นางกิสาโคตมี

วันที่ 29 เมย. พ.ศ.2560

นางกิสาโคตมี,บทความวาไรตี้,บทความประจำวัน

 

นางกิสาโคตมี (ธิดาตระกูลเก่าจับถ่านเป็นทอง ลูกน้อยตายทุกข์) 

 

สถานที่ตรัส พระเชตวัน

          ทรัพย์ ๔๐ โกฏิในเรือนของเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุง สาวัตถี ได้กลายเป็นถ่านหมด. เศรษฐีเห็นเหตุนั้นเกิด ความเศร้าโศก จึงอดอาหารเสีย นอนอยู่บนเตียงเล็ก.

         สหายคนหนึ่งของเศรษฐีนั้นถามว่า “ทำไมท่าน จึงเศร้าโศกเล่า? เพื่อน” ได้ยินดังนั้นแล้ว กล่าวว่า “อย่า เศร้าโศกเลยเพื่อน, ฉันแนะวิธีให้อย่างหนึ่ง, จงทำอย่างนั้น เถิด.”

          เศรษฐี. “ทำอย่างไรเล่า? เพื่อน.”

       สหาย. “เพื่อน ท่านจงปูเสื่อลำแพนที่ตลาดของตน เอาถ่านทำให้เป็นกองไว้ จงนั่งเหมือนจะขาย, ชาวบ้านที่ มาแล้วๆ คนเหล่าใดพูดอย่างนี้ว่า ‘คนอื่นขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น ส่วนท่าน ทำไมนั่งขายถ่าน’, ท่านพึงพูดกับคนเหล่านั้น ว่า ‘เราไม่ขายของๆ ตนจะทำอะไร?’ ส่วนคนใดพูดกับท่านอย่างนี้ว่า ‘คนที่เหลือขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น, ส่วนท่าน ทำไมนั่ง ขายเงินและทอง’, ท่านพึงพูดกับผู้นั้นว่า ‘เงินและทอง ที่ไหน?’ ก็เมื่อเธอพูดว่า ‘นี้ไง’, ท่านพึงพูดว่า ‘จงนำเงินทองนั้นมาก่อน, แล้วรับด้วยมือทั้งสอง ของที่เขาให้ ในมือของท่านอย่างนั้น จะกลายเป็นเงินและทอง; ก็ถ้า ผู้นั้นเป็นหญิงรุ่นสาว, ท่านจงนำนางมาเพื่อแต่งงานกับบุตร ของท่าน มอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิให้แก่นาง พึงใช้สอยเงินทอง ที่นางให้, ถ้าเป็นเด็กชาย ท่านพึงให้ธิดาของท่านแก่เขา แล้วมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิให้แก่เขา ใช้สอยทรัพย์ที่เขาให้.”

       เศรษฐีนั้นกล่าวว่า “อุบายดี” จึงนำถ่านให้กองไว้ ในร้านตลาดของตน นั่งทำเหมือนจะขาย. คนเหล่าใด พูดกับเศรษฐีนั้นอย่างนี้ว่า “ชนที่เหลือทั้งหลายขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น, ทำไมท่านนั่งขายถ่าน” ก็ให้คำตอบแก่คนเหล่านั้นว่า “ฉันไม่ขายของที่มี แล้วฉัน จะทำอะไร?”

       ครั้งนั้น หญิงสาวรุ่นคนหนึ่งชื่อ ‘โคตมี’ ปรากฏชื่อ ว่า ‘กิสาโคตรมี’ เพราะนางมีร่างกายบอบบาง เป็นธิดาของตระกูลเก่าแก่ ไปยังประตูตลาดด้วยธุระอย่างหนึ่ง ของตน เห็นเศรษฐีนั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า “นายท่าน คนอื่นขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น. ทำไมท่าน จึงนั่งขายเงินและทอง?”

เศรษฐี. “เงินทองที่ไหน? แม่หนู.”

นางโคตมี. “ท่านนั่งจับเงินทองนั้นเอง มิใช่หรือ?”

