สองลิงจริงต่อธรรม (จุลลนันทิยชาดก)

วันที่ 23 มค. พ.ศ.2559

SB405_590123_04.jpg

สองลิงจริงต่อธรรม (จุลลนันทิยชาดก)

              สาเหตุที่ตรัสชาดก ภิกษุสนทนากันในธรรมสภาว่า พระเทวทัตนั้นกักขฬะหยาบช้า โผงผางมุ่งปลงพระชนม์ พระโลกนาถ มิได้มีความเห็นอกเห็นใจพระตถาคตเลย พระทศพลเสด็จมาทรงทราบเรื่องที่ภิกษุสนทนาแล้วตรัสว่า มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเทวทัตก็กักขฬะ หยาบคาย ไร้กรุณาเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่าดังนี้..

              ในอดีต มีลิงสองพี่น้องอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ลิงผู้พี่ชื่อนันทิยะส่วนผู้น้องชื่อจุลนันทิยะ ทั้งสองเฝ้าปรนนิบัติมารดาชราผู้ตาบอดอยู่ และคอยดูแลฝูงลิงเป็นที่พึ่งให้แก่ลิงอีกมากมาย แต่หลายวันนี้ลิงสองพี่น้องหมั่นดูแลมารดาเป็นพิเศษ ให้มารดาได้พักนอนที่พุ่มไม้แล้วช่วยกันเข้าไปเสี่ยงภัยในป่าลึกเพื่อหาผลไม้อร่อยๆ มาให้แม่ได้กินในยามบั้นปลายของชีวิต ทุกๆ วันลิงสองพี่น้องจะฝากผลไม้รสโอชาที่เข้าไปเอามาอย่างเหนื่อยยากให้แก่ลิงบริวารนำไปให้มารดาตนได้ทาน ใจของสองลิงก็นึกเสมอว่าป่านนี้แม่คงได้ทานผลไม้อร่อยๆ อย่างสุขใจเป็นแน่แท้ แต่ลิงบริวารเห็นผลไม้อร่อยซึ่งหายากจึงยากที่จะอดใจไหวเลยแอบกินเสียเอง ไม่ได้เอาไปให้มารดาของหัวหน้าเลยสักวัน

 

               มารดาผู้ชราตาบอดกลายเป็นผู้อดอยากหิวโหยจนผอมซูบซีดอิดโรยเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกลิงนันทิยะหลังจากเหน็ดเหนื่อยดูแลฝูง ยุ่งเสียจนไม่ได้กลับมาเยี่ยมแม่อยู่หลายวัน เมื่อมีเวลาปลีกตัวกลับมาหาแม่ได้ก็รีบเข้าป่าไปหาแม่ด้วยความคิดถึงอย่างสุดจะพรรณา แล้วก็ต้องตกใจ! แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เมื่อได้เห็น ภาพแม่ไม่ต่างจากซากลิง แต่เมื่อเห็นประจักษ์เช่นนี้แล้วจึงมิอาจจะไม่เชื่อได้ น้ำตาไหลพรากเข้าไปถามแม่ด้วยความสงสารจับจิตว่า..
    "แม่จ๋า ก็ลูกส่งผลไม้อร่อยๆ มาให้แม่ทุกวัน ไฉนแม่จึงซูบผอมขนาดนี้ล่ะแม่"
    "ลูกเอ๋ย แม่ไม่เคยได้เลย" มารดาตอบเสียงแหบแห้งแผ่วเบาจนแทบจะไร้เสียง


            หลายวันมานี้ มารดาเฝ้ารอคอยการกลับมาของบุตรอยู่ทุกนาที ได้รับความทรมานจิตใจมากกว่าบุตรเหลือคณา ลิงนันทิยะรู้สึกทรมานหัวใจสุดประมาณ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า..
    "หากเรายังขืนมัวแต่ปกครองฝูงลิงอยู่แบบนี้ แม่เราต้องตายแน่! เราจะละทิ้งฝูงลิงทั้งหมด แล้วมาปรนนิบัติแม่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!"

 

ลิงนันทิยะดูแลจนแม่พอมีแรงขึ้นมาบ้างแล้วจึงกลับไปหาน้องชายที่ฝูง กล่าวว่า..
    "น้องรัก! น้องจงดูแลฝูงลิงแทนพี่เถิด พี่จะปรนนิบัติแม่จนวาระสุดท้าย"
    "ไม่เอานะพี่! น้องก็ไม่ต้องการฝูงลิง น้องต้องการจะปรนนิบัติแม่ด้วย"


พี่น้องทั้งสองจึงตกลงใจละฝูงลิงทั้งหมดแล้วพามารดาออกจากป่าไปอาศัยอยู่ที่ต้นไทรในชายแดนเงียบสงบแห่งหนึ่ง ดูแลมารดาอย่างมีความสุข สืบมา..

