หลวงพ่อสอนอะไร (ตอนที่ ๑๑)
อาตมาเคยถวายรายงานหลวงพ่อทัตตชีโวว่า เมื่อตอนที่เข้าวัดใหม่ ๆ ได้มาเป็น อาสาสมัครที่แผนกธรรมจริยา (แผนกต้อนรับระดับโลกในปัจจุบัน) การรับบุญในช่วงนั้นมีความสุขมาก เนื่องจากอาสาสมัครจะรู้จักกันแทบทุกคน และจะช่วยกันทำงานโดยไม่ได้คิดว่าจะทำเฉพาะงานของตนเอง
ในช่วงเวลานั้นรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง พอถึงเย็นวันศุกร์ อาตมาจะรีบนั่งรถเมล์มาลงที่รังสิต แล้วต่อรถอีกทอดมาที่วัด เมื่อมาถึงก็จะรีบไปหาพวกพี่ ๆ ด้วยความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังกลับมาหาญาติพี่น้องที่จากไปนาน หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ก็จะมารวมกันสวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วพี่ ๆ โดยเฉพาะพี่ผจญ (หลวงพี่เถรธัมโม ในปัจจุบัน) ก็จะเล่าธรรมะหรือเรื่องราวของครูบาอาจารย์ให้ฟัง
วันรุ่งขึ้นคือวันเสาร์ จะเป็นวันที่เราสนุกกับการไปรับบุญช่วยแผนกต่าง ๆ เพราะงานของแผนกต้อนรับจริง ๆ นั้นคือวันอาทิตย์ ดังนั้นเราก็จะไปขัดวิมาน(ล้างห้องน้ำ) ไปตีเส้นจราจร ไปช่วยแผนกอธิษฐานธรรมเตรียมสถานที่ เตรียมอุปกรณ์ ในความรู้สึกตอนนั้นคือ ปลื้มใจ อิ่มใจที่ได้รับบุญ และมีความรู้สึกอยากจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง คำว่าเหน็ดเหนื่อยนี่ ไม่รู้จักกันเลย
พอเล่าถึงตรงนี้ หลวงพ่อทัตตชีโวท่านก็ให้ข้อคิดว่า “ ในการทำงานขององค์กรต่าง ๆ มักจะมีปัญหาเรื่องบุคลากร เนื่องจากต้องมีการแบ่งเป็นฝ่ายต่าง ๆ เพื่อจัดสรรงานให้เป็นระบบ และความคล่องตัวในการทำงาน แต่เมื่อแยกงานแล้วก็มักจะมีปัญหาว่า เมื่อถึงเวลาจะให้ทำอะไรร่วมกันจะทำไม่ได้ดี เพราะคุ้นกับการแยกกันทำงานเสียแล้ว ”
จากนั้นหลวงพ่อก็เมตตาให้คำอธิบายต่อไปว่า “ ความจริงในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ยาก เพียงแต่เราต้องทำงานกันให้เป็น คือ อย่าทำงานแบบตีนเป็ดหรือตีนไก่ แต่ต้องทำงานแบบมือคน ”
ไม่ต้องสงสัย พอท่านบอกอย่างนี้ อาตมาทำหน้างงสุด ๆ จะไม่งงได้อย่างไร ในเมื่อคุยเรื่องงานอยู่ดี ๆ จู่ ๆ หลวงพ่อก็เอาเรื่องตีนเป็ดตีนไก่มาพูด
ก่อนที่อาตมาจะงงมากไปกว่านี้ ท่านก็อธิบายต่อว่า
“ นึกภาพตีนไก่นะ มันแยกเป็นเอกเทศนิ้วใครนิ้วมันใช่มั้ย เจ้าไก่นี่ ปล่อยลงดินให้มันวิ่งนี่ วิ่งฉิวเลยนะ แต่ถ้าจับมันไปโยนลงน้ำ เดี๋ยวเถอะ ได้ตายกันพอดี นี่แหละพวกที่ทำงานแยกกันขาด ส่วนของใครก็ของมัน ”
“ ส่วนบางพวกทำงานแบบตีนเป็ด เป็นไงหล่ะ ตีนเป็ดนี่มันเป็นพังผืดนะ ติดกันเป็นแผ่นเลย เวลาให้วิ่งนี่ ยังไงก็ช้ากว่าไก่ แต่ถ้าจับโยนลงน้ำนี่ มันว่ายน้ำสบาย พวกนี้คือพวกที่ทำงานเป็นกลุ่มซะเคย มีความถนัดในการทำงานเป็นกลุ่ม แต่จะให้ไปทำอะไรเดี่ยว ๆ จะไม่ค่อยถนัด "
อาตมารีบพูดต่อว่า “ มันก็ไม่ดีทั้งตีนเป็ดตีนไก่สิครับหลวงพ่อ ”
“ ถึงบอกไงหล่ะว่า ต้องทำงานแบบมือคน เป็นไงหล่ะ มือคนนี่มันวิเศษ แยกกันก็ได้ เวลาจะหยิบจะจับอะไรก็สะดวก จะใช้หนึ่งนิ้ว สองนิ้ว สามนิ้ว สี่นิ้ว หรือห้านิ้วก็ได้ ถึงเวลาจะว่ายน้ำ ก็รวบนิ้วทุกนิ้วให้เป็นแผง ก็ว่ายน้ำได้สะดวก เหมือนพวกที่ทำงานเป็น จะแยกไปทำงานเดี่ยว ๆ ก็ทำได้ แต่พอถึงเวลาจำเป็นต้องมารวมกันทำ ก็ทำได้ดี เพราะฉะนั้นให้จำไว้ ต่อไปภายหน้าจะฝึกตัวเองหรือฝึกหมู่คณะต้องทำให้ได้แบบมือคนนะลูกนะ ”
จากโอวาทอันทรงคุณค่านี้ ทำให้อาตมายึดเอาเป็นหลักในการทำงานมาตลอด และหากมีโอกาสก็จะเล่าให้หมู่คณะฟังเสมอ วันนี้ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะเห็นว่า วินาทีนี้ภัยของพระพุทธศาสนาอยู่ต่อหน้าเราแล้ว ที่ผ่านมาชาวพุทธหรือชาววัดแต่ละวัดก็ทำงานของตนไป เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
วันนี้แม้แต่ประมุขสงฆ์ก็ยังถูกผู้ไม่ปรารถนาดียัดเยียดข้อหาให้ เราคงจะนิ่งเฉยทำงานในส่วนของตนเองต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะหากปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปโดยไม่โดดเข้ามาช่วยกัน เป้าหมายต่อไปคือ การลบพระพุทธศาสนาออกไปจากแผ่นดินไทยต้องตามมาแน่นอน
ถึงเวลาที่ชาวพุทธต้องรวบนิ้วมือทำงานเป็นทีมกันได้หรือยัง ?
ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก
อาสภกันโต
๒๕ ก.ค. ๕๙
anacaricamuni.blogspot.ae