สุวรรณสามผู้เมตตาต่อผู้ฆ่า

วันที่ 06 กพ. พ.ศ.2559

สุวรรณสามผู้เมตตาต่อผู้ฆ่า

            สาเหตุที่ตรัสชาดก ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งบิณฑบาตเลี้ยงบิดามารดาผู้กำพร้า พวกภิกษุพาเธอไปเฝ้าพระโลกนาถเพื่อรับการตักเตือนที่ทำศรัทธาให้ตกไป พระทศพลทรงทราบความนั้นแล้วตรัสว่าสาธุสาธุสาธุ เธอดำรงอยู่ในทางที่เราดำเนินแล้ว แม้เราเมื่อบำเพ็ญบารมีก็ได้บำรุงเลี้ยงบิดามารดา ภิกษุนั้นได้ความเบิกบานใจกลับคืนมา เมื่อภิกษุทูลวิงวอนให้ทรงประกาศบุพจริยาพระจอมมุนีจึงทรงนำอดีตมาแ ดงดังต่อไปนี้..

             ในอดีต ณ ป่าหิมพานต์ มีสามีภรรยาคู่หนึ่งออกบวชเป็นฤาษี ฤาษีทั้งสองมีบุตรที่ท้าวสักกะทรงประทานให้นามว่าสุวรรณสาม ต่อมาเมื่อสุวรรณสามอายุได้ 16 ปีสองฤาษีถูกงูพ่นลมพิษใส่ดวงตาจนตาบอดสนิทสุวรรณสามรู้ว่าพ่อแม่ตาบอดก็โศกเศร้าเสียใจที่ท่านต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้ แต่ก็ดีใจที่ตนจะได้มีโอกาสปรนนิบัติพ่อแม่ ตอบแทนพระคุณท่านทั้งสองสืบไป

 

            สุวรรณสามปลอบบิดามารดาให้เบาใจ แล้วจัดแจงผูกเชือกเป็นราวให้บิดามารดาเดินจับนำทางไปทุกแห่งหนภายในบ้าน มีที่พักกลางวัน ที่พักกลางคืน ที่จงกรม บรรณศาลา ที่ถ่ายอุจจาระปัสาวะ ทุกๆ วันสุวรรณสามไปหาผลไม้ในป่ามาเก็บไว้ กวาดถูอาศรม ถือหม้อน้ำไปตักน้ำที่แม่น้ำเตรียมอาหาร ไม้สีฟัน และน้ำบ้วนปาก ให้บิดามารดารับประทานก่อนแล้วจึงทานที่เหลือต่อจากบิดามารดา ยามเย็นก็ต้มน้ำร้อนให้อาบ ล้างเท้าให้บิดามารดา นำกระเบื้องถ่านเพลิงมาผิงให้ แล้วเช็ดมือเช็ดเท้าท่านให้แห้ง ยามใดไปหาผลไม้ก็มีหมู่กวางล้อมหน้าล้อมหลังเดินตามไปด้วย หมู่กินนรีก็มาช่วยเก็บผลาผลสุวรรณสามต่างเป็นที่รักและไว้ใจของฝูงสัตว์ป่านานาพันธุ์ แม้กระทั่งสัตว์ดุร้ายก็ยังขอเป็นมิตรด้วย ทั้งนี้เพราะสุวรรณสามมิคิดเบียดเบียนสัตว์ ทั้งยังเมตตาเอ็นดูต่อสรรพสัตว์ในป่านี้เป็นอย่างดี คอยแผ่เมตตาให้อยู่เนืองนิตย์..

           เย็นวันหนึ่งสุวรรณสามถือหม้อน้ำไปที่แม่น้ำ ลงอาบน้ำจนชื่นใจ แล้วขึ้นจากสระมาห่มผ้าเปลือกไม้สีแดง ยกหม้อน้ำขึ้นพาดป่าจะกลับสู่อาศรม ทันใดนั้นเอง ลูกศรอาบยาพิษพุ่งมาอย่างแรงทะลุเข้าสีข้างของสุวรรณสาม ฝูงกวางตกใจกลัววิ่งหนีเข้าป่าสุวรรณสามตั้งสติวางหม้อน้ำลง หันศีรษะไปทิศที่บิดามารดาอยู่ แล้วล้มตัวลงนอนข่มความเจ็บปวด กล่าวว่า..
"ในป่านี้เรามิเคยมีเวรกับใคร บิดามารดาเราก็ไม่เคยมีเวรกับใครเลย ใครหนอใช้ลูกศรยิงเราแล้วซ่อนตัวอยู่"

