ทิ้งนิสัยแย่ๆ แก้ผังชีวิต

วันที่ 09 มค. พ.ศ.2559

ทิ้งนิสัยแย่ๆ แก้ผังชีวิต

    สาเหตุที่ตรัสชาดก ครั้งนั้นพระชินสีห์ประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์อันอลงกตในธรรมสภาทรงทราบว่า วันนี้เทศนาจักตั้งเรื่องขึ้นเพราะถ้อยคำพวกอุบาสก ได้ตรัสชื่นชมอุบาสกที่มาบำเพ็ญวัตรรักษาอุโบสถแล้วตรัสว่า อุโบสถนี้เป็นเชื้อสายแห่งบัณฑิตแต่ครั้งก่อน ซึ่งบัณฑิตพากันอยู่จำอุโบสถเพื่อข่มกิเลสมีราคะเป็นต้น เมื่ออุบาสกกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตมาดังต่อไปนี้..

 

    ในอดีต มีบุตรเศรษฐีผู้หนึ่ง ตั้งใจศึกษาร่ำเรียนวิชาเรื่อยมาจนบิดามารดาตายหมดสิ้น เกิดคิดได้ว่า พ่อแม่ตายยังไปมือเปล่า แล้วเราจะมัวมาหาทรัพย์ไปทำไม เลยเบื่อเงินทองของตาย หน่ายชีวิตประจำวันอันไร้แก่นสาร ในที่สุดก็ละบริวารและคฤหาสน์ เข้าสู่ป่าอันน่ารื่นรมย์บวชเป็นบรรพชิตสร้างอาศรมอยู่สืบมา ในบริเวณนั้นมีสัตว์ 4 ชนิดคือ นกพิราบ งู จิ้งจอกและหมี

 

    เช้าวันหนึ่ง ขณะนกพิราบกับภรรยาออกจากรังไปหากิน เหยี่ยวก็บินมาโฉบเอานางนกพิราบไปต่อหน้าต่อตาแล้วบินจากไป พิราบหนุ่มได้แต่มองตามตาละห้อย ทั้งโศกเศร้ารันทดใจอย่างสุดแสนทั้งคับแค้นใจคิดถึงแต่นางนกน้อยที่น่าสงสารจนหมดแรงออกไปหากิน กระทั่งแทบไม่มีแรงจะหายใจและก่อนที่จะหมดลมตายตามภรรยาสุดรักไปได้พลันนึกถึงฤษีที่อาศรมขึ้นมาได้คิดว่า..


"โอ้! ความรักคือความร้าย! ช่างทำร้ายเราได้ถึงเพียงนี้ เราต้องลำบากจวนเจียนตายก็เพราะรัก หากเรายังเกาะเกี่ยวในรัก หักรักไม่ลงแล้วไซร้ก็จะขอยอมตายไม่ขอออกหากินอีกเด็ดขาด!

 

    แล้วนกพิราบหนุ่มก็บินมุ่งตรงไปอาศรมฤษี นอนจำศีลข่มราคะอยู่ใกล้ๆ อาศรมนั้นเอง..อีกด้านหนึ่ง งูกำลังออกหาเหยื่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ดูตาม้าตาโคจึงถูกโคเหยียบเข้าที่ลำตัว งูพลิกตัวหลบได้ก็โกรธมากฉกโคล้มตายทันที ชาวบ้านต่างกรูกันเข้ามาร้องห่มร้องไห้เมื่อรู้ว่าโคมงคลประจำหมู่บ้านตายเสียแล้ว งูจึงพลอยเสียใจไปกับชาวบ้านด้วยคิดว่าตนไม่น่าทำให้คนทั้งหลายต้องมาเศร้าโศกเพราะความไม่ยับยั้งชั่งใจของตนเลย เวลานั้นเอง งูก็พลันนึกถึงฤาษีขึ้นมาได้จึงคิดว่า..


"เพราะเราโกรธเขาแท้ๆ จึงทำเรื่องแย่ๆ อยู่ทุกวันนี้! ชาวบ้านเหล่านี้ต้องเสียใจเพราะเราผู้เดียว ไม่เอาล่ะ! ถ้าเรา กัดกั้นความโกรธนี้ไว้ไม่ได้ก็ขอยอมตายไม่ออกไปหากินอีกเด็ดขาด!"


งูเลื้อยมุ่งตรงไปยังอาศรมฤาษีแล้วนอนขดจำศีลข่มความโกรธอยู่ใกล้ๆ อาศรมนั้นเอง..