 

ไกลออกไป ณสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ศิษย์เกเรผู้หนึ่งขออำลาอาจารย์กลับบ้าน
อาจารย์ได้สั่งสอนศิษย์ทิ้งท้ายว่า..
    "ตัวเจ้าเป็นคนหยาบช้า โผงผาง ถ้าเจ้าไม่แก้ไขตัวเองล่ะก็จะต้องเดือดร้อนในภายภาคหน้านะจงจำไว้!"

 

             ศิษย์เกเรนั้นไหว้อาจารย์ บ่นอุบอิบแล้วจากไปทันที ศิษย์ผู้นี้เรียนไม่สำเร็จวิชาอะไรสักอย่างจึงไม่รู้จะทำมาหากินอะไร ตัดสินใจเลือกอาชีพเป็นนายพรานเข้าป่าล่าเนื้อขายไปวันๆ วันหนึ่งเกิดเดินไปพบต้นไทรอยู่ริมเนินคิดเล่นๆ ว่าน่าจะมีอะไรในต้นไทรบ้างจึงเดินตรงไปยังต้นไทรนั้น แล้วก็ได้พบเห็นอะไรบางอย่าง อันตรายได้ย่างกรายมาถึงลิงผู้กตัญูแล้ว!

                นายพรานโหดร้ายเดินเข้ามา ลิงสองพี่น้องตอนนี้ไม่อาจหนีไปไหนได้เลยเพราะต้องดูแม่ที่ตาบอด ชีวิตย่อมมีตายเป็นธรรมดา แต่คุณธรรมต้องไม่ตาย!

 

              นายพรานมองดูลิงทั้ง 3 ลิงสองพี่น้องยังวางใจดูท่าทีนายพรานอยู่และคิดว่าคงจะไม่มีมนุษย์คนใดเห็นลิงแก่ชราตาบอดมีบุตรนั่งป้อนข้าวอยู่อย่างนี้ แล้วจะอำมหิตคิดฆ่าได้ลงคอ แต่นี้คือความคิดของลิง! หาใช่ความคิดของคน! โดยเฉพาะพรานป่า พรานป่าไม่ใช่คน! กลายเป็นสัตว์ไปแล้ว ดังนั้นนายพรานกำลังโก่งธนูเล็งไปที่นางลิงแก่ตาบอดก่อนใคร ลิงนันทิยะผู้พี่เห็นดังนั้นเกิดตระหนกยิ่งนักมิคิดว่าพรานจะโหดเหี้ยมปานนี้ รีบกระโดดไปป้องกันแม่แล้วกล่าวกับน้องว่า..

    "น้องรัก! คนผู้นี้จะยิงแม่แน่นอน พี่จะสละชีวิตแทนแม่ เมื่อพี่ตายน้องจงเลี้ยงดูแม่ให้ดีนะ"


    จนบัดนี้ลิงก็ยังคิดว่านายพรานนี้เป็นคนอยู่อีก โดยยังหวังใจว่าพรานป่าจะต้องการลิงแค่ตัว
เดียว เป็นชีวิตแทนชีวิต..

 

    ลิงนันทิยะกล่าวอ้อนวอนกับนายพรานว่า..
    "ท่านพรานผู้เจริญ ขอท่านอย่ายิงมารดาของฉันเลย มารดาฉันตาบอดทุพพลภาพมากแล้วฉันจะสละชีวิตท่านให้แทนมารดาเอง ขอท่านอย่าได้ฆ่ามารดาฉันเลยนะ ฆ่าฉันแทนเถิด"

    พรานป่ารับปากลิง ลิงดีใจที่พรานป่ารับคำจึงหมดห่วงมารดา เดินไปนั่งตรงหน้าลูกศรอย่างปลดกังวลไม่คิดอาลัยในชีวิต จิตใจสงบนิ่งรอความตายอย่างเป็นสุขที่ได้เห็นมารดารอดปลอดภัย..

 

             นันทิยะตายแล้ว พรานหยิบธนูขึ้นมาอย่างช้าๆ ขึ้นสายธนูเล็งไปที่ลิงแก่ชราตาบอด ลิงจุลลนันทิยะกำลังโศกเศร้าไม่หายที่เสียพี่ชายไป กลับสะท้านใจไม่คิดว่าพรานป่าจะกล้าผิดสัญญาที่ให้ไว้ อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้คิดว่าถ้าขาดเราไปเสีย อย่างน้อยมารดาก็จะยังมีชีวิตได้อีกหนึ่งวันก็ยังดี จึงรีบออกปากห้ามนายพรานว่า..

