เรื่อง เพชฌฆาตก้ามโต
ในอดีตกาล ด้านทิศอีสานของกรุงราชคฤห์ มีบ้านพราหมณ์ชื่อว่า หลินทิยะ. ครั้งนั้น พราหมณ์ท่านหนึ่ง ครอบครองสมบัติมีที่นาให้คนทำกสิกรรมเป็นอันมาก
วันหนึ่ง เขาไปนาพร้อมกับบริวาร สั่งกรรมกรทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงหยุดพักงานก่อน แล้วเข้าไปหนองน้ำใหญ่ปลายนา เพื่อล้างหน้า.
ก็แหละในหนองน้ำนั้น มีปูตัวหนึ่งมีสีเหมือนสีทอง มีรูปงามน่าดูอาศัยอยู่. พราหมณ์เคี้ยวไม้ชำระฟันแล้ว จึงลงไปหนองน้ำนั้น ในเวลาพราหมณ์ล้างหน้าปูได้มาใกล้
พราหมณ์เห็นดังนั้นจึงยกมันขึ้นมา จับให้นอนอยู่ในระหว่างผ้าห่มของตนแล้ว เมื่อไปทำกิจที่ตนจะต้องทำในนา จึงวางมันลงไปในหนองนั้นแล้วจึงกลับไปบ้าน.
ตั้งแต่นั้นมา เมื่อพราหมณ์มาถึงนาจะไปหนองน้ำนั้นก่อน ให้ปูนอนในระหว่างผ้าห่มแล้ว จึงตรวจดูการงานภายหลัง. ด้วยเหตุนี้ ความคุ้นเคยกันระหว่างพราหมณ์กับปูนั้นจึงได้มั่นคง.
ก็แล ประสาทในนัยน์ตาของพราหมณ์นั้นปรากฏเป็นวงกลม ๓ ชั้นใสแจ๋ว.
ครั้งนั้น กาตัวเมียที่รังกาบนต้นตาลต้นหนึ่ง ที่ปลายนาของพราหมณ์นั้นเห็นนัยน์ตาของท่านแล้วอยากจะกิน จึงบอกกาตัวผู้ว่าพี่ ฉันเกิดแพ้ท้องแล้ว.
กาตัวผู้ถามว่า ธรรมดาการแพ้ท้องเป็นอย่างไร ?
ฉันอยากกินนัยน์ตาของพราหมณ์คนนั้น.
เจ้าเกิดแพ้ท้องที่เลวร้ายนัก ใครจักสามารถนำนัยน์ตาเหล่านั้นมาได้.
เจ้าไม่สามารถหรือ ?
ข้าไม่สามารถ.
ฉันรู้เรื่องนี้ ก็ที่จอมปลวกนั่นในที่ไม่ไกลต้นตาลมีงูเห่าหม้ออาศัยอยู่ เจ้าจงปรนนิบัติงูเห่านั้น พราหมณ์นั้นถูกงูนั้นกัดแล้วจักตาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จักจิกเอานัยน์ตาของเขามาได้.
กาตัวผู้รับคำว่าดีล่ะ
ตั้งแต่นั้นมากาก็เข้าไปปรนนิบัติงูเห่าหม้อ.
ในเวลาที่ข้าวกล้าที่พราหมณ์หว่านไว้ตั้งท้อง ปูก็ได้เติบโตขึ้น.
อยู่มาวันหนึ่ง งูพูดกะกาว่า สหายเอ๋ย ท่านปรนนิบัติเราเนืองนิตย์ เพราะเหตุอะไร ? เรา
จะทำอะไรให้ท่านได้.
กาบอกว่า นาย ทาสีของท่าน คือภรรยาของฉันเกิดแพ้ท้องอยากกินนัยน์ตาของเจ้าของนานั่น เรานั้นจักได้นัยน์ตาของเจ้าของนานั่น ด้วยอานุภาพของท่าน เพราะฉะนั้น เราจึงปรนนิบัติท่าน.
งูบอกให้กานั้นเบาใจว่า เรื่องนี้ยกไว้เถอะไม่ใช่เรื่องหนักหนาท่านจักได้แน่. ในวันรุ่งขึ้นจึงอาศัยคันนาเอาหญ้าปิดไว้ที่ทางมานอนดูการมาของเขา.
พราหมณ์ เมื่อมาจะลงไปหนองน้ำล้างหน้ายังความเสน่หาให้เกิดขึ้น สวมกอดปูทอง ให้นอนอยู่ในระหว่างผ้าห่มก่อนแล้วจึงเข้าไปนา.
งูเห็นพราหมณ์กำลังมา ก็เลื้อยไปโดยเร็วกัดเนื้อปลีแข้ง ให้ล้มลงไปในที่นั้นนั่นเอง แล้วจึงหนีไปหมายจอมปลวกเป็นปลายทาง.
การล้มลงของพราหมณ์ การกระโดดออกไปจากระหว่างผ้าสาฎกของปู การที่กามาเกาะบนที่อกของพราหมณ์ ได้มีไม่ก่อนไม่หลังกัน. กาเกาะแล้วจะใช้จะงอยปากจิกนัยน์ตา.
