ความตระหนี่ เป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ

วันที่ 25 กค. พ.ศ.2560

    ความตระหนี่ เป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ,วาไรตี้,บทความประจำวัน

 

    ความตระหนี่ เป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ

     
      การปฏิบัติธรรมเปีนกรณียกิจ คือ กิจที่ควรทำอย่างยิ่ง เป็นกิจที่ติดตัวเรา พอมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะต้องบรรลุวัตุถประสงค์ของชีวิต คือไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมให้ได้ ขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปให้ได้ นี่เป็นวัตถุประสงค์ของชีวิตหรืออย่างน้อยก็มีชีวิตอยู่ อยู่บนฐานแห่งความสุขที่แท้จริง คือชีวิตของเราจะท้องปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง เข้าถึงพระร้ตนตร้ยในตัวของเรา
 
    การที่จะให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวคือ พุทรรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะนั้น จะต้องปรับทั้งกายและใจ กายก็ผ่อนคลาย ใจก็จะต้องผ่องใส เบาสบาย ไม่มีอะไรเปีนเครื่องผูกพัน เครื่องกังวลใจ ใจจะต้องว่างเปล่า จากความคิดปรุงแต่งทั้งมวล ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้เราปล่อยวางจากเครื่องกังวลทั้งหมด ไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร ท่านทรงสอนเอาไว้ตอนหนึ่งใน ขุทกสูตรว่า "ให้พวกเราทั้งหลายจงดูผู้ใม่รู้ที่ถือ เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าเป็นของของตน กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ เหมือนปลาในแอ่งนั้าที่กำลังจะแห้งขอดอย่างนั้น"

   ส่วนคนที่มีปัญญา เมื่อเห็นโทษในการยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็ไม่ประพฤติเป็นคนถือมั่นว่าสิ่งทั้งหลายเป็นของของเรา ไม่มีความติดข้องอยู่ในภพทั้งหลายแล้ว ก็กำจ้ดความพอใจในรูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ แล้วก็ข้ามห้วงกิเลสคือโอฆะ เป็นมุนีผู้รู้ที่ไม่ติดอยู่ในอารมณ์อันน่าใคร่น่าพอใจถอนลูกศร คือ กิเลสออกได้เป็นผู้มีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท

     พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เราดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ให้เข้าไปยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เพราะว่านสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น  มีความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นทุกข์ แล้วก็ไม่ใช่ของของเรา บังคับบัญชาก็ไม่ได้ ควบคุมก็ไม่ได้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่าว่าแต่ตัวของเราเลยแม้โลกนี้ โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ก็ยังสลายได้เมื่อสินกัปไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายหมด เกิดไฟบรรลัยกัลป์ นํ้าบรรลัยกัลป์ ลมบรรลัยกัลป์ แตกสลายหมด ภูเขา ต้นไม้ ตึกรามบ้านช่อง คนสัตว์สิ่งของ สูญสลายหายไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เมื่อโลกยังเป็นอย่างนี้ ร่างกายของเรา สิ่งของที่เราถือว่าเป็นของของเรา ทำไมจะไม่เสื่อมสลาย

      ที่พระองค์ทรงสอนอย่างนี้ ก็เพื่อให้เราได้มองมุมกลับตรงกันข้ามว่า เมื่อเราอยู่ในโลกนี้ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ไม่เป็นสาระแก่นสาร เราก็ควรจะมุ่งแสวงหาสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุข แล้วก็เป็นอิสระจากกิเลสอาสวะ จากการบังคับบัญชาของพญามาร เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา สิ่งที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ก็คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ๓ อย่างนี้แหละ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึกอันสูงสุดของพวกเราทั้งหลาย

    ดังนั้นเราก็จะต้องทำความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ในพุทธรัตนะ ในธรรมรัตนะ แล้วก็ในสังฆรัตนะ ต้องมีความเลื่อมใสในรัตนะทั้ง ๓ นี้อย่างเต็มเปียมที่เรียกว่า ยสฺส สฑฺธๆ ตถาคเต เป็นต้น คือมีความเลื่อมใสไม่กลับกลอก ไม่ใช่วันนี้เลื่อมใส พรุ่งนี้ก็ไม่เลื่อมใส ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องไม่กลับกลอก ตั้งมั่นอยู่ในพระตถาคตเจ้า ในพระธรรม แล้วก็ในพระสงฆ์

   บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นคนไม่ขัดสน เพราะมีพระรัตนตรัยเป็นอริยทรัพย์เครื่องปลื้มใจอยู่ภายใน คนที่ขัดสนก็มีความรู้สึกว่าเรานี่มีทรัพย์ใม่พอ เพราะฉะนั้น จึงมีความรู้สึกพร่องอยู่เป็นนิจ แต่ว่าเมื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในแล้ว ความรู้สึกชนิดนั้นก็หมดสิ้นไป มีแต่ความปลื้มอกปลื้มใจอยู่ภายใน ไม่สนใจอะไรเลย ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากพระรัตนตรัยอย่างเดียว

     เหมือนอย่างท่านสุปปพุทธกุฏ ท่านเป็นคนยากจนเข็ญใจ มีโรคภ้ยไข้เจ็บที่คนเขารังเกียจ แต่ว่าท่านเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เพราะว่าท่านเข้าถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยไม่กลับกลอก พระอินทร์ท่านก็มาลองใจดูว่า คำว่าเชื่อมั่นโดยไม่กลับกลอก คือ ยสฺส สทฺธา ตถาคเต จะจริงแค่ไหน

    ท่านก็เลยมาลองใจท่านสุปปพุทธกุฏฐิ โดยท่านกล่าวว่า ถ้าท่านสุปปพุทธกุฏฐิกล่าวว่า พระรัตนตรัยไม่มีจริง เขาโกหกก้นมา เขาหลอกกันมา หลอกให้เราปฎิบัต แต่จริงๆ แล้วไม่มี ถ้าหากกล่าวว่า พระรัตนตรัยไม่มี จะยอมยกสมบัติอันเป็นทิพยํให้ แต่ท่านสุปปพุทธะท่านไม่ยอม ท่านมีใจมั่นคงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เพราะท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย อย่างอื่นท่านไม่สนเลย เพราะว่าได้เข้าถึงแล้วมีความสุขปลื้มอกปลื้มใจทีเดียว

     ท่านก็ถามว่านี่ใครมาพูด พระอินทร์ก็บอกว่า นึ่พระอินทร์ ท่านตอบว่า พระอินทร์ทำไมพูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นให้ไปห่างๆ เพราะว่าท่านมีความเชื่อมั่นใน พระรัตนตรัยไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน เพราะเป็นอันหนึ่งอันเดียวแล้ว หายสงสัยแล้วว่าพระรัตนตรัยในตัวนั้นมีจริงๆ พระอินทร์ได้ฟังก็ปลื้มอก
ปลื้มใจชื่นใจว่า ท่านสุปปพุทธกุฎฐินี่ท่านเข้าถึงจริงๆ ก็ดีใจ

      พวกเราก็เช่นเดียวก้น ต้องให้ใจมั่นเหมือนอย่างท่านสุปปพุทธะ คือจะต้องหยุดนึ่งลงไปตรงกลางกายฐานที่ ๗ ให้ถูกส่วนแล้วก็ถูกที่ตั้งของพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จนกระทั่งรัตนะทั้ง ๓ ปรากฏใสชัดใสแจ่มในกลางกายเรา อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่ามีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ถ้าเป็นพระเป็นเณรเข้าถึงอย่างนี้ ก็ชื่อว่าเป็นอายุพระศาสนา เป็นเนี้อนาบุญ ถ้าอุบาสกอุบาสิกาเข้าถึงอย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นอุบาสกอุบาสิกาที่แท้จริง

ความตระหนี่

     เราจะเอาชนะความตระหนึ่ที่อยู่ในใจเราและของมวลมนุษยชาติ ความตระหนี่เป็นภัยอย่างร้ายแรงทีเดียว ความหวงแหนเสียดายทรัพย์ จนกระทั่งกลายมาเป็นความโลภในภายหลัง เป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ ทำให้เกิดความอัตคัตขาดแคลน ความอดอยากยากจนเกิดขึ้นเพราะความตระหนี่