เศรษฐี. “จงนำเงินทองนั้นมาก่อน แม่หนู.”

      นางกอบเต็มมือแล้ว วางไว้ในมือของเศรษฐีนั้น. ถ่านนั้นได้กลายเป็นเงินและทองทันที.เศรษฐีถามนางว่า “แม่หนู บ้านเจ้าอยู่ไหน.”

      เมื่อนางตอบว่า “ชื่อโน้นจ้ะ” เมื่อรู้ว่านางยังไม่มีสามี แล้ว จึงเก็บทรัพย์นำนางมาเพื่อแต่งงานกับบุตรของตน ให้รับทรัพย์ ๔๐ โกฏิไว้. ทรัพย์ทั้งหมดได้กลายเป็นเงินและทองดังเดิม.

         ต่อมานางตั้งครรภ์. เมื่อกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางคลอดบุตรแล้ว. บุตรนั้นได้ตายแล้ว ช่วงเวลาที่เดินได้.

     นางห้ามพวกคนที่จะนำบุตรนั้นไปเผา เพราะนาง ไม่เคยเห็นความตาย อุ้มร่างบุตรผู้ตายแล้วด้วยสะเอว ด้วยหวังว่า ‘จะถามถึงยาเพื่อบุตรเรา’ เที่ยวเดินถาม ไปตามบ้านว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักยาเพื่อบุตรของฉันบ้าง ไหมหนอ?”

         ชาวบ้านพูดกับนางว่า “แม่นาง เจ้าเป็นบ้าแล้วหรือ? เจ้าเที่ยวถามถึงยาเพื่อบุตรที่ตายแล้ว.”

         นางคิดว่า ‘จะได้คนผู้รู้จักยาเพื่อบุตรของเราแน่แท้’ จึงเที่ยวไป.

      บัณฑิตคนหนึ่ง เห็นนางแล้วคิดว่า ‘ธิดาคนนี้คงจะ คลอดบุตรคนแรก ไม่เคยเห็นความตาย, เราเป็นที่พึ่งของ หญิงนี้ย่อมควร’

จึงกล่าวว่า “แม่นาง ฉันไม่รู้จักยา, แต่ฉันรู้จักคนผู้รู้ยา.”

นางโคตมี. “ใครรู้? พ่อคุณ.”

บัณฑิต. “แม่นาง พระศาสดาทรงทราบ, จงไปทูลถาม พระองค์เถิด.“

     นางกล่าวว่า “พ่อคุณ ฉันจะไปทูลถาม” ดังนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุด ข้างหนึ่ง ทูลถามว่า “ทราบว่า พระองค์ทรงทราบยา เพื่อบุตรของหม่อมฉันหรือ? พระเจ้าข้า.”

พระศาสดา. “ใช่ เรารู้.”

นางโคตมี. “ได้สิ่งอะไร? จึงควร.”

พระศาสดา. “ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดสักหยิบมือหนึ่ง จึงควร.”

นางโคตมี. “ได้ พระเจ้าข้า, แต่ได้จากเรือนใคร? จึงควร.”

พระศาสดา. “บุตรหรือธิดาไรๆ ในเรือนของผู้ใด ไม่เคย ตาย. ได้จากเรือนของผู้นั้นจึงควร.”

       นางทูลรับว่า “ดีละ พระเจ้าข้า” แล้วถวายบังคม พระศาสดา อุ้มบุตรผู้ตายแล้วด้วยสะเอวเข้าไปภายในบ้าน ยืนที่ประตูเรือนหลังแรก กล่าวว่า “เมล็ดพันธุ์ผักกาด ในเรือนนี้ มีบ้างไหม? ทราบว่านั่นเป็นยาเพื่อบุตรของฉัน. “เมื่อเขาตอบว่า “มี” จึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ขอเถิด”

     เมื่อคนเหล่านั้นนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาให้ จึงถามว่า “ในเรือนนี้ บุตรหรือธิดา ไม่มีใครเคยตายเลยใช่ไม? แม่คุณ”