สุวรรณสามพูดไปพลางถ่มโลหิตที่ท่วมกลบปากออก กล่าวต่อว่า..
"เนื้อของเรานี้ก็กินไม่ได้ หนังของเราก็เปล่าประโยชน์ แล้วเราถูกยิงด้วยเหตุอันใดหรือท่านเป็นใคร เราจะรู้จักกันได้อย่างไรล่ะสหาย โปรดบอกมาเถิด ทำไมถึงยิงเราแล้วซ่อนตัวอยู่"

บุรุษผู้ซ่อนตัวได้ฟังจนเคลิบเคล้มไปแล้วคิดว่า..
"นี่ขนาดถูกเรายิ้งด้วยศรอาบพิษ เจ็บปวดถึงเพียงนี้ ไม่ด่าว่าเราเลยสักคำ กลับเรียกหาเราด้วยคำอ่อนหวานเช่นนี้ได้ เหลือเชื่อจริงๆ เอาล่ะ! เราจะออกไปหาเขา"

ชายผู้ยิงศรปรากฏตัวแล้วกล่าวว่า..
"เราคือพระเจ้ากปิลยักษ์! เป็นพระราชาของชาวกาสี เราแม่นธนูและฉลาดในศรศิลป์ แม้ช้างศึกเข้ามาก็ไม่พ้นลูกศรเราไปได้ วันนี้เราออกมาล่าสัตว์ แล้วท่านล่ะเป็นใครกันหรือ ใครเป็นบิดามารดาของท่าน"

"ขอจงทรงพระเจริญ! ข้าพระองค์เป็นบุตรของฤาษี มีชื่อว่าสามะ วันนี้ข้าพระองค์นอนอยู่บนปากทางแห่งความตายแล้ว ข้าพระองค์ถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ เหมือนกวางถูกนายพรานล่า โปรดทอดพระเนตรลูกศรที่ทะลุลำตัวข้าพระองค์ซึ่งนอนจมโลหิตอยู่เถิด ข้าพระองค์อยากทราบว่าพระองค์ยิงทำไม เสือถูกฆ่าเอาหนัง ช้างถูกฆ่าเอางา แล้วข้าพระองค์ถูกฆ่าเพราะอะไรกัน"สุวรรณสามทูลถามอย่างสงสัย

พระราชาตรัสตอบว่า..
"เรากำลังจะยิงกวาง แต่กวางเห็นท่านแล้ววิ่งหนีไป เราจึงโกรธท่าน!"
"พระองค์ตรัสอะไรกัน! กวางที่เห็นข้าพระบาทแล้ววิ่งหนีไป ไม่มีเลยในป่าแห่งนี้ แม้ฝูงกินนรีผู้มีความสะดุ้งกลัวอยู่เนืองนิตย์ เมื่อเห็นข้าพระองค์ยังไม่สะดุ้งกลัว แล้วฝูงกวางจะมาสะดุ้งกลัวข้าพระองค์ด้วยเหตุอันใด"
สุวรรณสามทูลแย้ง

พระราชาทรงละอายพระทัยที่ทำร้ายสุวรรณสามผู้มีใจอ่อนโยนถึงเพียงนี้ แล้วยังโกหกอีกจึงทรงสารภาพว่า..
"กวางไม่ได้ตกใจท่านหรอก! เราโกหกท่าน เราไม่รู้ว่าท่านเป็นมนุษย์หรือเทวดา กลัวท่านจะหนีไป จึงยิงท่านไว้ก่อน ท่านมาจากไหน ใครใช้ให้มาตักน้ำ"

