ผิดเพศ

วันที่ 04 กพ. พ.ศ.2560

 
ผิดเพศ
 
 
ผิดเพศ,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน
 
 
                       ในวัยเด็ก ตั้งแต่จําความได้จนถึงอายุราวๆ ๑๑-๑๒ ปี ในหมู่บ้านที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ไม่มีใครรู้จักสถานถ่ายอุจจาระที่เราเรียกกันว่า “ส้วม” เลย รู้จักกันแต่เรื่อง ทุ่ง กับ เว็จ

                     ดังนั้น ทุ่ง หมายถึง ทุ่งนา ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเขตบ้าน ใครปวดอุจจาระก็จะไปถ่ายที่ทุ่งนาหรือในป่า ทิ้งไว้เป็นกองๆ หรือบางคนที่เรียบร้อยหน่อยก็ใช้จอบขุดเป็นหลุมเสียก่อน ถ่ายเสร็จแล้วจึงกลบ หาบ้านที่จะทำ “เว็จ” ได้น้อยเต็มที

                 เว็จ เป็นบ่อดินหลุมใหญ่ๆ ขุดให้ลึกสักหน่อย ใช้ไม้ไผ่ทั้งลําตัดเป็นท่อนยาวๆ หรือไม้อื่นท่อนเขื่องๆ สองท่อนพาดปากหลุมระยะห่างพอให้นั่งยองๆ สะดวก ใช้ทางมะพร้าวมุงเป็นฝากั้น ๔ ด้าน เว้นทางเดินเข้าออกเล็กน้อย บางบ้านก็ทําประตู บางบ้านก็ไม่ทํา หรือบางที่ใช้ทางหมากทำประตูห้อยคล้ายม่าน เวลาใครปวดอุจจาระ ก็จะไปนั่งบนไม้ที่วางพาดปากหลุมแล้วถ่ายลงไป เว็จบางแห่งก็ใช้รวมกันหลายๆ บ้าน บ้านข้าพเจ้ามีเว็จหลุมใหญ่ใช้กัน ๓ บ้าน เวลาข้าพเจ้าไปถ่าย ข้าพเจ้าอดมองดูปฏิกูลในหลุมข้างล่างไม่ได้ มันช่างน่าเกลียดเป็นของเก่าก็มี ของใหม่ก็มี ทั้งกลิ่นก็เหม็นอย่างรุนแรงที่สุด ที่น่าขยะแขยงคือมีหมู่หนอนขนาดต่างๆ ชอนไชอยู่เต็มไปหมด ดูยู่บยั่บยั้วเยี้ยไม่มีหยุดนิ่ง เหมือนมันกินไม่รู้จักพอ ยังมีแมลงวันขนาดต่างๆ ตอมดําเต็มไปทั่ว เวลาก้อนอุจจาระหล่นลงไปใหม่ ฝูงแมลงวันก็บินขึ้นแตกกระจายฝูง เสียงปีกของมันกระทบอากาศดังหึ่งๆ เมื่อเราพูดกันถึงของเน่าๆ เราจึงมักใช้คําบรรยายลักษณะว่า “เหม็นหึ่ง” เพราะต้นเหตุจากเสียงปีกแมลงวันแหวกกระทบอากาศดังนี้เอง

                  ข้าพเจ้าดูของสกปรกเหล่านี้แล้ว ก็ให้นึกสงสัยครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ทําไมนะร่างกายของคนเราจึงมีของสกปรกขนาดนี้ไหลออกมา บางทีเข้าถ่ายพร้อมกับเพื่อน เห็นทั้งของเพื่อนและของตนเองน่าเกลียดไม่แตกต่างกัน ของคนใหญ่ๆ ยิ่งน่ารังเกียจมากเพราะกองใหญ่กว่า เหม็นมากกว่า วันใดฝนตกก็ยิ่งแทบจะนั่งทนเหม็นไม่ไหวต้องถลกชายผ้าถุงขึ้นปิดจมูก

               ในเวลานั้นตั้งแต่จําความได้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นความแตกต่างเรื่องความสวยงามในรูปร่างหน้าตาของใครๆ เลย มีความรู้สึกแต่ว่า ขี้เหม็นเหมือนกันหมดทุกคน ใครจะชมว่าใครสวย ก็เป็นเรื่องพูดโกหกบ้างประจบเอาใจกันบ้างไปเสียทั้งนั้น

