พระไตรปิฎกเบื้องต้น

วันที่ 24 มิย. พ.ศ.2560

พระไตรปิฎกเบื้องต้น

พระไตรปิฎกเบื้องต้น , Pre-Degree , วัดพระธรรมกาย , DOU , ธรรมกาย , ปริญญาตรี , พรีดีกรี , พระพุทธศาสนา , พุทธศาสตร์ , พระไตรปิฎก , สร้างบารมี , หลวงพ่อธัมมชโย , พระไตรปิฎกคืออะไร , พระสัมมาสัมพุทธเจ้า , ความหมายของพระไตรปิฎก

1.พระไตรปิฎกคืออะไร

1.1 ความหมายของพระไตรปิฎก
     ศาสนาทุกศาสนา ย่อมมีคัมภีร์หรือตำราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่งสอนแม้เดิมจะมิได้ขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อมนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือ ก็ได้มีการเขียนการจารึกคำสอนในศาสนานั้น ๆ ไว้ เมื่อโลกเจริญขึ้นถึงกับมีการพิมพ์หนังสือเป็นเล่ม ๆ ได้คัมภีร์ศาสนาเหล่าน้ันก็มีผู้พิมพ์เป็นเล่มขึ้น โดยลำดับ

    พระไตรปิฎก หรือที่เรียกในภาษาบาลีว่า "ติปิฎก" หรือ "เตปิฎก" นั้นเป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับไตรเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ อัลกุรอานของศาสนาอิสลาม

       กล่าวโดยรูปศัพท์ คำว่า "พระไตรปิฎก" แปลว่า 3 คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำ ๆ ว่า "พระ + ไตร +  ปิฎก"

       คำว่า "พระ" เป็นคำยกย่อง แปลว่า ประเสริฐ

       คำว่า "ไตร" ในภาษาบาลีใช้คำว่า "ติ" แปลว่า 3

       คำว่า "ปิฎก" บาลีใช้คำว่า "ปิฏก" แปลได้ 2 นัย คือ

      1. หมายถึง ภาชนะ (ภาชนตโถ) เช่น ตะกร้า เป็นต้น ดังประโยคบาลีที่ว่า อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย กุทฺทาลปิฏกมาทาย แปลว่า คราวนั้นบุรุษคนหนึ่งได้ถือจอบและตะกร้ามา

      2. หมายถึง คัมภีร์ หรือตำรา (ปกรณมฺปิ ปิฏกนฺติ วุจฺจติ) อันเป็นปกรณ์ในการ บรรจุหรือจารึกคำสอน ดุจประโยคในกาลามสูตรว่า มา ปิฏกสมฺปทาเนน ท่านอย่าเชื่อเพียงเพราะอ้างตำราหรือคัมภีร์

     ดังนั้น พระไตรปิฎก จึงหมายถึง คัมภีร์หรือตำราที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะสำหรับใส่ของฉะนั้น


1.2 พระไตรปิฎกแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง
     เมื่อทราบแล้วว่า คำว่า "พระไตรปิฎก" แปลว่า 3 คัมภีร์ หรือ 3 ปิฎก จึงควรทราบต่อไปว่าสามปิฎกนั้นมีอะไรบ้าง และแต่ละปิฎกนั้น มีความหมายอย่างไร

       ปิฎก 3 นั้นแบ่งออกดังนี้
       1. วินัยปิฎก คัมภีร์ว่าด้วยวินัย หรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี

       2.สุตตันตปิฎก คัมภีร์ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่ว ๆ ไป มีประวัติและท้องเรื่องประกอบ

       3. อภิธรรมปิฎก คัมภีร์ว่าด้วยข้อธรรมล้วน ๆ หรือข้อธรรมที่สำคัญไม่มีประวัติและท้องเรื่องประกอบ

