"การแสวงหามีอยู่สองอย่าง คือ การแสวงหาสิ่งที่ไม่ประเสริฐอย่างหนึ่ง การแสวงหาสิ่งที่ประเสริฐอย่างหนึ่ง การแสวงหาสิ่งที่ไม่ประเสริฐ คือ สิ่งที่มีชาติ ชรา มรณะและความโศกเศร้า เป็นธรรมดา ส่วนผู้รู้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จะแสวงหาพระนิพพานอันเป็นอมตะ ที่ไม่มีการเกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ อันเป็นแดนเกษมจากโยคะ ที่หาความโศกไม่ได้" ปาสราสิสูตร
เราเกิดมาภพชาติหนึ่ง ก็เพื่อชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้หลุดพ้นจากความเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร มุ่งสั่งสมบุญบารมีเพื่อไปสู่อายตนนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น พระนิพพานเป็นโลกุตรธรรมที่อยู่นอกภพทั้งสาม เป็นสภาวธรรมที่มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆเป็นสุขล้วนๆ อยู่นอกเหนือกฎของไตรลักษณ์ เที่ยงแท้ถาวร ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป พระพุทธองค์มักใช้คำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นเอกันตบรมสุข ที่ไม่มีทุกข์เจือปนเลย
เราสร้างบารมีเพื่อแสวงหาที่พึ่ง ที่ระลึก ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นสุขได้ด้วยตนเองและเป็นตัวตนที่แท้จริง สิ่งที่เราต้องการนี้ รวมประชุมอยู่ในธรรมกายทั้งหมด ธรรมกาย คือ แก่นของชีวิต เป็นชีวิตในระดับลึกที่อยู่ในตัวของเรา ส่วนการแสวงหาสิ่งของนอกตัวนั้น เป็นเหตุให้ใจเหินห่างจากศูนย์กลางกาย ทำให้ต้องเวียนวนอยู่ในภพสามเรื่อยไป พระพุทธองค์ถึงได้ตรัสว่าเป็นการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ เพราะเป็นไปเพื่อการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หาสาระแก่นสารในสิ่งต่างๆเหล่านั้นไม่ได้
นักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลาย ท่านเห็นคุณค่าของชีวิต เห็นทุกข์ เห็นโทษในการเกิดบ่อยๆ ทุกครั้งที่เกิดมาก็มุ่งแสวงหาโมกขธรรม หาทางที่จะหลุดพ้นจากความมืด คือ อวิชชา เพื่อไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ซึ่งเป็นอิสระจากกิเลสอาสวะ คงที่ ไม่แปรผันอีกต่อไป
"จากส่วนหนึ่ง ของรายการธรรมะเพื่อประชาชน โดย พระเทพญาณมหามุนี"