       นี่ข้าพเจ้าพิจารณา อสุภะ (ความน่าเกลียดของร่างกาย) หรือจะเรียกว่าพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา (ความจําได้ว่าอาหารเป็นของน่าเกลียด) ได้ตั้งแต่เด็กโดยไม่ทราบว่า นั่นคือการปฏิบัติตามคําสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเวลานั้นมีใครสักคนสอนหลักธรรมเรื่องนี้ให้สักหน่อย ข้าพเจ้าคงจะมีปัญญารู้อะไรเป็นอะไรมาตั้งแต่เยาว์วัยครั้งกระโน้น

           แต่ช่างเป็นโชคร้ายจริงๆ ที่ผู้คนที่แวดล้อม นับตั้งแต่พ่อแม่หมู่ญาติ และคนทั้งหลายทั่วไปกลับสอนข้าพเจ้าในทางตรงข้าม ให้เห็นจริงเป็นเท็จ ให้เห็นเท็จเป็นจริง คือให้เห็นร่างกายที่น่าเกลียดเป็นของน่ารักษาน่าทะนุถนอมไว้ เป็นของน่าชื่นชม ต้องทําให้สวยงามอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้เห็นตามจริงว่าเป็นของน่าเกลียด

            นี่คือความจริงในสังคมทุกระดับตั้งแต่ชุมชนที่เล็กที่สุดไปจนถึงใหญ่ที่สุดระดับโลก ก็ยังหลงใหลยึดถือเรื่องเท็จเป็นเรื่องจริง เรามีการประกวดสิ่งต่างๆ ทุกชนิด ทั้งเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส โดยเฉพาะเรื่องรูปมีมากเป็นพิเศษ ประกวดหญิงงาม ชายงาม เครื่องแต่งกายที่เป็นเสื้อผ้า ที่เป็นเครื่องประดับประกวดคนด้วยกันแล้วยังไม่พอ ประกวดกระทั่งสัตว์ ประกวดการออกแบบสิ่งต่างๆ นานาชนิด ก็เรื่องของการหลงใหลมัวเมา เห็นรูปต่างๆ ไม่ถูกต้องตรงตามความจริงทั้งสิ้น

              เมื่อได้รับความคิดเห็นผิดๆ ถ่ายทอดมาจากคนรุ่นก่อน รุ่นแล้ว รุ่นเล่า ก็ยึดถือเชื่อตามกันผิดๆ ตลอดเวลา เราจึงมักพบเห็นกันอยู่เสมอว่า ผู้คนหลงใหลชื่นชมคนสวยคนงาม คนเป็นดารา นิยมทําตัวตามแฟชั่นที่สังคมสร้างขึ้นหลอกลวงเอาผลประโยชน์ทางการค้าเหล่านี้เป็นต้น

            ข้าพเจ้ารู้จักสุภาพบุรุษนักแสดงท่านหนึ่ง เป็นเพียงแค่ตัวประกอบ เล่าให้ฟังว่า ขนาดเขามีอายุมากแล้ว (ราวๆ ๔o เศษ) ยังมีสตรีหลงใหลตัวเขา ทั้งมีอายุและวัยรุ่น พร้อมที่จะให้เขาทําผิดศีลข้อที่ ๓ ด้วยอยู่เสมอ นี่คือโทษของการขาดปัญญาไม่รู้สิ่งทั้งปวงตามจริง ย่อมพร้อมที่จะทําอกุศลกรรมได้ทุกเมื่อ

          ที่เล่าให้ท่านฟังนี้ ใช่ว่าข้าพเจ้าจะดีวิเศษ จริงอยู่ แม้ในวัยเด็กจะพอมีปัญญา รู้จักคิดอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกระแสความนิยมของชาวโลก โดยเฉพาะในหมู่ผู้คนที่แวดล้อมได้สําเร็จ ในที่สุดก็พลอยคล้อยตามพวกเขา จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องทํา มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นคนผิดพวกผิดปกติไป ยิ่งอยู่ยากในสังคมหนักยิ่งขึ้นไปอีก