แผนผังพระไตรปิฎก

1.3 จากพระธรรมวินัยสู่พระไตรปิฎก
      จากบทพระธรรมคุณที่มีอยู่ในพระสูตรหลายสูตร เช่น ธชัคคสูตร ได้แสดงไว้ชัดว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ซึ่งแปลว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า คำว่า "พระธรรม" ในที่นี้ หมายเอาทั้งธรรมและวินัย ที่พระองค์ตรัสและบัญญัติไว้ทั้งหมดหรือคำที่ให้อุปสมบทแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาว่า สฺวากฺขาโต ธมฺโม พฺรหฺมจริยํ จรถ สมฺมทุกฺขอนฺตกิริยาย ซึ่งแปลว่า "ธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว ท่านทั้งหลายจงประพฤติ
พรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ" คำว่า "ธรรม" ในที่นี้จึงหมายเอาทั้งวินัยที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้และธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

      ต่อมาในสมัยใกล้จะปรินิพพาน มีศัพท์คู่ซึ่งพระองค์ตรัสกับพระอานนท์ก่อนจะปรินิพพาน ซึ่งปรากฏในมหาปรินิพพานสูตรว่า โย โว อานนฺท ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา ซึ่งแปลว่า "ดูก่อนอานนท์ ธรรมวินัยที่เราแสดงบัญญัติไว้แก่พวกเธอนั่นแหละจะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราสิ้นไป" มาถึงตอนนี้จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดว่า พระธรรมวินัย

      ซึ่งต่อมา พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายว่า คำว่า "ธรรม" นั้น หมายถึง นิกายห้า คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกายสังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย แต่ขุททกนิกายนั้น ได้รวมเอาอภิธรรมหรือสัตตัปปกรณ์เข้าไว้ด้วย

   แม้การสังคายนาครั้งแรก พระมหากัสสปเถระก็กล่าวชักชวนพระอรหันต์ทำการสังคายนาพระธรรมวินัยว่า หนฺท มยํ อาวุโส ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายาม แปลว่า เชิญเถอะท่านอาวุโสเราจะสังคายนาพระธรรมและพระวินัยกัน (7/614/380)

     คำว่า "พระไตรปิฎก" ยังไม่มีกล่าวไว้ชัดเจน คงเรียกรวมว่า พระธรรมวินัย ดังได้กล่าวแล้ว แต่มีข้อความหลายแห่งในพระธรรมวินัยและพระสูตรที่มีคำว่า พระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรมไว้ครบ เช่น ในมหาวิภังค์สังฆาทิเสสข้อที่ 7 ได้กล่าวไว้ว่า

      ทพฺโพ มลฺลปุตฺโต ภาคานํ ภาคานํ ภิกฺขูนํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ., เย เต ภิกฺขู สุตฺตนฺติกา, เตสํ  เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ, เต อญฺญมญฺญ สุตฺตนฺตํ สงฺคายิสฺสนฺตีติ, เย เต ภิกฺขู วินยธรา, เตสํ  เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ เต อญฺญมญฺญ วินยํ วินิจฺฉินิสฺสนฺตีติ, เย เต ภิกฺขู อาภิธมฺมิกา, เตสํ  เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ เต อญฺญมญฺญ อภิธมฺมํ สากจฺฉสฺสนฺตีติ

     แปลว่า "พระทัพพะมัลลบุตรย่อมจัดเสนาสนะไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แก่ภิกษุทั้งหลายที่มีลักษณะคล้าย ๆ กัน กล่าวคือ ภิกษุเหล่าใดศึกษาเล่าเรียนพระสูตร ก็จัดเสนาสนะให้ภิกษุเหล่านั้นในกลุ่มเดียวกัน ด้วยคิดว่า พวกเธอจะได้สอบสวนพระสูตรกะกันและกันผู้ทรงวินัยก็จัดเสนาสนะไว้กลุ่มเดียวกัน ด้วยคิดว่า ภิกษุเหล่านั้นจะได้วินิจฉัยข้อวินัยกะกันและกัน ภิกษุเหล่าใดเล่าเรียนพระอภิธรรม ก็จัดเสนา นะสำหรับภิกษุเหล่านั้นไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน ด้วยคิดว่า ภิกษุเหล่านั้นจักสนทนาพระอภิธรรมกะกันและกัน" (1/543/369)

