ชีวิตในวัดปากน้ำ
เมื่อคุณยายฏิบัติธรรมจนเข้าถึงธรรมกาย และไปช่วยพ่อให้พ้นจากนรกได้สำเร็จแล้ว ความรู้สึกแช่มชื่นเบิกบาน ก็ท่วมท้นอยู่เต็มหัวใจ ไม่มีความปรารถนาอะไรอีกทั้งสิ้นท่านกล่าวว่าการเข้าถึงธรรมกายนั้นเป็นสุขอย่างยิ่งสุขที่ไม่อาจหา สิ่งใดมาทดแทนได้ในโลก เป็นความสุขที่ไม่มีประมาณ เป็นสุขล้วนๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในชีวิต แม้ใครจะเอาทองคำกองท่วมหัวมาแลกก็ไม่ยอม
ด้วยเหตุนั้นคุณยายจึงคิดว่า จะต้องทำงานให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เจ้านายเห็นใจ แล้วจะได้ขอโอกาสไปฏิบัติธรรม ที่วัดปากน้ำสัก ๑ เดือน วันหนึ่ง สบโอกาสเหมาะ หลังจากคุณยายได้นัดแนะกับคุณยายทองสุกไว้แล้วท่านเข้าไปขออนุญาต เจ้าของบ้านไปปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำ เจ้าของบ้านก็เต็มใจอนุญาต แต่ได้กำชับว่าเมื่อครบหนึ่งเดือนแล้วให้กลับมา คุณยายฟังแล้วท่านก็นิ่งไม่ได้ตอบว่ากระไร เจ้าของบ้านจึงเข้าใจ เอาเองว่า เมื่อครบกำหนดแล้วคุณยายจะกลับมา
คืนนั้นคุณยายนอนหลับแล้วฝันไปว่า ตัวท่านเองยืน อยู่บนฝังแม่น้ำใหญ่ มีเรือลำหนึ่งพาท่านข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝังหนึ่ง ซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่มาก มีใบดก ร่มครึ้ม ทั้งใหญ่ ทั้งสวย งามให้ร่มเงาร่มรื่น หลังจากขึ้นฝังได้ท่านก็เข้าไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ ด้วยความรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง แล้วก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น
คุณยายทองสุกพาคุณยายไปวัดปากน้ำเป็นครั้งแรกใน เวลาบ่ายของวันพฤหัสบดี ราวปี พ.ศ.๒๔๘๑ ขณะนั้นหลวงพ่อวัดปากน้ำกำลังลงสอนธรรมปฏิบัติอยู่ที่ศาลา ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงครัวของวัด๑ เมื่อคุณยายทองสุกแนะนำคุณยายกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อท่านก็เงยหน้าขึ้นมามองคุณยายท่านนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ทักขึ้นมาด้วยถ้อยคำซึ่งยากต่อการเข้าใจ สำหรับคุณยายในขณะนั้นว่า
"มึงมันมาช้าไป" แล้วท่านก็ส่งคุณยายเข้าโรงงาน ทำวิชชาในวันนั้นเลย
โดยปกติ การที่จะเข้าโรงงานทำวิชชาในสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จะต้องผ่านด่านคือการทดสอบจากผู้ที่เข้าถึงธรรมกายรุ่นพี่ ซึ่งจะตั้งคำถามที่มนุษย์ธรรมดาตอบไม่ได้ มีแต่ผู้ที่เข้าถึงธรรมกายเท่านั้นจึงจะตอบได้ เพราะได้เข้าไปถึงผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งจริง ถ้าสามารถตอบคำถามได้ จึงจะเข้าโรงงาน ทำวิชชาได้ แต่สำหรับคุณยายแล้วท่านไม่ได้ผ่านขั้นตอนนี้เลย เพราะหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสั่งให้เข้าไปทำวิชชาได้ทันที
