เรื่อง หมูเขี้ยวตัน (ภาคแยกของเรื่อง ราชันบัลลังก์เลือด)
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงรบชนะพระเจ้าอชาตศัตรู เรื่องราวนั้นเป็นที่ปรากฏไปทั่วในหมู่ภิกษุสงฆ์ ครั้นวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ฟังว่าพระเจ้าโกศลทรงชนะพระเจ้าอชาตศัตรู เพราะการวิจารณ์ของพระธนุคคหติสสเถระ.
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันเรื่องอะไร?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์กำลังสนทนากันเรื่องที่พระราชาปเสนทิโกศลทรงชนะพระเจ้าอชาตศัตรู เพราะการวิจารณ์ของพระธนุคคหติสสเถระ เรื่องนี้แหละพระเจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายกำลังสนทนากันอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในอดีต พระธนุคคหติสสะก็เป็นผู้ฉลาดในการจัดกระบวนรบมาแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในป่า.
ครั้งนั้น ช่างไม้คนหนึ่งออกจากหมู่บ้านช่างไม้ ซึ่งตั้งอาศัยเมืองพาราณสี ไปป่าเพื่อต้องการไม้ เห็นลูกสุกรตกหลุมอยู่ จึงเอาไปเลี้ยงไว้ในเรือน ลูกสุกรนั้นเจริญเติบโต มีร่างกายใหญ่ มีเขี้ยวโง้งเป็นสัตว์เพรียบพร้อมไปด้วยความฉลาดเฉลียว
ก็เพราะนายช่างไม้นำมาเลี้ยงไว้จึงปรากฏชื่อว่าวัฑฒกีสุกร วัฑฒกีสุกรนั้น ไม่ทำตนให้เป็นผู้ที่ไร้ประโยชน์ เมื่อช่างไม้ถากไม้ก็เอาจะงอยปากพลิกไม้ให้ เอาปากคาบนำมีด ขวาน สิ่ว และฆ้อนมาให้ ช่วยยุดปลายเส้นบรรทัดให้
ต่อมา ช่างไม้เกรงว่า หากปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ คนอื่นจะฆ่ามันกินเสียก่อน. จึงนำวัฑฒกีสุกรนั้นไปปล่อยในป่า ฝ่ายวัฑฒกีสุกรก็เข้าป่าตรวจดูสถานที่อันผาสุกสำราญปลอดภัย ได้เห็นซอกเขาใหญ่ในระหว่างภูเขาแห่งหนึ่ง บริบูรณ์ด้วยเหง้ามันและรากไม้
เป็นสถานที่อยู่น่าผาสุกคราคร่ำด้วยสุกรหลายร้อย.
สุกรเหล่านั้นเห็นวัฑฒกีสุกรแล้ว จึงพากันเข้ามาหา ฝ่ายวัฑฒกีสุกรนั้นก็กล่าวกะสุกรเหล่านั้นว่า เราเที่ยวมองหาพวกท่านอยู่เทียว บัดนี้เราได้พบพวกท่านแล้ว อนึ่ง สถานที่นี้ก็เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ และเราเองก็คิดว่าจะอยู่ในที่นี้นี่แหละ.
สุกรทั้งหลายกล่าวว่า จริงอยู่ สถานที่นี้น่ารื่นรมย์ แต่ก็มีอันตรายอย่างยิ่ง
วัฑฒกีสุกรกล่าวว่า เมื่อเราได้เห็นพวกท่าน ก็พอจะรู้ถึงข้อนั้นอยู่ แต่ในเมื่อพวกท่านอยู่ในที่อันอุดมสมบูรณ์อย่างนี้ โรคภัยไข้เจ็บในร่างกายของท่านก็ไม่มี พวกท่านมีภัยอะไรในที่นี้หรือ.
มีเสือโคร่งตัวหนึ่ง มาตอนเช้าตรู่ ตะครุบเอาสุกรตัวใดตัวหนึ่งที่มันพบเห็นเอาไป
แล้วเสือโคร่งนั้นมันตะครุบเอาไปเป็นประจำทุกวัน หรือเว้นวันบ้าง
มันตะครุบเอาเป็นประจำทุกวันเลย.
เสือโคร่งนั้นมีตัวเดียวหรือ
มีตัวเดียวเท่านั้น
พวกท่านมีมากถึงเพียงนี้ ไม่สามารถจะเอาชนะเสือโคร่งตัวเดียวได้หรือ ?
เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเอาชนะมัน เพราะมันเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและมีกำลังมากกว่าเรามากมายนัก เพียงได้เห็น พวกเราก็กลัวจนขนพองสยองเกล้าแล้ว จะมีใครขวัญกล้าบังอาจไปสู้กับมันได้เล่า
ในเมื่อพวกท่านไม่กล้า เรานี่แหละจักจับมันเอง
ท่านแน่ใจหรือ
แน่ใจสิ ขอเพียงพวกท่านกระทำตามคำของเราอย่างเดียว เสือโคร่งตัวนั้นมันอยู่ไหน
มันอยู่ที่ภูเขาลูกโน้นแน่ะ
คืนนั้นเอง วัฑฒกีสุกรสั่งให้จัดกระบวนสู้รบ โดยกล่าวกับสุกรทั้งหลายว่า ชื่อว่าการสู้รบมี ๓ กระบวน คือ กระบวนปทุมพยูหะ กระบวนจักกพยูหะ และกระบวนสกฏพยูหะ แล้วจัดกระบวนปทุมพยูหะ เป็นกระบวนรบเพื่อต่อสู้กับเสือโคร่ง.
วัฑฒกีสุกรรู้จักที่อันเป็นชัยภูมิ เพราะฉะนั้นจึงคิดว่า ควรจัดการสู้รบในที่นี้ จึงวางสุกรชั้นพ่อแม่ที่มีลูกอ่อนไว้ในที่วงในสุดของสุกรเหล่านั้น วางนางสุกรปูนกลางล้อมสุกรชั้นพ่อแม่ที่มีลูกอ่อนเหล่านั้น วางสุกรหนุ่มล้อมนางสุกรวัยปูนกลางเหล่านั้น
วางสุกรแก่ล้อมสุกรหนุ่มเหล่านั้น วางสุกรที่มีเขี้ยวยาวล้อมสุกรแก่เหล่านั้น แล้ววางสุกรที่มีพละกำลังสามารถในการสู้รบ จัดเป็นหมวดหมู่ในที่นั้น หมู่ละ ๑๐ และ ๒๐ ตัว ล้อมพวกสุกรที่มี เขี้ยวยาวเหล่านั้น. ให้ขุดหลุมกลมไว้หลุมหนึ่ง
ข้างหน้าที่ที่ตนยืนและให้ขุดหลุมหนึ่งไว้ข้างหลังที่ที่ตนยืน ให้มีลักษณะเหมือนกระด้งฝัดข้าว ลาดลึกไปโดยลำดับคล้ายเงื้อมเขา. เมื่อวัฑฒกีสุกรพาสุกรนักรบประมาณ ๖๐-๗๐ ตัว เที่ยวจัดแจงการงานในที่นั้น ๆ พร้อมกับพูดปลอบขวัญว่า
พวกท่านอย่ากลัวเลย อรุณแห่งแสดงอาทิตย์อุทัยก็ปรากฏขึ้น.
ฝ่ายเสือโคร่งลุกขึ้น รู้ว่าได้เวลาแล้ว ก็ไปยืนที่พื้นภูเขาซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าสุกรเหล่านั้น แล้วจ้องตาแลดูสุกรทั้งหลาย.
วัฑฒกีสุกรให้อาณัติสัญญาณแก่สุกรเหล่านั้นว่า พวกท่านจงจ้องตามันตอบ สุกรเหล่านั้นก็จ้องตาตอบ.
เสือโคร่งอ้าปากหายใจ ฝ่ายสุกรทั้งหลายก็ได้กระทำเหมือนอย่างนั้น เสือโคร่งถ่ายปัสสาวะ พวกสุกรก็ถ่ายปัสสาวะบ้าง.