      อนึ่ง ในภิกขุณีวิภังค์ ฉัตตุปาหนวรรคสิกขาบทที่ 12 ว่า

      ปญหํ ปุจฺเฉยยาติ สุตฺตนฺเต โอกาสํ การาเปตฺวา วินยํ วา อภิธมฺมํ วา
ปุจฺฉติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส ฯ วินเย โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา อภิธมฺมํ วา
ปุจฺฉติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส ฯ อภิธมฺเม โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา วินยํ วา
ปุจฺฉติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส ฯ

     แปลว่า "ภิกษุณี ผู้ถามปัญหากับภิกษุ ขอโอกาสอันใด ต้องถามอันนั้น ถ้าขอโอกาสถามพระสูตรแล้ว กลับไปถามพระวินัยก็ดี ถามพระอภิธรรมก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์ขอโอกาสถามพระวินัย กลับไปถามพระสูตร หรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์ขอโอกาสถามพระอภิธรรม กลับไปถามพระสูตรหรือพระวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์" (3/477/255)

      ยังมีข้อความใน อปทานอุบาลีเถรวัตถุ หน้า 63 มีว่า

สุตฺตนฺตํ อภิธมฺมญฺจ   วินยฺจาปิ เกวลํ
นวงฺคํ พุทฺธวจนํ         เอสา ธมฺม ภา คว

      แปลว่า "(ข้าแต่พระจอมมุนี) พระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย รวมพุทธวจนะมีองค์ 9 ทั้งสิ้นนี้ เป็นธรรม ภาของพระองค์" ฯลฯ

     ข้อความดังกล่าวแสดงถึงการเรียกพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ได้มีมานานแล้ว แต่ยังไม่แยกออกชัด เป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกอย่างที่ปรากฏในยุคตั้งแต่สังคายนาครั้งที่ 3 เป็นต้นมา ดังบาลีว่า

       เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ นาม พุทฺธสฺส ภควโต ธมฺมวินยสฺส โมธานํ โหติ

       แปลว่า "พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก เป็นที่รวมแห่งพระธรรมวินัยขององค์ภควันต์พุทธเจ้า"


1.4 จากมุขปาฐะสู่การจารึกใบลาน
    ตำราที่บรรจุพระพุทธพจน์ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ได้สังคายนาหรือรวบรวมไว้เป็นหมวด เรียกว่า พระไตรปิฎก ได้ถ่ายทอดกันมาโดยระบบมุขปาฐะ หรือท่องจำ (Oral Tradition) ดุจสมัยก่อน ๆ ในประเทศไทยของเราก็มีการนิยมต่อหนังสือเจ็ดตำนานสิบสองตำนาน หรือท่องพระปาติโมกข์ โดยอาศัยการท่องปากต่อปาก จากครูบาจารย์จนจำได้แม่นยำ และสืบต่อกันมาถึงอนุชนรุ่นหลัง พระไตรปิฎกก็เช่นกัน ตั้งแต่สังคายนาครั้งแรกศิษย์สายพระอุบาลีก็จดจำพระวินัยปิฎก ศิษย์สายพระอานนท์ก็จดจำพระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกสืบ ๆ กันมาโดยมิได้ขาดสาย

      ตัวอย่างสายพระอุบาลี ที่ท่านแสดงไว้ตามลำดับ ออกนามเฉพาะหัวหน้าสายดังนี้

     การท่องจำนี้ได้กระทำมาจนถึงสังคายนาครั้งที่ 5 ในลังกาทวีป (ถ้านับเฉพาะที่ทำสังคายนาในศรีลังกา ก็เป็นครั้งที่ 2) ประมาณ พ.ศ. 433 ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย โดยมีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน ทำที่อาโลกเลณสถาน ณ มตเลชนบทหรือที่เรียกกันว่ามลัยชนบทสาเหตุของการจารึกพระพุทธวจนะลงในใบลานก็เพราะว่า ถ้าจะใช้วิธีท่องจำพระพุทธวจนะต่อไป ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะปัญญาในการท่องจำของกุลบุตรเสื่อมถอยลง นอกจากนั้น พระสงฆ์ยังได้รับความกระทบกระเทือนจากภัยธรรมชาติและภัยสงครามอยู่เนือง ๆ ทำให้ไม่มีเวลาท่องจำพระพุทธวจนะ จะทำให้ช่วงการสืบต่อขาดลงได้มีคำกล่าวว่า ในการจารึกครั้งนี้ได้จารึกอรรถกถาลงไว้ด้วย

