แม้บุตรตายก็ไม่ทำลายไมตรี

วันที่ 06 กพ. พ.ศ.2559

แม้บุตรตายก็ไม่ทำลายไมตรี

              สาเหตุที่ตรัสชาดก ภิกษุนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาถึงเรื่องนกส่งสาส์นของพระเจ้าโกศลพระทศพลเสด็จมาทรงทราบความนั้นแล้วตรัสว่า มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนนกกะเรียนนี้ก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้..

              ในอดีตกาล พระราชาพระองค์หนึ่งทรงมีนกกะเรียนส่งสาส์น วันหนึ่งทรงมอบหมายให้นางนกกะเรียนถือพระราชหัตถเลขาไปส่งแก่พระราชาต่างเมือง นกกระเรียนทำหน้าที่เสร็จแล้วก็บินกลับมาแจ้งถึงภารกิจที่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จากนั้นรีบบินไปดูลูกน้อยด้วยคิดถึงสุดประมาณ แต่ต้องตกตะลึงไม่นึกฝันเพราะพลันพบเห็นร่างลูกน้อยมีมดไต่ตอมกำลังจะเน่า เป็นร่างที่ไร้วิญญาณ! ดวงใจนางนกกะเรียนร้าวรานจนไม่อาจควบคุมสติได้ นางได้เที่ยวบินไปสืบเหตุการณ์จนทั่ววังว่าใครฆ่าลูกของตน นกส่งสาส์นย่อมชำนาญการสืบสวน ในที่สุดก็ได้ความจริง นกกะเรียนรอคอยโอกาสแก้แค้น!

               แล้ววันหนึ่งโอกาสก็มาถึง นกกะเรียนจับจ้องอยู่ที่เสือโคร่งดุร้ายตัวหนึ่งด้วยความเจ็บแค้นเสือโคร่งถูกล่ามไว้ในราชสำนัก เวลานั้นพระราชโอรสเกิดซุกซนเข้าไปวิ่งเล่นแถวบริเวณเสือโคร่งโดยหารู้ถึงภยันตรายไม่ นกกะเรียนเห็นดังนั้นจึงรีบบินไปหาพระราชโอรสแล้วโฉบเด็กๆ ให้ล้มลงตรงปากเสือ เสือโคร่งกระโจนเคี้ยวกินเด็กๆ ทันที เด็กตายหมดแล้ว นกกระเรียนสะใจที่แก้แค้นได้สำเร็จ แต่ความสะใจมิได้ทำร่างลูกน้อยของตนให้ฟื้นขึ้นมา ร่างลูกๆ เน่าไปนานแล้ว กระทั่งยังทำให้ใจแม่เน่าไปด้วย และบัดนี้เหตุการณ์เริ่มจะเน่าขึ้นเรื่อยๆ นกพลันพบว่าตนได้ฆ่าบุตรของผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงตนมา อย่างไรเสียมิตรภาพระหว่างนางกับพระราชาจะยังคงเป็นดังเดิมได้อยู่หรือ

"เราอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ต้องหนีไปที่อื่นโดยเร็ว แต่จะไปโดยไม่ทูลลาพระราชาผู้มีพระคุณเห็นจะไม่ดี" นางนกคิดดังนี้แล้วบินไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า..
"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นนาย พระองค์เป็นผู้ทรงอุปถัมภ์บำรุงหม่อมฉันเป็นอย่างดีมิได้ขาด แต่พวกเด็กมาบีบลูกๆ ของหม่อมฉันจนตาย เป็นเพราะความพลั้งเผลอของพระองค์ หม่อมฉันโกรธแค้นจึงได้ฆ่าเด็กพวกนั้นตอบแทนไปแล้ว บัดนี้หม่อมฉันไม่อาจอยู่ที่นี้ได้อีกแล้ว หม่อมฉันจะขอทูลลาไปป่าหิมพานต์"

 

              พระราชาทรงเข้าพระทัยจิตใจนางนกกะเรียนแม่ลูกอ่อนดี พระองค์ไม่ทรงพิโรธเลย แม้จะสูญเสียพระโอรสุดรักไปก็ตาม แค้นไปก็มิได้นำวิญญาณของพระโอรสกลับคืนมาได้ พระองค์ทรงทราบว่านางนกเองก็เสียใจไปไม่น้อยกว่าพระองค์ พระองค์มิอาจพิโรธ ตรัสกับนกกะเรียนว่า..