ไม่ว่าเสือโคร่งจะกระทำกิริยาอาการอย่างใด สุกรทั้งหลายก็ทำกิริยาอาการอย่างนั้น. เสือโคร่งคิดว่า เมื่อก่อนเพียงเรามองดูสุกรเหล่านี้ก็พากันเผ่นหนีไปแล้ว แต่วันนี้มันไม่หนีกลับเป็นศัตรูตอบเรา กระทำล้อเลียนกิริยาอาการที่เรากระทำ เกิดอะไรขึ้นนี่
มันเหลือบไปเห็นวัฑฒกีสุกรยืนสั่งการสุกรเหล่านั้นอยู่ คิดว่า วันนี้ความปราชัยจะปรากฏแก่เราเป็นแน่ เสือโคร่งคิดดังนี้แล้ว ก็หมดกำลังใจจะต่อสู้ จึงได้กลับไปยังที่อยู่ของตน
ในที่ไม่ไกลจากที่อยู่ของเสือโครงเท่าใดนัก มีชฎิลโกงคนหนึ่งคอยกินเนื้อที่เสือโคร่งคาบเอามา ชฎิลโกงนั้น เห็นเสือโคร่งกลับมามือเปล่า เกิดความแคลงใจ จึงถามไปว่า ดูก่อนเสือโคร่ง วันก่อน ๆ เจ้าเคยย่ำยีหมูทั้งหลายในดินแดนแถบนี้ แล้วนำเอาหมูตัวอ้วน ๆ มา
แต่บัดนี้ เจ้าเดินซบเซามาผู้เดียว วันนี้ กำลังกายของเจ้าไม่มีหรือ.
เสือโคร่งได้ฟังดังนั้น จึงกล่าว ว่า จะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไรได้ วันก่อน ๆ หมูเหล่านั้นเพียงเห็นข้าพเจ้าก็กลัวขนพองสยองเกล้า ต่างบ่ายหน้าหนีไปหาที่ซ่อนเร้นคนละทิศละทาง แต่บัดนี้ พวกมันกลับรวมตัวกันเป็นหมวดเป็นหมู่ อยู่ในที่ชัยภูมิดี ยากที่จะย่ำยีได้.
ชฎิลโกงประสงค์จะยังความอุตสาหะเสือโคร่งให้เกิดจึงกล่าวว่า อย่ากลัวเลย ไปเถอะ เมื่อเจ้าขู่คำรามแล้ววิ่งเข้าไป พวกมันจักกลัว พากันแตกหนีไป ไม่มีใครกล้าสู้กับเจ้าจริงๆ หรอก
เมื่อชฎิลโกงปลุกปลอบกำลังขวัญให้เกิดความอุตสาหะ เสือโคร่งจึงมีใจกล้าหาญกลับไปยืนที่พื้นภูเขาอีกครั้ง
วัฑฒกีสุกรยังคงยืนอยู่ระหว่างหลุมทั้งสอง พวกสุกรทั้งหลายร้องบอกมาว่า นาย อ้ายมหาโจรมันมาอีกแล้ว.
วัฑฒกีสุกรกล่าวว่า อย่ากลัว อย่ากลัว เราจักจับมันเดี๋ยวนี้.
เสือโคร่งขู่คำรามแล้วกระโจนขึ้นเบื้องบนวัฑฒกีสุกร.
ขณะที่เสือโคร่งกระโจนเข้าใส่กำลังจะถึงตนนั้น วัฑฒกีสุกรก็กลิ้งตัวหลบลงไปในหลุมที่ขุดไว้ตรงกันข้าม สวนทางมาของเสือโคร่ง เสือโคร่งไม่อาจยั้งความเร็วไว้ได้ จึงถลำตกลงไปในปากหลุมอันคับแคบที่ขุดขวางไว้ นอนหมดแรงในหลุมนั้นนั่นเอง
วัฑฒกีสุกรขึ้นจากหลุมรีบไปโดยเร็วดุจสายฟ้า เอาเขี้ยวขวิดเสือโคร่งเข้าในระหว่างขาอ่อน ฉีกผ่าไปจนถึงม้าม เอาเขี้ยวพันเนื้อ ออกมาวงรอบหัวเสือโคร่งแล้วยกขึ้นทิ้งออกไปนอกหลุม ร้องออกไปว่า ท่านทั้งหลายจงจับปัจจามิตรของพวกท่าน.
พวกสุกรที่มาก่อนก็ได้กินเนื้อเสือโคร่ง พวกที่มาภายหลังกล่าวว่าเนื้อเสือโคร่งเป็นอย่างไร ? จึงเที่ยวดมปากของสุกรเหล่านั้น.
สุกรเหล่านั้นต่างก็ยังไม่ยินดีเท่าใดนัก วัฑฒกีสุกรเห็นอาการของสุกรเหล่านั้น จึงกล่าวว่า เพราะเหตุไรหนอ ? พวกท่านจึงไม่ยินดี.
