณ ผู้มีใจมุ่งตรงต่อพระพุทธเจ้า ระยะทางไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย แม้จะอยู่ห่างไกลแค่ไหนก็ตาม ขอเพียงใจเลื่อมใสในพระพุทธองค์ อานิสงส์ใหญ่ก็จะบังเกิดขึ้น หากมีใจเลื่อมใสเสมอกัน แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงพระชนม์ชีพอยู่ หรือว่าดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ตาม อานิสงส์ที่ได้ก็มากเท่ากัน เมื่อทราบอย่างนี้ พวกเราทุกคนต้องหมั่นเจริญพุทธานุสติ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ตรึกระลึกนึกถึงพระองค์ท่านให้ได้ทั้งวันทั้งคืน

 

พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๓๑๓

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.070138867696126 Mins