สุวรรณสามข่มกลั้นความเจ็บปวด บ้วนโลหิตออกจากปาก กล่าวตอบว่า..
"บิดามารดาของข้าพระองค์เป็นคนตาบอด ข้าพระองค์เลี้ยงท่านอยู่ในป่าใหญ่แห่งนี้ วันนี้จะนำน้ำไปให้ท่านทั้งสอง อาหารของบิดามารดายังพอมีให้ดำรงอยู่ได้อีก 6 วัน แต่ท่านทั้งสองตาบอดเกรงว่าจะตายเพราะไม่ได้น้ำ ความทุกข์เพราะถูกศรพิษนี้ยังเล็กนัก แต่ทุกข์ที่ข้าพระองค์จะไม่ได้เห็นบิดามารดาอีกนั้นหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า บิดามารดาข้าพระองค์เป็นคนกำพร้าเข็ญใจ ท่านจะร้องไห้อยู่ตลอดทั้งคืน ร่างกายท่านทั้งสองคงจะเหี่ยวแห้งไปดุจแม่น้ำน้อยในฤดูหนาว ข้าพระองค์เคยหมั่นบำรุงนวดเฟ้นมือเท้าท่านทั้งสอง มาบัดนี้ท่านทั้งสองไม่เห็นข้าพระองค์ก็จะบ่นเรียกหาว่า พ่อสามะมัวไปเที่ยวอยู่ที่ไหนในป่าใหญ่ ข้าแต่มหาราช ลูกศรคือความโศกนี้แหละ! ทำหัวใจข้าพระองค์ให้เป็นทุกข์มากกว่าศรที่พระองค์ยิงนับร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่าทีเดียว"

 

พระราชาทรงดำริว่า..
"ชายผู้นี้เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ตั้งอยู่ในธรรม ปฏิบัติบิดามารดาอย่างยอดเยี่ยม ยามนี้ประสบทุกข์หนักได้รับความเจ็บปวด กลับคร่ำครวญถึงแต่บิดามารดาเท่านั้น เราได้ทำความผิดในคนที่สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมอย่างนี้แล้ว เห็นทีจะต้องตกนรกแน่แท้ แล้วอย่างนี้ราชสมบัติจะไปช่วยอะไรเราได้! เราจะต้องปฏิบัติบิดามารดาของบุรุษนี้ให้เหมือนกับที่บุรุษนี้ปฏิบัติ การตายของชายนี้จะต้องเป็นเหมือนไม่ตาย" ดำริดังนี้แล้ว ตรัสว่า..

"สามะผู้สง่างาม ท่านอย่าได้คร่ำครวญไปเลย เราเป็นผู้ฉลาดในการยิงธนู เราฆ่ากวางและหาผลไม้มาเลี้ยงบิดามารดาแทนท่านได้ บิดามารดาของท่านอยู่ที่ไหน จงบอกเรามาเถิด เราจะเลี้ยงดูให้เหมือนกับที่ท่านเลี้ยง"

    สุวรรณสามดีใจ บอกหนทางแก่พระราชา แล้วประคองอัญชลีทูลวิงวอนว่า..
"ข้าพระบาทขอน้อมกราบพระองค์ ขอพระองค์ทรงบำรุงเลี้ยงบิดามารดาผู้ตาบอดของข้าพระองค์ด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงมีพระดำรัสกับบิดามารดาของข้าพระองค์ให้ทราบด้วยว่าข้าพระองค์ขอกราบไหว้เท้าทั้งสองของท่าน"

               เมื่อกล่าวจบก็มือเท้าแข็งแน่นิ่งไป พระราชาทราบว่าสุวรรณสามตายแล้วก็โศกเศร้าเสียใจคร่ำครวญเป็นการใหญ่ เมื่อหายโศกแล้ว จึงเดินถือหม้อน้ำไปยังอาศรมของสองฤาษี ฤาษีทั้งสองได้ปฏิสันถารพระราชาเป็นอย่างดี หลังจากที่ปราศรัยสุขทุกข์กันพอสมควรแล้ว พระราชาตัดสินพระทัยแจ้งแก่ฤาษีว่าตนได้ฆ่าสามะไปแล้ว มารดาของสุวรรณสามแทบไม่เชื่อหูตนเอง บิดารีบห้ามไว้ไม่ให้โกรธต่อพระราชา ฤาษิณีกล่าวว่า..
"จะไม่ให้โกรธคนที่ฆ่าบุตรรัก ผู้เลี้ยงดูเราสองคนผู้ตาบอดได้อย่างไรกัน"

ฤาษีกล่าวห้ามนางต่อว่า..
"บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้ไม่โกรธ แม้จะเป็นคนที่ฆ่าบุตรคนเดียวของเราก็ตามที"