    อีกด้านหนึ่งของป่าสุนัขจิ้งจอกได้ออกล่าเหยื่อพบช้างนอนตายขวางทางอยู่ จึงลองสำรวจดูว่าจะกินส่วนไหนได้บ้าง เลยกัดเข้าที่งวงบ้าง งาบ้าง หนังบ้างให้รู้สึกเจ็บฟันเหลือทน จึงกัดไปที่ก้นก็รู้สึกถึงความอ่อนละมุนนุ่มน่ากิน ได้กัดกินเนื้อรูทวารช้างอย่างเอร็ดอร่อยจนอิ่มแปร้ และด้วยความขี้เกียจหาอาหารอื่นอีกในเมื่ออาหารก็มีเหลือเฟอตัวเบ่อเร่อ จึงมุดเข้าก้นช้างไปอาศัยอยู่ในท้องช้างกินนอนอยู่ในนั้นราวกับอยู่ในถ้ำ แม้อิ่มแล้วก็โลภมากไม่ยอมออกมาข้างนอก ไม่นานนักซากช้างก็แห้งกรังรูทวารก็ปิดลง จิ้งจอกติดอยู่ในท้องช้างจนร่างกายผ่ายผอมกำลังจะตาย เดชะบุญที่ฝนตกลงมาจนรูทวารชุ่มน้ำเปิดออกอีกครั้ง จิ้งจอกไม่รอช้ารีบพุ่งพรวดครูดตัวออกมาทางช่องน้อยๆ ซึ่งเป็นทางออกเดียวเมื่อพรวดออกมาได้ก็รอดแต่ตัวส่วนขนหลุดติดรูทวารหมดเกลี้ยง จิ้งจอกเจ็บแสบแสนสาหัสรู้สึกสำนึกเสียใจ พลันนึกถึงฤาษีขึ้นมาได้จึงคิดว่า..


"เพราะความโลภของเราแท้ๆ จึงแทบแย่เลยสิเรา! ถ้าเราข่มความโลภในอาหารไม่ได้ล่ะก็จะไม่ขอออกหาอาหารอีกเลย ขอยอมตายเสียดีกว่า"

    จิ้งจอกเดินโซซัดโซเซตรงไปอาศรมฤาษีแล้วหามุมอุ่นๆ ซุกนอนจำศีลข่มความโลภอยู่ใกล้ๆอาศรมนั้นเอง..

    อีกด้านหนึ่งที่ท้ายป่า หมีก็ไปก่อเหตุเช่นกัน มันได้หลุดเข้าไปในถิ่นชาวบ้านเพราะอยากลิ้มชิมรสแปลกดูบ้าง ได้ถูกชาวบ้านยิงธนูใส่ หัวแตก เลือดอาบ ซมซานวิ่งกะเผลกรอดตายกลับมาได้อย่างหวุดหวิด ร่างกายบอบช้ำหนักครางโอดโอย พลันนึกถึงฤาษีได้จึงคิดว่า..


"เพราะความอยากลองของแปลกแท้ๆ เข็ดแล้วเรา! เราจะไปฆ่าความโลภกับท่านฤาษี ถ้าพยายามทำไม่ได้ก็ขอนอนตายดีกว่าจะไม่ออกหาอาหารอีกแล้ว"

 

    หมีซมซานไปยังอาศรมฤาษีแล้วนอนหมอบจำศีลข่มความโลภอยู่ข้างๆ อาศรมนั้นเอง..สัตว์ผู้ทุกข์ยากทั้ง 4 มาอาศัยฤาษีเป็นที่พึ่ง แต่ฤาษีหาที่พึ่งให้ตนเองยังมิได้เนื่องเพราะฤาษียังมัวถือเนื้อถือตัวทำตัวสำรวยอยู่ นิสัยบุตรเศรษฐีเก่ายังติดตัวมาทำให้ติดความสะดวกสบาย ถึงคราวลำบากลำบนก็ทนไม่ค่อยไหวจึงไม่อาจทำฌานให้เกิดขึ้นได้สักที คราวนั้นยังดีที่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเหลืออยู่อีกองค์หนึ่ง ท่านทรงทราบความที่ฤาษีนี้ติดมานะไม่อาจคลายได้ เมื่อทรงตรวจดูก็พบว่าที่แท้สัตว์ผู้นี้เป็นยอดนักสร้างบารมีคนหนึ่งซึ่งได้สร้างบารมีฝึกนิสัยมายาวนานอีกไม่นานก็จะบรรลุพระสัพพัญุตญาณในกัลป์นี้แล้ว จึงอาสาเป็นกัลยาณมิตรให้

 

    พระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะมาที่อาศรมแล้วนั่งลงบนแผ่นหินของฤาษี ฤาษีได้ยินเสียงจึงรีบออกมาดูก็เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งอยู่บนที่ของตนจึงโกรธเป็นการใหญ่ ปรี่เข้าไปตบมือตวาดว่า..


"ฉิบหายเถิด! ไอ้กาลกรรณี ไอ้ถ่อย! ไอ้สมณะหัวโล้น มึงมานั่งเหนือแผ่นกระดานของกูทำไม!"พระปัจเจกพุทธเจ้าได้กล่าวเตือนสติว่า..