       แต่ที่นํามาคุยกับท่านผู้อ่าน ก็เพื่อให้พวกเราช่วยกันสร้างค่านิยมที่ถูกต้องให้แก่คนรุ่นหลังซึ่งเป็นลูกหลานของเรา ให้เขาเห็นในโลกนี้ตามความเป็นจริง เขาจะได้ไม่เดินหลงทางเหมือนเราเป็นการตัดไฟที่ตัดลม

    เรื่องการใช้ชีวิตเพราะขาดปัญญาหลงใหลในรูปต่างๆ นั้นมีตัวอย่างที่เรารู้เห็นได้ยินได้ฟังกันอยู่มากมาย จะนํามาเล่าสู่กันฟังกี่ร้อยกี่พันเรื่องก็เล่าไม่หมด เรื่องเหล่านั้นเวลาเกิดขึ้นกับผู้อื่น เรามักจะมองออกพิจารณารู้ ตัดสินได้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แต่พอเกิดกับตนก็เหมือนเส้นผมบังภูเขา หรือเหมือนผงเข้าตาตนเอง เขี่ยกันไม่ออก พลาดท่าเสียทีกันอยู่ร่ำไป บางทีเพราะความหลงรูป ให้ทุกข์ให้โทษถึงฆ่ากันตาย เช่น รักเขา เขาไม่รักตอบ เขากลับไปรักคนอื่น ตนเองทนไม่ได้ไปฆ่าเขาหรือฆ่าตนเองไปด้วย ถ้าหลงรูปที่เป็นวัตถุ อยากมีสมบัติอย่างโน้นอย่างนี้ที่ตนพอใจ อยากมากเข้าก็ไม่มีหนทางได้มาโดยสุจริต ก็เลยเอามาทางทุจริต ลักขโมย คดโกง จี้ปล้น ทําอทินนาทานด้วยวิธีการต่างๆ

      ข้าพเจ้าไม่ได้นําเรื่องทั่วไปเหล่านั้นมาเล่า จะขอเล่าเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนเอง เกี่ยวกับเรื่องพอใจในรูป เป็นเหตุการณ์ตอนวัยรุ่นถือเป็นอุทาหรณ์ จุดประสงค์เพื่อประโยชน์ต่อเด็กๆ ทั้งก่อนวัยรุ่น วัยรุ่นและย่างเข้าวัยหนุ่มสาวเป็นสําคัญ สําหรับชีวิตของผู้ใหญ่คงจะได้ทั้งสติ มีทั้งปัญญาพิจารณาเรื่องเหล่านี้ออกได้บ้างแล้ว

        ปีนั้นเป็นปี พ.ศ.๒๔๙๓ ข้าพเจ้าเรียนจบประโยคมัธยมศึกษาคือ ชั้นม.๖ ในสมัยนั้นประโยคประถมศึกษามีเพียง ๔ ชั้น ในฐานะที่สอบได้คะแนนยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่งของจังหวัด จึงได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนทุนของจังหวัด มาอยู่ในโรงเรียนประจําแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นักเรียนรุ่นเดียวกับข้าพเจ้ามีอยู่ประมาณ ๓๐๐ คน มาจากทุกจังหวัด จังหวัดอื่นๆ ส่วนใหญ่มีนักเรียนมาเกินหนึ่งคน พวกเขาจึงมีเพื่อน สําหรับข้าพเจ้ามีเพียงลําพังคนเดียว ต้องมาหาเพื่อนเอาเอง เราอยู่กันเฉพาะนักเรียนสตรีล้วนๆ อายุกําลังเข้าสู่วัยรุ่น คือ ๑๕-๑๗ ปี กําลังเริ่มสนใจเรื่องเพศตรงข้าม