นาย จะมีประโยชน์อะไรกับการฆ่าเสือโคร่งเพียงตัวเดียว ยังมีชฎิลโกงอีกคนหนึ่ง ซึ่งสามารถจะนำเอาเสือโคร่งตัวอื่น ๆ มาได้ ตั้ง ๑๐ พวกสุกรตอบ
ชฎิลโกงนั้นคือใคร ?
ดาบสทุศีลคนหนึ่ง นาย
วัฑฒกีสุกรกล่าวว่า แม้เสือโคร่งเราก็ยังฆ่าได้ ดาบสทุศีลนั้นจะพออะไรเรา มาเถิดท่านทั้งหลาย พวกเราจักจับดาบสทุศีลนั้น ว่าแล้วก็ไปพร้อมหมู่สุกร.
ฝ่ายดาบสโกง เมื่อเสือโคร่งชักช้าอยู่ก็คิดว่า พวกสุกรจับเสือโคร่งไปกระมังหนอ จึงเดินสวนทางไปได้เห็นสุกรทั้งหลายกำลังเดินมา จึงถือเอาบริขารของตนวิ่งหนีไป เมื่อเห็นสุกรเหล่านั้นติดตามข้างหลัง จึงทิ้งบริขารทั้งหลายแล้วรีบขึ้นต้นมะเดื่อไปโดยเร็ว.
สุกรทั้งหลายกล่าวว่า นาย บัดนี้ดาบสตัวแสบหนีขึ้นต้นไม้ไปแล้ว.
หนีขึ้นต้นไม้อะไร ?
ต้นมะเดื่อ นาย.
วัฑฒกีสุกรจึงสั่งการว่า นางสุกรจงไปนำน้ำมา ลูกสุกรจงขุด สุกรที่มีเขี้ยวยาวจงกัดราก ฝ่ายสุกรที่เหลือจงล้อมรักษาไว้เมื่อสุกรเหล่านั้นกระทำการอยู่อย่างนั้น ตนเองก็งัดรากแก้วของต้นมะเดื่อ ไม่นานต้นมะเดื่อล้มลง ประดุจคนเอาขวานฟันฉะนั้น.
พวกสุกรที่ยืนล้อมอยู่ ก็วิ่งรี่เข้าใส่ชนเองจนชฎิลโกงล้มลงบนพื้น แล้วกัดเนื้อให้กระจุยกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วกัดกินจนถึงกระดูก เมื่องานในการกำจัดศัตรูสำเร็จลง จึงเชิญให้วัฑฒกีสุกรนั่งบนลำต้นมะเดื่อนั่นแหละ แล้วให้เอาสังข์เครื่องใช้สอยของชฎิลโกง
ไปตักน้ำมาอภิเษกแต่งตั้งให้เป็นราชา และแต่งตั้งนางสุกรรุ่นสาวตัวหนึ่งให้เป็นอัครมเหสีของวัฑฒกีสุกร
เล่ากันมาว่า ตั้งแต่นั้นมาอำมาตย์ราชเสวกทั้งหลาย เชิญเสด็จพระราชาให้นั่ง ณ บัลลังก์ไม้มะเดื่อ แล้วอภิเษกด้วยสังข์ ๓ ชนิด สืบต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้.
เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในไพรสณฑ์ เห็นความอัศจรรย์อันนั้น จึงมาปรากฏอยู่เฉพาะต่อหน้าสุกรทั้งหลาย ณ ค่าคบไม้แห่งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า
ข้าพเจ้าขอนอบน้อม แก่หมู่สุกรที่มาประชุมกัน ข้าพเจ้าได้เห็นมิตรภาพอันน่าอัศจรรย์ควรสรรเสริญ จึงขอกล่าวสรรเสริญไว้ หมูทั้งหลายผู้มีเขี้ยวเป็นกำลัง ได้ชนะเสือโคร่งด้วยสามัคคีอันใด ก็พากันพ้นมรณภัยด้วยสามัคคีอันนั้น ในเพราะกำลังแห่งเขี้ยวทั้งหลาย.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระธนุคคหติสสะ ได้เป็นวัฑฒกีสุกรในครั้งนั้น ส่วนรุกขเทวดาในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบเรื่อง หมูเขี้ยวตัน
Cr.ขุนพลไร้เงา