ปูคิดว่า ภัยเกิดขึ้นแก่สหายของเราแล้ว เพราะอาศัยกาตัวนี้ เมื่อเราจับกาตัวนี้ไว้ได้ งูก็จักกลับมา จึงอ้าก้ามหนีบคอกาไว้แน่นเหมือนเอาคีมคีบไว้ให้มันล้าแล้วจึงได้ทำให้หย่อนไว้หน่อยหนึ่ง
การ้องเรียกงูว่า สหายเอ๋ย สหายจะทิ้งเราไปเพื่ออะไร ? ปูตัวนี้หนีบเรา เราจะยังไม่ตายจนกว่าเพื่อนจะมา
งูได้ฟังคำนั้นแล้ว ได้แผ่พังพานพ่นพิษร้ายมา. ได้มาถึงตัวปู ปูก็ได้หนีบงูไว้อีก.
ทีนั้น งูคิดว่า ธรรมดาปูจะไม่กินเนื้อกาเลยและไม่กินเนื้องูด้วย เพราะเหตุอะไรหนอ ปูตัวนี้จึงหนีบพวกเราไว้ จึงถามว่า ปูไม่ต้องการกินกา ไม่ต้องการกินพระยางู แต่หนีบไว้ เจ้าปูตาโปนเอ๋ย ข้าขอถาม เจ้า เหตุไร เจ้าจึงหนีบข้าทั้ง ๒ ไว้ ?
ปูได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงบอกเหตุที่หนีบไว้ว่า ชายคนนี้ที่จับข้านำไปที่น้ำ เป็นผู้หวังความเจริญแก่ข้า. เมื่อเขาตาย ข้าจะมีความทุกข์เป็นอันมาก คนทุกคนเห็นข้าผู้หมดที่พึ่ง มีร่างกายเติบโตแล้ว คงจะอยากฆ่าเราโดยเห็นว่า
เนื้อของปูตัวนี้ทั้งอร่อยทั้งหนาทั้งนิ่ม ไม่ใช่แต่คนอย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องการ แม้กาทั้งหลายที่เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เห็นข้าเข้าก็คงจะฆ่าข้าเหมือนกัน
งูได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงคิดว่า เราจักลวงปูตัวนี้ด้วยอุบายอย่างหนึ่งแล้วให้ปล่อยทั้งกาทั้งตนเองไป.คิดดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าหากข้าทั้ง ๒ ถูกหนีบเพราะเหตุแห่งชายคนนั้น ข้าจะดูดพิษกลับ ชายคนนี้ลุกขึ้นได้ เจ้าจงปล่อยทั้งข้าทั้งกาโดยเร็ว
ก่อนที่พิษร้ายแรงจะเข้าไปสู่ ชายคนนี้.
ปูได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงคิดว่า งูตัวนี้ต้องการจะใช้อุบายอย่างหนึ่งให้เราปล่อยทั้ง ๒ ตัวแล้วหนีไป มันไม่รู้ความฉลาดในอุบายของเรา.บัดนี้เราจะทำก้ามของเราให้หย่อน พอให้งูจะสามารถเลื้อยไปได้ แต่เราจักไม่ปล่อยกาเลย ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว
จึงกล่าวว่า ข้าจะปล่อยงู แต่ยังไม่ปล่อยกาก่อน เพราะกาจะเป็นตัวประกันไว้ก่อน ต่อเมื่อเห็น ชายคนนี้ ปลอดภัยแล้ว ข้าจึงจะปล่อยกาไปเหมือนปล่อยงู
ก็แหละ ปูครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ได้ลาก้ามลงเพื่อให้งูนั้นเลื้อยไปสะดวก. งูดูดพิษออกแล้ว ได้ทำร่างกายของพราหมณ์ให้หมดพิษ.
พราหมณ์ปลอดภัย จึงลุกขึ้นยืนด้วยรูปพรรณปกตินั่นเอง.
ปูคิดว่า ถ้าหากปล่อยสัตว์ทั้ง ๒ ตัวนี้ไป สหายของเราคงไม่ปลอดภัย เราจักทำให้มันพินาศไปเสีย ดังนี้แล้วได้เอาก้ามหนีบศีรษะของสัตว์ทั้ง ๒ ตัว เหมือนเอาไม้เท้ากดกลีบบัว จนสัตว์ทั้งสองถึงแก่ความตาย. ฝ่ายกาตัวเมียก็ได้หนีไปจากที่นั้น.
พราหมณ์เอาร่างงูพันที่ท่อนไม้แล้วโยนไปหลังพุ่มไม้ ปล่อยปูสีทองที่หนองน้ำแล้ว ไปบ้านหลินทิยะนั่นเอง. ตั้งแต่นั้นมา ความคุ้นเคยระหว่างพราหมณ์กับปูได้มียิ่งกว่าเดิม
จบเรื่อง เพชฌฆาตก้ามโต
ข้อคิด.. มิตรภาพไม่ได้ขึ้นกับกาลเวลาอายุ หรือขนาด..ทุกสิ่งทุกคน ล้วนมีคุณค่าในตัวเอง มิตรเป็นร้อยยังถือว่าน้อย ศัตรูเพียง 1 นับว่ามากไป ดังนั้น เราควรทำดีกับทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ..ที่พึ่งในยามชรา คือบุญกุศล..