    แต่ระเบียบการเป็นนักเรียนประจํากินนอนของที่นั่นเคร่งครัดมาก วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่มีผู้ปกครองมารับแล้ว จะออกไปไหนเองไม่ได้เป็นอันขาด ผู้ปกครองส่วนใหญ่ของนักเรียนมักจะอยู่ต่างจังหวัด ดังนั้น วันหยุดประจำสัปดาห์จึงมักไม่มีใครออกไปไหน นักเรียนหลายๆ คน ทั้งที่เป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือรุ่นเดียวกันที่มีความรู้สึกทางเพศค่อนข้างสูงจึงอุปโลกสมมติกันเองให้คนโน้นเป็นผู้หญิง คนนี้เป็นผู้ชาย แล้วรักใคร่พอกันฉันชู้สาว ที่เรียกกันว่าเป็นแฟนกัน มีจํานวนมากเกร่อ เหมือนเป็นแฟชั่น คนไหนรูปร่างหน้าตาดีหน่อยก็จะมีคนชอบพอหลายคน มีการทะเลาะวิวาทหึงหวง ถึงกับลงมือตบตี ทําร้ายร่างกายกัน เหมือนเรื่องชู้สาวระหว่างเพศที่เป็นชายหญิงจริงๆ

     ข้าพเจ้าไม่นิยมเรื่องทํานองนี้ มีความรู้สึกว่าคนดังกล่าวเป็น “โรคจิต” เป็นพวกน่าเกลียดน่ากลัว น่าขยะแขยง

          แต่แล้ววันหนึ่งก็ถึงคราวตัวข้าพเจ้าเองจะต้องพบเหตุการณ์ทํานองที่ว่านี้บ้าง เมื่อข้าพเจ้าจําได้ว่า วันนั้นเลิกเรียนแล้ว ได้ถอดกางเกงในที่เปรอะเปื้อนใส่ไว้ในกระป๋องซักผ้า ซ่อนไว้ใต้ตู้เสื้อผ้า แล้ววิ่งไปซ้อมกีฬาตามคําสั่งของครูพลศึกษา ตั้งใจว่าเลิกซ้อมจะมานําไปซักตอนอาบน้ำ แต่พอกลับจากซ้อมกีฬา ปรากฎว่ามีคนแอบซักกางเกงในให้ข้าพเจ้าสะอาดเรียบร้อย เมื่อถามดูก็ไม่มีใครยอมรับ

           หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้งผ่านไป ข้าพเจ้าเหลืออดเหลือทน จึงวานเพื่อนที่อยู่ใกล้ให้ช่วยสังเกต พูดกับเขาว่า

           “นี่เธอดูให้ชั้นหน่อยเถอะน่า ใครมันอุตริทํายังงี้ กางเกงสกปรกจะตายไป เค้าซักของคนอื่นได้ยังไงกัน

         “เฮ้ย นาย เราว่ามันแหม่งๆ นะ คนที่จะทําให้นายยังงี้ได้ มันต้องรักนายแบบหยั่งว่าซะแล้ว” เพื่อนตอบ ข้าพเจ้าใจหายวาบ ยิ่งเกลียด ยิ่งเจอรึเนี่ย

          “ว้า! แล้วจะทําไงดีนี่ นายเห็นตัวมั้ย มันเป็นใครกันฮึ”

      “เออน่า แล้วจะแอบดูตัวให้ ตอนไปซ้อมกีฬาก็ตะโกนบอกเราดังๆ แล้วกัน คนนั้นเค้าจะได้ได้ยิน แล้วมาขโมยไปซักให้อีก นี่โทษคนอื่นไม่ได้หรอก นายมันอยากสมาร์ท แล้วก็เท่เหมือนผู้ชายเองนี่หว่า ไอ้ท่าทางของนายนี่มันทําให้พวกผู้หญิงเค้าหลงใหลรู้มั้ย” เพื่อนพูดเหมือนเขากับข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้หญิง

   เวลานั้นหุ่นข้าพเจ้าไม่ใช่อย่างที่หลวงพ่อเรียกให้คนอื่นฟังว่า “เหมือนช้าง” คือไม่ได้อ้วนมากอย่างนี้ มีสัดส่วนแค่ ๓๒-๒๓-๓๕ นิ้ว แค่นั้นจริงๆ น้ำหนัก ๕๓-๕๖ กิโลกรัม สูงเกือบ ๑๖๐ ซ.ม. ผิวเนื้อสองสี ไม่ขาว ไม่ดํามาก หน้าตาที่ใครๆ โดยเฉพาะนักเรียนรุ่นพี่ชอบพูดกันว่า “คมขำ” แต่ข้าพเจ้าไม่เคยมองตัวเองออกเลยสักครั้ง รู้แต่ว่าไม่ใช่คนสวยงาม แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด ลักษณะเฉพาะคือบุคลิกที่ค่อนข้างเข้มแข็ง และเป็นผู้นํา ซึ่งเป็นเองโดยอัตโนมัติและให้ทุกข์ให้โทษตนเองอยู่เสมอ เนื่องจากมักถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าประเภทต่างๆ จนต้องถึงกับหนีการประชุมหลายครั้งหลายหน ป้องกันการถูกเลือกตั้ง