"พ่อคนดี เหตุใดท่านจึงมีแต่มานะ อวดดื้อ ถือดีนักล่ะ! ข้าพเจ้านี้ได้บรรลุปัจเจกพุทธญาณแล้วนะ ตัวท่านเองก็จะได้บรรลุสัพพัญุตญาณในกัลป์นี้แล้ว .. ฉะนี้แล้วท่านจะมัวมามีมานะถือตัว เป็นคนหยาบคายแบบนี้เพื่ออะไรกันสิ่งนี้ไม่สมควรแก่ท่านเลย"

 

    ฤาษียังคงไม่สนใจคำพูดของพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งไม่ไหว้ท่าน ทั้งไม่ถามไถ่อะไรทั้งสิ้นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็หมดความที่จะเอ่ยคำสอนใดกับความดื้อเช่นนี้ได้อีก จึงกล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไปว่า..


"ท่านไม่รู้ถึงความใหญ่หลวงแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าและความใหญ่โตแห่งคุณของเรา ถ้าท่านสามารถทำได้ก็เหาะไปในอากาศให้ได้เหมือนกับเราสิ"

 

    แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหาะไปในอากาศโปรยฝุ่นที่เท้าลงบนชฎาของฤาษี กลับสู่ป่าหิมพานต์ตามเดิม ฤาษีเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปได้ก็เกิดความสลดใจคิดว่า
"ท่านผู้นี้ก็เป็นสมณะมีร่างกายหนักเหมือนกับเรา แต่สามารถเหาะไปในอากาศได้เหมือนอย่างปุยนุ่นส่วนตัวเรามีแต่ความอวดดีถือตัวเลยมิได้ก้มกราบเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีคุณธรรมถึงปานนี้ ไอ้ความถือตัวนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรเล่า! ศีลและความประพฤติต่างหากที่เป็นใหญ่ในโลก หากความถือตัวของเรายังเจริญอยู่อย่างนี้ต่อไป มันจะพาเราไปนรกแน่! ถ้าวันนี้เรายังข่มมานะนี้ไม่ได้ก็จะยอมตายมันตรงนี้แหละ!"

 

    ฤาษีเข้าอาศรมจำศีลข่มมานะ นั่งบนพื้นกระดานเรียบเก่าๆ เลิกเจ้าสำรวย เจริญกสิณทำอภิญญา 5สมาบัติ 8 ให้เกิดขึ้นได้ ละโลกแล้วก็ไปพักที่พรหมโลกส่วนสัตว์เหล่านั้นก็ข่มนิสัยเสียของแต่ละตัวได้ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ฝนทนเอาชีวิตเข้าแลกจนทำได้สำเร็จ ละโลกแล้วก็ไปพักเสวยสุขอันยาวนานในสวรรค์ด้วยกันทั้งหมด

 

ประชุมชาดก
         พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า นกพิราบครั้งนั้นมาเป็นอนุรุทธะ หมีมาเป็นกัสสปะหมาจิ้งจอกมาเป็นโมคคัลลานะ งูมาเป็นสารีบุตร ดาบสมาเป็นตถาคตแล


            จากชาดกเรื่องนี้ ฤาษีแม้ฝึกนิสัยดีมาข้ามชาติก็ยังพลาดมีทิฏฐิมานะจนมิอาจคลายได้ต่อเมื่อเกิดความสลดใจจึงยอมคิดแก้ไข หากมิใช่ฤาษีฝึกฝนนิสัยมาอย่างดี ถึงแม้เกิดสลดใจก็หักใจเลิกความชั่วไม่ได้อยู่นั่นเอง เพราะมิได้ฝึกตัดใจจากสิ่งเหล่านี้จนชำนาญ ผู้ที่ฝึกตามใจกิเลสเรื่อยไปจนเป็นนิสัย มีผลให้จิตมีเยื่อใยผูกพันกับกิเลสอาลัยอาวรณ์มันอยู่ร่ำไป ตัดอาลัยได้ยากยิ่ง ดังนั้นนักสร้างบารมีควรฝึกมิให้พัวพันอยู่กับกาม ลาภสักการะ ละอวดดื้อถือทิฏฐิ ให้เป็นนิสัยติดไป ชาติใดที่พลั้งเผลอกระทำบาปก็จะหวนกลับมายึดถือธรรมได้ง่าย เพียงแค่สลดใจได้คิด ก็พลิกชีวิตกลับมาดีดังเดิม ดังเช่นฤาษีท่านนี้นั่นเอง

 

"นิสัยรักการฝึกตัว, เพียรพยายามแก้นิสัย และฝนใจจากสิ่งยั่วยวน" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็น
นิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในวิริยบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011972149213155 Mins