นอกจากการเข้าโรงงานทำวิชชาจะยากแล้ว การมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ใหม่แล้ว ยังจะต้องปรับให้เข้ากับบุคคลรอบข้างอีกด้วย
เมื่อแรกที่เข้าไปอยู่ในวัดปากน้ำนั้น เนื่องจากคุณยาย เป็นคนใหม่สำหรับที่นี่ท่านเข้ามาโดยไม่รู้จักใครสิ่งของเครื่องใช้ที่ได้รับจึงล้วนแต่เป็นของเก่าๆ ที่เขาเก็บทิ้งไว้โดยไม่มี ใครดูแล ไม่ว่าจะเป็นเตียง ตั่ง มุ้งหรืออะไรก็ตาม มุ้งที่ได้รับก็เป็นมุ้งที่ขาดและเก่าเก็บ ของที่เก็บเอาไว้นานๆ โดยไม่ได้ดูแลย่อมมีกลิ่นเหม็น แต่ท่านก็รับมาด้วยความรู้สึกชุ่มชื่นใจ เพราะคิดเพียงว่า จะอาศัยมุ้งนี้กันเหลือบ ยุง ริ้น ไร ไม่ให้มาไต่ตอม ซึ่งท่านก็เอามาซักจนสะอาด แล้วปะเย็บอย่างดี
เตียงที่ได้รับก็เป็นเตียงขาหัก เป็นเตียงที่เขาไม่ใช้แล้ว เก็บซุกไว้ในห้อง อยู่ในสภาพที่พัง มีกลิ่นเหม็น และมีตัวเรือด บ่งบอกถึงความสกปรกและอับชื้น คุณยายท่านได้เตียงอย่างนั้นมาก็ไม่รู้สึกเสียใจแต่ประการใด เพราะคิดว่าจะอาศัยเตียง นี้นอนเพื่อพักผ่อนร่างกายให้หายง่วงเหงาหาวนอน เมื่อ ดื่น แล้วจะได้เอากำลังนั้นมาปฏิบัติธรรมต่อไป
ท่านไม่มีข้าทาสบริวารหญิงชาย ไม่มีสมบัติเพชรนิลจินดาใดๆทั้งสิ้น มีเพียงความคิดที่ดีงามที่จะศึกษาวิชชาธรรมกาย เมื่อได้เตียงมาก็จัดการซ่อมแซมเตียงนั้นให้พอนอนได้ แม้ว่าท่านจะไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย แต่ท่านก็ต้อง จัดการซ่อมแซมทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง จากนั้นก็ปัดกวาด เช็ดถูให้ดูใหม่เอี่ยม ถึงกระนั้นตัวเรือดที่ซ่อนเร้นหลบอยู่ตาม ซอกเล็กๆ ก็ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ตกกลางคืนขณะที่ท่านกำลังหลับ ตัวเรือดก็ออกมากัดท่าน มันกัดจีดทีหนึ่งก็สะดุ้งตื่น ทีหนึ่ง นอนหลับๆ ตื่นๆ อย่างนั้นทั้งคืน
โดยปกติคนที่นอนหลับๆ ตื่นๆทั้งคืน พักผ่อนไม่เต็มที่ อารมณ์จะอ่อนไหวหงุดหงิดง่าย แต่คุณยายท่านไม่เป็นอย่างนั้นท่านหากระโถนเล็กๆ มาใบหนึ่ง ลักษณะเหมือนถ้วยแก้ว ขนาดเท่ามือกำรอบมาไว้ที่หัวนอน เอาผ้าขาวรองก้นกระโถน แล้วเอากระดาษขาวปิดไว้ เมื่อตัวเรือดมาดูดเลือด ท่านก็ จับตัวเรือดใส่ไว้ในกระโถนนั้น แล้วเอากระดาษปิดไว้ พอถึงตอนเช้าก็เอาไปปล่อย ท่านเก็บจนกระทั่งตัวเรือดหมด สิ้นไป เตียงนอนของท่านจึงสะอาดสะอ้านมาก