     ด้วยรูปอย่างที่กล่าวแล้ว นักเรียนหญิงรุ่นเดียวกันหลายคนเกิดหลงข้าพเจ้า เก็บไปใฝ่ฝันถึง บางรายทะเลาะกันเองด้วยพิษรักแรงหึง โดยที่ข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องด้วย มาผิดสังเกตตอนที่มีเรื่องผ้าถูกขโมยนําไปซักรีดเรียบร้อย กระทั่งมาถึงเรื่องกางเกงในดังกล่าวยังมีอีก ขณะที่ข้าพเจ้าในฐานะนักกีฬาเปตบอลของโรงเรียนกลับจากซ้อมประจำวันหรือแข่งขันในสนามจริงคราวใดก็ตาม บนหลังตู้แต่งตัวจะมีของกินอร่อยและน้ำแข็งใส่น้ำหวานวางไว้ให้

          แรกๆ ข้าพเจ้าไม่นึกถึงเรื่อง “หยั่งว่า” คิดว่าเป็นความใจดีเพื่อนๆ ในห้อง ก็ตะโกนว่า

        “เฮ้! ใครเอาขนมกับน้ำแข็งมาให้กินเนี่ย ขอบใจน้า...”

        แล้วก็ฉลองศรัทธาจนหมด ครั้นผิดสังเกตที่เพื่อนพูดว่าคนหลงใหลหุ่นของข้าพเจ้าก็เลยกินของที่ใครวางไว้ให้นั้นไม่ลง คงปล่อยทิ้งไว้ จนเจ้าของเลิกให้กิน ส่วนเรื่องให้เพื่อนแอบดู ข้าพเจ้าถามเขาว่า

       “ไง ได้ความมั้ย ยายบุญส่งรึเปล่า หมู่นี้เห็นหน้าเรา ทําตาหวานใส่ซะจนอยากอ้วก ทําท่าชมดชม้อย อายไปเอียงมา จนต้องเดินหนี แล้วก็ยังวิ่งตาม ชักกลัวซะแล้วสิ”

      “ไม่ใช่ ยายมณฑาน่ะ เราเห็นกะตาเอง มาเอาผ้านายไปซัก เมื่อวานนายเก็บผ้าที่ใช้แล้วไว้ในตู้ใส่กุญแจ มาเอาไม่ได้หน้าเสียเลย ทำท่ายังกะจะร้องไห้ รายนี้น่าสงสารนะ” เพื่อนบอก

      “ตายแล้ว พักอยู่คนละห้อง ไม่เคยสนิทสนมกันซักหน่อย พูดก็ไม่เคยพูด มาชอบเราได้ไง” ข้าพเจ้าบ่นพร้อมกับรู้สึกไม่สบายใจ

      “ก็บอกแล้วไง หุ่นนักกีฬาของนายมันเตะตาคน แถมเรียนเก่งอีกต่างหาก อย่างนี้จะไม่ให้เค้าหลงยังไงได้ นายจะทํายังไง รายนี้เป็นคนเรียบร้อยนะ ถ้าขืนนายเอะอะมะเทิ่ง เดี๋ยวแม่อายใครๆ ขึ้นมาเกิดผูกคอตายละก็ นายบาปหนักเลย” เพื่อนพูดเตือนสติข้าพเจ้า เพราะเคยมีเหตุการณ์ชนิดที่กล่าวนี้เกิดขึ้นมาแล้ว รักเขา เขาไม่รักตอบเลยกินยาตายประท้วง

       ข้าพเจ้าเงียบเสียง ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ จึงขอร้องเพื่อนว่า