      เพราะการที่เราจะได้สมบัติมานั้นมีทางอยู่ทางเดียวก็คือ ต้องให้ไปก่อน ต้องไม่หวงแหน ไม่ตระหนี่ จะให้กับสัตว์เดรัจฉานก็ดี จะให้กับมนุษย์ที่ทุศีลก็ดี หรือจะให้ก้มมนุษย์ผู้มีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็ดี จนกระทั่งผู้ที่ได้ฌานสมาบัติ หรือโคตรภูบุคคล ตลอดจนพระอริยเจ้า ทักขิไณยบุคคล แค่ให้สัตว์เดรัจฉานด้วยข้าวด้วยนํ้ายังมีอานิสงส์ไม่อดอยากยากจนไปถึง ๑๐๐ ชาติ

      เพราะฉะนั้นถ้าทำถูกจุดแห่งบุญ หลักแห่งบุญ ทักขิไณยบุคคล บุญนั้นเกินควรเกินคาดเป็นอสงไขยอัปปมาณ้ง คือนับก้นไม่ไหวคำนวณกันไม่ได้ ว่าจะได้สักเท่าไหร่ แต่ก็เกินควรเกินคาด ครอบฟ้าครอบจักรวาลกันไปเลยทีเดียว

  ทุกคนมีสิทธิที่จะได้สมบ้ติจ้กรพรรติทั้งนั้น ถ้าไม่มีความตระหนี่หวงแหนและทำให้ถูกเนั้อนาบุญ ถูกทักขิไณยบุคคลได้ทั้งนั้น เรื่องนี้มีมาแล้วในอดีตที่ผ่านมา และมีบันทึกไว้ในพระไตรปีฎก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ระลึกชาติหนหลัง พระองค์ไปพบโดยตัวของพระองค์เอง สมัยเมื่อตั้งความปรารถนาจะเป็นพระสัมมาลัมพุทธเจ้า อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ ก็สร้างมหาทานบารมีเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อน เมื่อสร้างไปแล้วบุญกุศลก็เกิดขึ้น มีโภคทรัพย์สมปบัติได้สร้างบุญต่อไปอีก จากสมบัติเล็กๆ ก็เป็นสมบัติใหญ่ขึ้น จากต้องทำมาหากิน ทำมาค้าขายด้วยความยากลำบากแล้วจึงจะได้มาสร้างบารมี

      จนกระทั่งตอนหลังๆ ชาติท้ายๆ ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว พอบุญเต็มเปี่ยม บารมีเต็มเปี่ยม สมบัติจักรพรรดิเกิดขึ้นเลยในทุกทิศทาง มีขุมทรัพย์ทั่ง ๔ เกิดขึ้น มีต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้น มีปราสาทแก้ว เป็นต้น และได้ปกครองในทวีปทั้ง ๔ สมบัติจักรพรรดิใคร ๆ ก็สามารถที่จะครอบครองได้ ถ้าไม่มีความตระหนี่และทำถูกเนื้อนาบุญ

       เพราะฉะนั้น ให้ตั้งใจมั่นให้ดีว่า เราจะต้องไปเอาสมบัติจักรพรรดิมาใช้สร้างบารมีให้ได้ แล้วก็จะต้องให้มวลมนุษยชาติเลิกอดอยากยากจน เลิกอัดคัด ขาดแคลนสมบ้ติ เราจะต้องไปตามรักษาสมบัติเขา ไปตามสมบ้ติมาให้เขาใช้ แล้วก็ตามรักษาสมบัติของเขาไปทุกภพทุกชาติ ให้เขาได้สรัางบารมียิ่งๆขึ้นไป

      จนกระทั่งบารมีเต็มเปี่ยมไม่ต้องทำมาหากิน สมบัติรอคอยอยู่ได้จะเอา ไว้สร้างบารมีต่อไป คือศีลบารมี เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาบารมี ครบ ๑๐ ท้ศบริบูรณ์ กระทั่งสร้างยิ่งขึ้นไปเป็นอุปบารมีเป็นปรมัตถบารมี เริ่มต้นมาจากมหาทานบารมี ถ้าได้สมบัติจักรพรรดิมา เราก็สร้างบารมี ๓๐ ทัศได้เร็วขึ้นง่ายขึ้น


 

จากหนังสือ แม่บท เดินทางข้ามวัฏสงสาร

วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๓       

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0015593012173971 Mins