"คนอื่นทำร้ายท่าน ท่านก็ได้ทำตอบแล้ว เวรสงบไปแล้ว ท่านอยู่ช่วยเราที่นี่ต่อเถิดนะ อย่าไปเลย"

นกกะเรียนทราบน้ำพระทัยของพระราชา แต่มิอาจทำใจให้ยอมรับได้ กราบทูลว่า..
"มิตรภาพของผู้ถูกทำร้ายกับผู้ทำร้ายย่อมเชื่อมกันอีกไม่ได้แล้ว ใจของข้าพระองค์ไม่อนุญาตให้อยู่ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระองค์จะต้องไปแล้ว"

"ช้าก่อนสิ มิตรภาพของผู้ถูกทำร้ายกับผู้ทำร้ายย่อมเชื่อมกันได้อีกในหมู่พวกบัณฑิตด้วยกันแต่สำหรับพวกคนพาลย่อมเชื่อมกันไม่ได้ ไมตรีของนักปราชญ์ทั้งหลายแม้แตกไปก็กลับเชื่อมต่อได้นะส่วนไมตรีของคนพาลแตกกันครั้งเดียวก็แตกไปเลย เพราะฉะนั้นขอเจ้าจงอยู่กับเราที่นี่เถิด โปรดอย่าไปเลยสหาย" พระราชาทูลขอร้อง

"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นนาย! ข้าพระองค์ไม่อาจอยู่ได้จริงๆ พระเจ้าข้า" นางนกทูลจบก็ถวายบังคมพระราชาบินไปยังป่าหิมวันต์ทันที

              นางนกกะเรียนหมดสิ้นคุณประโยชน์ ต้องทิ้งภาระหน้าที่ต่อบ้านเมืองเนื่องเพราะความแค้นของตนโดยแท้..

 

ประชุมชาดก
             พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า นกกะเรียนครั้งนั้นมาเป็นนกกะเรียนนี้ส่วนพระเจ้าพาราณสีมาเป็นตถาคตแล

 

             จากชาดกเรื่องนี้ พระราชาทรงทราบข่าวน่าเจ็บช้ำอย่างกะทันหันก็ไม่ทรงหุนหันลุแก่โทสะทรงข่มความเสียพระทัยไว้ได้หมด ทรงมองเห็นมิตรภาพสำคัญกว่าการทำร้ายกัน ทั้งยังทรงเห็นใจผู้อื่นอีกด้วยความเมตตาของพระองค์สามารถใช้ได้ในยามคับขันมิใช่ยามปกติสงบเย็นแต่ยามทุกข์เข็ญกลับเห็นแก่ตัว ดังนั้น นักสร้างเมตตาบารมี จำเป็นต้องเจริญเมตตาอยู่เนืองๆ ให้ชำนาญคล่องแคล่วในใจ เพื่อนำมาใช้ได้ทันในสถานการณ์ที่เอื้อต่อโทสะเช่นนี้

 

"นิสัยไม่ซ้ำเติมใคร, ใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น, หยิบยื่นเมตตาได้ยามทุกเข็ญ, รักการให้
อภัยเสมอ, เข้าใจผู้คน, ไม่ชอบทำให้ผู้อื่นเสียกำลังใจ และรักการให้กำลังใจผู้อื่น" ทั้งหมดนี้จึง
นับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในเมตตาบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.010499199231466 Mins