      “พร นายช่วยเราหน่อยเถอะ ช่วยไปบอกเค้าให้ที่นะ ว่าอย่ารักเราเลย เราไม่ชอบผู้หญิงด้วยกันหรอก เพราะเรามีคนรักที่เป็นผู้ชายอยู่แล้ว เรารักคนอื่นอีกไม่ได้”

    “ฮ้า...อา...รายนะ นายให้เราโกหกเค้ายังงั้นได้ยังงาย” เพื่อนส่งเสียงโวยวาย

   “ไม่ใช่โกหกนะ นี่เราพูดเรื่องจริง” ข้าพเจ้ายืนยัน

    “เป็นไปไม่ได้ เราไม่เชื่อ” เพื่อนเถียง

    “โธ่ เรื่องจริง เอ้าไม่เชื่อ ดูรูปถ่ายนี่ซะ มีลายเซ็นด้วย ดูซีคนให้เค้าเขียนว่ายังไง”

          ข้าพเจ้าพูดพร้อมทั้งหยิบรูปถ่ายของชายคนรักส่งให้เพื่อนที่ชื่อ สมพร เขารับไปดูอย่างงุนงง อ่านข้อความหลังภาพถ่าย แล้วมองหน้าข้าพเจ้า พร้อมกับบ่นพึมพำว่า

            “ไม่น่าเชื่อ ดูไม่ออกเลยว่านายมีแฟนแล้ว เห็นสนใจแต่เรื่องการเรียน มีแฟนได้ยังไง ไม่มีท่ามีทางซักนิด เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็พูดออกมาว่า

        “เอาเถอะ เราจะพยายามเชื่อ แล้วหาโอกาสบอกให้ ฝ่ายนั้นเค้าจะได้ตัดใจ เพราะการที่อีกฝ่ายมีแฟนเป็นผู้ชายจริงๆ เนี้ย เค้าต้องถือว่าหมดสิทธิ์”

        เรื่องก็เป็นไปตามความคาดคะเน มณฑาปลงใจได้ก็จริงแต่ก็เสียใจมาก ร้องไห้หน้าตาบวมอยู่ ๒-๓ วัน ข้าวปลาไม่เป็นอันกิน ข้าพเจ้าทำเป็นไม่รู้ถึงความเสียใจของเธอ แสร้งทําเป็นเดินผ่าน หยุดทักทายพูดคุยด้วยเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ทำให้เธอหายเสียใจเร็วขึ้น เพราะดีใจว่าข้าพเจ้าคุยด้วย ซึ่งแต่เดิมไม่เคยพูดกันเลย เธอหลงรักข้าพเจ้าอยู่ฝ่ายเดียว รักชนิดไม่กล้าออกปากบอกเสียด้วย จึงไม่มีความหวังว่าข้าพเจ้าจะพูดกับเธอเมื่อใด แต่เมื่อเธอหมดหวัง ข้าพเจ้ากลับเป็นฝ่ายพูดด้วยก่อน เธอจึงมีความสุขไปอีกแบบหนึ่ง แม้จะไม่หลงใหลเหมือนเดิม แต่เธอก็รักและเกรงใจจนดูน่าสงสารจริงๆ

        หมดรายนี้ไปแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกโล่งอก คิดว่าคงอยู่เป็นสุขเสียที แต่แล้วนักเรียนหญิงอีกคนที่ชื่อ     บุญส่ง ซึ่งแต่เดิมก็เพียงเริ่มอายๆ ข้าพเจ้า ขณะเดินผ่านกันนั้น แอบไปสารภาพกับเพื่อนบางคนว่าเขามีความรู้สึกรักใคร่ผูกพันใฝ่ฝันถึงข้าพเจ้าตลอดเวลา เพื่อนผู้นั้นก็กระซิบกันต่อๆ ไป เกิดมีการล้อกันเกรียวกราวขึ้นมา จะล้อเลียนอยู่เฉพาะฝ่ายโน้นเท่านั้น ไม่มีใครกล้าล้อเลียนข้าพเจ้า

     “ส่ง นี่แฟนเธอนะสอบได้ที่หนึ่งอีกแล้ว ถ้าชั้นมีแฟนอย่างของเธอละก็ ภูมิใจตายเลย”