ฤาษิณียังคงคร่ำครวญรำพันถึงบุตรรักไม่ขาด พระราชาตรัสปลอบว่า..
"พระคุณเจ้าทั้งสองอย่าคร่ำครวญไปเลย ข้าพเจ้าจะเลี้ยงดูท่านเอง ท่านทั้งสองอย่าได้คิดมากไปเลย ข้าพเจ้าไม่ต้องการราชสมบัติอีกแล้ว จะเลี้ยงดูท่านทั้งสองไปจนตลอดชีวิต"

"ขอถวายพระพรมหาบพิตร! การที่พระองค์ทรงทำอย่างนี้ไม่สมควร พระองค์เป็นพระราชาของอาตมาทั้งสอง อาตมาทั้งสองขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์" องฤาษีทูลทัดทาน


พระราชาสดับดังนั้นก็ทรงเลื่อมใสทรงดำริว่า..
"น่าอัศจรรย์เหลือเกินคำหยาบคายของฤาษีทั้งสองนี้ไม่มีแก่เราผู้ทำร้ายเขาถึงเพียงนี้เลยกลับมายกย่องเราเสียอีก" ทรงตรัสอย่างปีติพระทัยว่า..
"ท่านกล่าวเป็นธรรม บำเพ็ญความถ่อมตนดีแล้ว ขอท่านจงเป็นมารดาและบิดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอท่านโปรดอย่าคิดว่าข้าพเจ้าเป็นราชา โปรดคิดว่าข้าพเจ้าเป็นเหมือนสามกุมารเถิดนะ"

 

ฤาษีทั้งสองประคองอัญชลีทูลวิงวอนพระราชาว่า..
"พระองค์ไม่มีหน้าที่ทำงานให้อาตมาทั้งสอง แต่ขอพระองค์ได้โปรดทรงถือปลายไม้เท้าของอาตมาภาพ พาเราไปหาสุวรรณสามทีเถิด อาตมาทั้งสองอยากจะสัมผัสเท้าและใบหน้าของลูกเหลือเกิน แล้วจะได้ทรมานตนให้ตายตามไปด้วย"

            พระราชาไม่ต้องการพาฤาษีไป เพราะหากฤาษีตาย ตนก็ต้องไปอยู่ในนรก จึงทรงบ่ายเบี่ยงแต่สองฤาษีทูลอ้อนวอนหนักแน่นจนพระราชาจำต้องเสด็จพาไป เมื่อทั้งสามถึงริมแม่น้ำ ฤาษีผู้บิดาได้ช้อนเศียรบุตรขึ้นไว้บนตัก ฤาษิณีผู้มารดายกเท้าบุตรขึ้นวางบนตักนั่งบ่นรำพึงว่า..
"ใครจะมาเช็ดชฎาเปื้อนฝุ่นให้แม่ ใครจะมากวาดถูอาศรมของเรา ใครจะเตรียมน้ำเย็นน้ำร้อนให้เราอาบ ใครจะคอยให้เราทั้งสองได้ทานผลาหารในป่า ลูกสามะมาตายลงเสียแล้ว"

มารดาบ่นเพ้อไปพลางเอามือแนบอกบุตรก็พบว่ายังอุ่นอยู่ รู้ว่าบุตรของตนเพียงแค่สลบไปเท่านั้น จึงทำสัจจกิริยาว่า..
"ลูกสามะของเราเป็นผู้ประพฤติธรรมเหมือนดังพรหม เป็นผู้กล่าวคำจริง เลี้ยงดูบิดามารดายำเกรงผู้เจริญ เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตแม่ ด้วยการกล่าวคำสัจนี้ กอปรกับอานุภาพบุญที่ลูกทำแก่พ่อและแม่ขอพิษจงหายสิ้นไปเถิด"

 

สุวรรณสามพลิกตัวแล้วนอนต่อฝ่ายฤาษีบิดาเห็นดังนั้นจึงทำสัจจกิริยาในทำนองเดียวกันบ้างยังมีเทพธิดาจากภูเขาคันธมาทน์ก็มากล่าวสัจจวาจาด้วยความเอ็นดูสุวรรณสามว่า..
"เราอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ ตลอดเวลาที่ผ่านมาใครๆ ที่จะเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าสามกุมารนี้ไม่มีเลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอพิษจงหายไป"