ด้วยเหตุนี้สมาชิกนักรบกองทัพธรรมที่อยู่วัดมาก่อน จึงชอบมาดูเตียงของท่านที่แม้จะไม่สวยงาม แต่ความสะอาด นั้นให้ความรื่นรมย์ใจ เสมือนดอกไม้ในสวนที่สดใสชูก้านดอกเบ่งบาน แม้ปราศจากถ้อยคำว่า "เชิญมาดู" ก็สามารถดึงดูด คนให้เข้าไปดูไปดมใกล้ๆ ได้ ราวกับมีน้ำมาหล่อเลี้ยงให้ดอกไม้ นั้นสดชื่นงดงาม เตียงเก่าๆ พังๆ ของคุณยายก็เช่นกัน เสมือน มีน้ำหล่อเลี้ยง เป็นน้ำแห่งความบริสุทธิ์สะอาดที่กลั่นจากใจถึงมือ จากมือถึงเตียง และจากเตียงไปถึงใจของผู้ที่มาดู เตียงของคุณยายจึงกลายเป็นที่ชุมนุมของนักรบกองทัพธรรมที่ชอบมาจับมาลูบคลำเตียงของท่าน
สำหรับเรื่องอาหาร คนเก่าๆ ที่อยู่มาก่อนนั้นก็ไม่ยอม ให้คุณยายไปร่วมวงด้วย เพราะท่านมีรูปร่างผอม ผมยาว ตาลึก เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เป็นธรรมดาอยู่เองที่ใคร เห็นก็ต้องคิดว่าท่านเป็นโรค กลัวจะติดเชื้อโรคจากท่าน ดังนั้น เวลาเขาเอาอาหารมาให้ เขาก็ตักใส่จานสังกะสีแล้ว เสือกไสให้ เหมือนไม่เต็มใจ คุณยายต้องพบกับ ภาพเช่นนี้ทุกวัน วันละ หลายๆ ครั้ง
คนเราหากถูกใครแสดงความรังเกียจเช่นนี้ทุกวัน คงยากที่จะทนอยู่ต่อไปได้ แต่วิสัยของคนมีบุญนั้นสอนตัวเองได้ คุณยายคิดว่าท่านมาอยู่ที่นี่เพื่อปฏิบัติธรรม ออกจากบ้านมาเพื่อศึกษาวิชชาธรรมกาย อาหารมื้อนี้หรือทุกมื้อเป็นของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่ได้มาจากบุญของผู้ที่มีศรัทธา เพราะหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นเนื้อนาบุญ คนอยากได้บุญก็มาทำบุญกับท่าน แล้วท่านก็เผื่อแผ่มาถึงคุณยายและลูกศิษย์ทุกๆ คน
คุณยายท่านเป็นคนใจใสบริสุทธิ์ มองโลกในแง่ดีท่าน คิดว่าเป็นธรรมดาอยู่เองที่คนจัดอาหารจะต้องเหนื่อยมากเป็นพิเศษ เพราะต้องอยู่หน้าเตาไฟ ต้องตื่นแต่ดึกแต่ดื่นไปหา ซื้ออาหารมา นอกจากการปรุงอาหารอยู่หน้าเตาไฟจะร้อนแล้ว ยังต้องเหน็ดเหนื่อยจัดแจกอาหารอีก ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะให้อาหารด้วยกิริยาอาการอย่างไรก็ตาม หน้าที่ของท่านคือรับประทานอาหารของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เพื่อให้มีแรงปฏิบัติธรรมและเพื่อศึกษาวิชชาธรรมกายเท่านั้น
ส่วนการที่ใครมองว่าคุณยายเป็นโรคนั้นท่านก็คิดว่า ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ปลีกตัวมาอยู่ตามลำพัง รับประทานอาหารคนเดียวจะอิ่มเวลาไหนก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจใคร ขณะที่ รับประทานก็มีเวลาสำหรับตรึกธรรมะไปด้วย เสร็จแล้วก็ไปล้างจาน ล้างจานไปด้วยขณะเดียวกันก็ล้างใจไปด้วยสะอาดทั้งจานสะอาดทั้งใจ
คุณยายท่านมีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวในการศึกษาวิชชาธรรมกายเพียงอย่างเดียว ไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวต่อเรื่อง ไร้สาระ ให้เป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาธรรมะของท่านเลย