      เมื่อเขาตอบว่า “พูดอะไรอย่างนั้น? แม่นาง เพราะ คนเป็นมีน้อย, คนตายนั้นแหละมีมาก”

      จึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น จงรับเมล็ดพันธุ์ผักกาดของ ท่านคืนไปเถิด, นั่นไม่เป็นยาเพื่อบุตรของฉัน” แล้วให้คืนไป

       เที่ยวถามโดยทำนองนี้ ตั้งแต่เรือนหลังแรก. นางไม่ รับเมล็ดพันธุ์ผักกาด จากเรือนหลังใดหลังหนึ่ง.

     ในเวลาเย็น คิดว่า ‘โอ กรรมหนักจริงหนอ, เราได้ คิดว่า ‘บุตรของเราเท่านั้นตาย’ ก็ในบ้านทุกหลัง คนที่ตาย ล้วนมากกว่าคนเป็น.’

       นางคิดอยู่อย่างนี้ หัวใจที่อ่อนด้วยความรักบุตร ได้ถึง ความแข็งแล้ว. นางทิ้งบุตรไว้ในป่า ไปยังสำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ได้ยืน ณ ที่สุดข้างหนึ่ง.

          พระศาสดาตรัสกับนางว่า “เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาด ประมาณหยิบมือหนึ่งแล้วหรือ?”

          นางโคตมี. “ไม่ได้ พระเจ้าข้า, เพราะในบ้านทั้งหลาย คนตายนั้นมากกว่าคนเป็น.”

        พระศาสดาตรัสกับนางว่า “เธอเข้าใจว่า ‘บุตรของเรา เท่านั้นตาย’, ความตายนั่นเป็นธรรมยั่งยืนสำหรับสัตว์ ทั้งหลาย, ด้วยว่า มัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมดผู้มีอัธยาศัย ยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นแล ลงในสมุทรคืออบาย ดุจห้วงน้ำใหญ่ ฉะนั้น

           เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

“มฤตยู ย่อมพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์ของเลี้ยง

ผู้มีใจซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ไปดุจห้วงน้ำใหญ่

 พัดชาวบ้านผู้หลับไหลไปฉะนั้น.”

 

       ในกาลจบคาถา นางกิสาโคตมีดำรงอยู่ในโสดาปัต- ติผล, แม้คนเหล่าอื่นเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นดังนี้แล

           ฝ่ายนางกิสาโคตมีนั้นทูลขอบรรพชากับพระศาสดา แล้ว. พระศาสดาทรงส่งไปยังสำนักของนางภิกษุณีให้ บรรพชาแล้ว. นางได้อุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า ‘กิสาโคตมีเถรี.’

        วันหนึ่ง นางถึงวาระในโรงอุโบสถ นั่งตามจุดประทีป เห็นเปลวประทีปลุกโพลงขึ้นและหรี่ลง ได้ถือเป็นอารมณ์ ว่า ‘สัตว์เหล่านี้ก็อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไป ดังเปลวประทีป, ผู้ถึงพระนิพพาน ไม่ปรากฏอย่างนั้น.’

         พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นแล ทรงแผ่ พระรัศมีไป ดังนั่งตรัสตรงหน้านาง ตรัสว่า “อย่างนั้นแหละ โคตมี สัตว์เหล่านั้นย่อมเกิดและดับเหมือนเปลวประทีป, ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น, ความเป็นอยู่ แม้เพียงขณะเดียวของผู้เห็นพระนิพพาน ประเสริฐกว่า ความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปีของผู้ไม่เห็นพระนิพพานอย่างนั้น” ดังนี้แล้ว

          เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

“ก็ผู้ใด ไม่เห็นบทอันไม่ตายพึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี,

ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นบทอันไม่ตาย

ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น.”

      ในกาลจบเทศนา นางกิสาโคตมีนั่งอยู่ตามเดิมนั่นแล ดำรงอยู่ในพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ดังนี้แล.

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0012697815895081 Mins