    "ช้าก่อนท่าน! ท่านผู้เจริญ ท่านอย่ายิงมารดาเราเลย เราจะสละชีวิตให้ท่านแทนมารดาก็แล้วกัน ท่านเอาเราสองพี่น้องไป แต่จงไว้ชีวิตมารดาของเราจะได้ไหม"

 

         พรานป่ารับคำ ลิงจุลลนันทิยะไม่กล้าไว้ใจแต่มิอาจไม่ไว้ใจ เนื่องเพราะนี้เป็นความหวังเดียวที่แม่จะรอดชีวิตได้ มีแต่ต้องเสี่ยงเดิมพันเท่านั้น อื่นๆ ใดไม่มีปัญญาคิดออกอีกแล้ว

           ในที่สุด พรานก็ยิงจุลลนันทิยะแล้วขึ้นพาดสายธนูยิงลิงแก่ชราตาบอด หาบลิงทั้ง 3 กลับบ้านแต่เมื่อมาถึงบริเวณบ้านของตนก็หาบ้านไม่เจอเสียแล้ว ชาวบ้านแถวนั้นเดินผ่านมาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า เมื่อสักครู่มีสายฟ้าเพิ่งฟาดตกลงมาที่บ้านหลังนี้จนไฟไหม้ไปทั้งบ้าน ภรรยาและลูกทั้งสองของเจ้าของบ้านถูกครอกตายจนหมดสิ้นเหลือแต่เพียงเสากับขื่อ.. นายพรานมิได้ยินเสียงสายฟ้าฟาดเพราะเสียงนั้นดังในเวลาเดียวกับเสียงปล่อยสายธนูครั้งสุดท้ายพอดี..

 

           พรานป่าก็เศร้าเป็น บัดนี้นายพรานได้ถูกความเศร้าโศกรุมเร้าไปทุกขุมขนจนกลายเป็นคนเสียสติขนาดหนัก ทิ้งหาบลิงและคันธนูประคองแขนร่ำไห้ ผ้าผ่อนหลุดร่อนวิ่งเข้าไปในบ้าน ขื่อก็หักตกลงมาถูกศีรษะแตก แผ่นดินก็แยกช่องออก เปลวไฟก็แลบขึ้นมาจากอเวจีมหานรกรัดบุรุษชั่วช้าลงไปในพริบตา ขณะที่ศีรษะของนายพรานกำลังจะจมลงปฐพี นายพรานพลันได้สตินึกถึงคำของอาจารย์ได้แล้วตะโกนทิ้งท้ายออกมาจากช่องแผ่นดินก่อนที่จะปิดลงว่า..

    "อาจารย์ได้เตือนเราแล้วว่าอย่าทำกรรมชั่วจะเดือดร้อนทีหลัง โอ..ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับกรรมนั้น ทำกรรมดีย่อมเสวยผลดี ทำกรรมชั่วย่อมรับผลชั่วช้าลามก เราหว่านพืชเช่นไรได้ผลเช่นนั้นจริงๆ"
    กล่าวจบก็หุบลงไปในแผ่นดินเข้าสู่อีกภพหนึ่งทันที.. เป็นอเวจีมหานรก!

 

ประชุมชาดก
           พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พรานครั้งนั้นมาเป็นเทวทัต อาจารย์ทิศาปาโมกข์มาเป็นสารีบุตร จุลลนันทิยวานรมาเป็นอานนท์ มารดาวานรมาเป็นมหาปชาบดีโคตมีส่วนมหานันทิยวานรมาเป็นตถาคตแล

 

           จากชาดกเรื่องนี้ บุตรยอมสละลาภยศหมดสิ้นเพื่อมาดูแลมารดาจนวาระสุดท้ายของตนนับว่าได้ยอมสละทุกสิ่ง ไม่ทิ้งธรรม คนแท้หรือคนเก๊พึงดูว่าเลี้ยงพ่อแม่หรือไม่ ถ้ากับพ่อแม่ยังไม่แม้แต่จะเห็นพระคุณท่าน ก็เนรคุณคนได้ทั้งโลก ผู้ที่จริงต่อธรรมนั้นย่อมต้องกตัญูต่อบิดามารดาให้ถึงที่สุด ทำอย่างต่อเนื่องไม่มีท้อถอย แม้ต้องแลกชีวิตตนเพื่อให้บุพการีอยู่รอดแม้สักลมหายใจหนึ่งก็ยินดีโดยไม่ลังเลเลย

 

"นิสัยกตัญูต่อบุพการี, จริงต่อธรรม และรักธรรมมากกว่าชีวิตตน" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็น
นิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในสัจจบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0012341539065043 Mins