   “นี่ เธอไปดูแฟนเธอชู้ตบอลซี แม่นอย่างกะจับวาง ท่าทางงี้สม้าร์ทกว่าใคร”

  “ไปดูป้ายประกาศที่บอร์ดหน้าโรงอาหารซี รูปตรงหัวมุมบอร์ดที่เป็นภาพตําหนักริมน้ำกลางสวน ฝีมือแฟนเธอวาดเองนะ อาจารย์วาดเขียนเอามาติดไว้ สวยซึ้งเชียว”

 “เมื่อกี้อาจารย์ใหญ่เรียกประชุมแต่นักเรียนที่เป็นหัวหน้า ทั้งหัวหน้าห้องเรียนและหัวหน้าตึกประจํา มีแฟนเธอคนเดียวที่เป็นทั้งสองหัวหน้า โก้เป็นบ้าเลยส่ง”

  ยิ่งใครๆ ชมข้าพเจ้าเท่าไร บุญส่งก็ยิ่งยึดถือผูกพันรักใคร่ข้าพเจ้าเป็นทวีคูณ ครั้นพอถูกเพื่อนบางคนยุว่า

 “เอ้า! เย็นๆ ก็ไปหาเค้าซี ตอนเค้าเลิกซ้อมกีฬาน่ะ เค้าจะได้ชื่นใจ”

     บุญส่ง มาหาข้าพเจ้าจริงๆ เธอจะมีขนมบ้าง ผ้าเช็ดหน้าสวยๆ ที่ปักเองบ้างมาฝาก ข้าพเจ้ารู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาอีก ขอความร่วมมือจากเพื่อน คราวนี้ไม่ได้ผล สมพรชี้แจงว่า

          เฮ้ย รายนี้เราช่วยไม่ไหวหรอก แม่ดื้อยังกะอะไรดี พูดไม่ฟังแน่ ๆ ใครๆ ก็รู้กันทั่ว เค้าหลงรักนายหัวทิ่มหัวตํา กลางคืนก็นอนรําพันถึง กลางวันก็ตาลอยเชียว คอยเวลาไปนั่งดูนายซ้อมบอล เราหมดปัญญาจริงๆ นายช่วยตัวเองนะ เรื่องมีแฟนจริงแล้วอะไรน่ะยายนี้ไม่ยอมหรอก”

        เป็นตามที่สมพรบอกจริงๆ บุญส่งไม่ยอมฟังอะไรทั้งสิ้น ตกเย็นเธอก็จะมานั่งเฝ้าข้าพเจ้า ชวนพูดคุย ล้วนแต่ถ้อยคําที่อ่อนหวานน่าพะอืดพะอม หลายวันเข้าข้าพเจ้าทนไม่ไหว ต้องใช้วิธีวิ่งหนี ให้เพื่อนคอยดูต้นทาง พอฝ่ายนั้นเดินมาหน้าตึก เพื่อนก็จะส่งเสียงเป็นสัญญาณเตือน ข้าพเจ้าจะวิ่งไปแอบตามห้องต่างๆ หลายครั้งเข้าเมื่อไม่พบ เหมือนบุญส่งจะรู้ทัน เธอจึงใช้วิธีนั่งคอยเงียบๆ บางครั้งข้าพเจ้าเข้าใจว่าเธอไปแล้ว ออกจากที่ซ่อนมาเลยพบกัน ต่อมาบุญส่งใช้วิธีค้นดูตามห้องต่างๆ ข้าพเจ้าหมดที่ซ่อนตัว ถึงกับต้องวิ่งเข้าไปแอบอยู่ในส้วมและต้องอยู่ในนั้น บางทีนานถึง ๒-๓ ชั่วโมงจึงพอรอดตัว ภายหลังข้าพเจ้าเอาหนังสือเข้าไปนั่งอ่านในส้วมด้วย ทําให้ไม่รู้สึกว่าเร็วหรือช้า ท้ายที่สุดบุญส่งจึงเบื่อหน่ายเลิกราไป
 
 
 
 
 
 
ชื่อเรื่องเดิม มนุษย์เหม็นๆ
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม3 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0026883006095886 Mins