    มีผู้สงสัยว่าสมัยพุทธกาลคนไม่รู้จักการเขียนหนังสือหรืออย่างไร  จึงไม่ปรากฏว่ามีตำรับตำราจารึกไว้เป็นหลักฐาน แม้บริขารที่สำคัญของพระภิกษุก็ไม่ระบุหนังสือไว้ด้วย

     พระมหาเสฐียรพงษ์ ปุณฺณวณฺโณ ได้ประมวลทัศนะนี้ไว้ในหนังสือภาษาศาสตร์ ภาษาบาลีไว้ว่า "ความจริงการเขียนหนังสือ น่าจะมีมาก่อนพุทธกาลแล้ว ในพระไตรปิฎกเองก็มีข้อความเอ่ยถึงการขีดเขียนเป็นครั้งคราว เช่น ตอนหนึ่ง ห้ามภิกษุเล่นเกม อักขริกา ได้แก่การทายอักษรในอากาศ หรือบนหลังเพื่อนภิกษุ วิชาเขียนหนังสือ (เลขา) ได้รับยกย่องว่าเป็นศิลปะพิเศษอย่างหนึ่งสิกขาบทบางข้อห้ามภิกษุณีเรียนศิลปะทางโลก หนึ่งในศิลปะเหล่านี้คือวิชาเขียนหนังสือ ในบทสนทนาภายในครอบครัว พ่อแม่ปรารภว่า จะให้บุตรเรียนวิชาอะไรดี ถ้าจะให้เขียนหนังสือ บุตรก็อาจยังชีพอยู่ได้สบาย แต่ก็อาจเจ็บนิ้วมือ ถ้าภิกษุเขียนหนังสือพรรณนาคุณของอัตวินาตกรรม (การฆ่าตัวตายเอง) ปรับทุกกฏทุกตัวอักษรถ้ามีผู้อ่านพบข้อความนั้นแล้ว เห็นดีเห็นงามด้วย แล้วฆ่าตัวตายตามนั้น ปรับอาบัติปาราชิก"

    หลักฐานเหล่านี้แสดงว่า อักษรหรือการเขียนมีมาก่อน มัยพระพุทธองค์แล้ว แต่ที่พระพุทธองค์ไม่นิยมใช้ หันมาใช้วิธีมุขปาฐะแทน น่าจะทรงเห็นประโยชน์อานิสงส์บางสิ่งบางอย่าง หรือว่าระบบการขีดเขียนยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าที่ควร ทั้งยังไม่มีอุปกรณ์การขีดเขียนเพียงพอ ก็ยากที่จะทราบได้ แต่ข้อที่น่าคิดอยู่บ้าง คือ วิธีเรียนด้วยมุขปาฐะนี้ นอกจากจะสร้างสัมพันธภาพอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้เรียนและผู้ อนแล้ว ยังเป็นการสร้างสมาธิฝึกจิตของผู้เรียนไปในตัวด้วย นักปราชญ์ยุคก่อนที่มีความคิดเช่นนี้ก็มีไม่น้อย เปลโตเคยกล่าวไว้ว่า "การคิดอักษรขึ้นใช้แทนการท่องจำ ทำให้มนุษย์ขาดอานุภาพแห่งการทรงจำ คือ แทนที่จะจดจำจากอินทรีย์ภายใน ต้องอาศัยสัญลักษณ์ภายนอกเข้าช่วย"

 

 

*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ PD 005 พระไตรปิฎกเบื้องต้น
หนังสือเรียน หลักสูตร Pre-Degree

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.033767584959666 Mins