 

                 เมื่อกล่าวจบสุวรรณสามก็ลุกขึ้นความเจ็บป่วยได้อันตรธานหายไปหมดสิ้นเหมือนน้ำที่กลิ้งออกจากใบบัว แม้แต่แผลที่ถูกยิงก็ไม่ปรากฏให้เห็น ขณะเดียวกันนั้น ดวงตาของสองฤาษีก็กลับมาเห็นภาพดังเดิม แสงอรุณก็พลันขึ้นขอบฟ้าพอดี และคนทั้งสี่ก็ไปโผล่ปรากฏที่อาศรมสุวรรณสามทูลเชิญพระราชาให้ทรงเสวยผลไม้ พร้อมนำน้ำเย็นจากแม่น้ำมาให้พระราชาพระราชาทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์อัศจรรย์ที่เพิ่งผ่านมาทั้งหมด ตรัสอย่างฉงนยิ่งนักว่า..
"ข้าพเจ้าสับสนจริงๆ มืดมนไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าเห็นท่านตายแล้วแท้ๆ ทำไมท่านกลับฟื้นคืนมาได้"

"เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมคุ้มครองผู้เลี้ยงดูบิดามารดา นักปราชญ์ทั้งหลายก็สรรเสริญผู้นั้น ผู้นั้นละจากโลกนี้แล้วก็ไปบันเทิงต่อในสวรรค์"สุวรรณสามทูล

"ช่างน่าอัศจรรย์จริง! แม้แต่เทวดาก็ยังมาเยียวยารักษาโรคให้ ตัวข้าพเจ้านี้หลงเดินทางผิดมามากจริงๆ ข้าพเจ้าขอถึงท่านเป็นสรณะในบัดนี้ ขอท่านช่วยข้าพเจ้าให้ไปเทวโลกได้ด้วยเถิด"

"ข้าแต่มหาราชเจ้า ถ้าพระองค์ประสงค์เทวโลก ขอจงทรงประพฤติทศพิธราชธรรมเถิด ขอทรงประพฤติธรรม บำรุงพระชนกชนนี พระโอรสและพระมเหสี อีกทั้งยังมีหมู่มิตรแลอำมาตย์ อย่าขาดการดูแลทหารกับทั้งประชาชนในแว่นแคว้น หมั่นบำรุงสมณะ เมตตาหมู่มฤคและปักษี หากทรงทำเช่นนี้ก็จะได้เสด็จสู่สวรรค์ ธรรมที่พระองค์ทรงประพฤติดีแล้วนั่นเองจะนำความสุขมาให้พระองค์ พระอินทร์เหล่าเทพ และหมู่พรหม ทั้งหมดไปทิพยสถานได้ก็ล้วนด้วยธรรมที่ตนประพฤติดีแล้วทั้งนั้น ข้าแต่พระราชา! ขอพระองค์ทรงอย่าประมาทเถิด"

               สุวรรณสามถวายเบญจศีล พระราชาทรงรับศีลและโอวาทด้วยพระเศียร ทรงไหว้ขอขมาสุวรรณสามแล้วเสด็จกลับพระนคร นับแต่นั้นมา พระราชาทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ให้ทาน รักษาศีลครองราชย์ด้วยธรรมสม่ำเสมอ ในที่สุดแห่งพระชนม์ได้มีสวรรค์เป็นที่ไป ฝ่ายสุวรรณสามได้ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาจนคนทั้งสามยังอภิญญาสมาบัติให้บังเกิด มิได้เสื่อมจากฌาน ที่สุดแห่งอายุขัยได้ไปพักที่พรหมโลกทั้งหมด


ประชุมชาดก
           พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระราชาปิลยักขราชมาเป็นพระอานนท์ เทพธิดามาเป็นอุบลวรรณาเถรี บิดามาเป็นพระมหากัสสปะ มารดามาเป็นภิกษุณีภัททกาปิลานีสุวรรณสามมาเป็นตถาคตแล

"นิสัยพูดด้วยจิตเมตตา ไม่เอาการโต้แย้ง, ชอบกล่าววาจาไพเราะ, ข่มใจไม่พูดด้วย
โทสะ, เมตตาในศัตรู และมีน้ำใจเอ็นดู" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้า
ในเมตตาบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.037497250239054 Mins