เรื่อง ไม้เรียวของอาจารย์
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี โอรสของพระเจ้าพรหมทัต ได้มีนามว่า พรหมทัตตกุมาร.
แท้จริงพระราชาครั้งเก่าก่อน แม้จะมีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในนครของตน ก็ยังส่งพระราชโอรสไปเรียนศิลปะภายนอกรัฏฐะในที่ไกล ด้วยหวังใจว่า เมื่อกระทำอย่างนี้ พระราชโอรสเหล่านั้น จักเป็นผู้ขจัดความเย่อหยิ่งด้วยมานะ จักเป็นผู้อดทนต่อความหนาวและความร้อน จักได้รู้จารีตประเพณีของชาวโลก เพราะฉะนั้น แม้พระราชาพระองค์นั้น จึงมีรับสั่งให้หาพระราชโอรสซึ่งมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษามา แล้วพระราชทานฉลองพระบาทชั้นเดียวคู่หนึ่ง ร่มใบไม้คันหนึ่ง และทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ พลางตรัสว่า ลูกรัก เจ้าจงไปยังเมืองตักกศิลา ร่ำเรียนเอาศิลปะมา แล้วทรงส่งไป.
พระราชโอรสรับพระราชโองการ ถวายบังคมพระชนกชนนีแล้วเสด็จออกไป บรรลุถึงเมืองตักกศิลาโดยลำดับ ได้ไปถามหาบ้านอาจารย์
ในเวลานั้น อาจารย์สอนศิลปะแก่พวกมาณพเสร็จแล้ว ลุกขึ้นมานั่ง ณ ที่ข้างหนึ่งที่ประตูเรือน.
พระราชโอรสไปที่บ้านอาจารย์ ได้เห็นอาจารย์นั่งอยู่ในที่นั้น ครั้นแล้วจึงถอดรองเท้าตรงที่นั้นแหละ ลดร่ม ไหว้อาจารย์แล้วยืนอยู่.
อาจารย์นั้นรู้ว่าพระราชโอรสนั้นเหน็ดเหนื่อยมาจึงให้กระทำอาคันตุกสงเคราะห์.
พระกุมารเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว พักผ่อนครู่หนึ่ง จึงเข้าไปหาอาจารย์ไหว้แล้วยืนอยู่
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ถามว่า เธอมาจากไหน พ่อ
มาจากเมืองพาราณสี.
เธอเป็นลูกใคร
เป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสี.
พระองค์เสด็จมาด้วยประสงค์สิ่งใด
ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้ามาเพื่อต้องการเรียนศิลปะ.
พระองค์นำทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์มาด้วยหรือไม่ หรือพระองค์จะเป็นธัมมันเตวาสิก.
พระราชกุมารนั้นกล่าวว่า ทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์ข้าพเจ้านำมาด้วย ว่าแล้วก็วางถุงทรัพย์พันกหาปณะลงที่ใกล้เท้าของอาจารย์แล้วก็ไหว้.
อันศิษย์ที่เป็นธัมมันเตวาสิก เวลากลางวันต้องทำการงานให้อาจารย์ กลางคืนจึงจะได้เรียน. ศิษย์ที่ให้ทรัพย์อันเป็นส่วนของอาจารย์ เป็นเหมือนบุตรคนโตในเรือน เรียนแต่ศิลปะเท่านั้น. เพราะฉะนั้น อาจารย์ พอมีฤกษ์งามยามดีแล้ว จึงเริ่มสอนศิลปะแก่พระกุมารโดยละเอียด.
ฝ่ายพระราชกุมารก็เรียนเอาศิลปะด้วยความตั้งใจ
วันหนึ่ง พระราชกุมาร ได้ไปอาบน้ำพร้อมกับอาจารย์. ครั้งนั้นมีหญิงชราคนหนึ่ง ขัดสีเมล็ดงาให้หมดเปลือกแล้วเอามาแผ่ตากไว้ นั่งเฝ้าอยู่.
พระกุมารเห็นเมล็ดงาที่ตากไว้ ก็อยากจะเสวย จึงหยิบเมล็ดงามาหนึ่งกำมือแล้วเคี้ยวเสวย.
หญิงชราคิดว่า มาณพนี้คงอยากกิน จึงนิ่งเสียมิได้กล่าวประการใด.
วันถัดมา พระกุมารก็ได้ทำเหมือนอย่างนั้นอีก
แม้หญิงชราก็ไม่กล่าวอะไรกะพระราชกุมารเช่นกัน.
ในวันที่ ๓ พระราชกุมารก็ได้ทำเหมือนอย่างนั้นนั่นแล.
คราวนั้น หญิงชราเห็นเข้า จึงประคองแขนทั้งสองร้องคร่ำครวญว่า อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ใช้ให้พวกศิษย์ของตนปล้นเรา.
อาจารย์หันกลับมาถามว่า นี่อะไรกัน
หญิงชรากล่าวว่า นาย ศิษย์ของท่านเคี้ยวกินเมล็ดงาล่อนที่ข้าพเจ้าทำไว้ วันนี้กำมือหนึ่ง เมื่อวานกำมือหนึ่ง เมื่อวานซืนกำมือหนึ่ง ก็เมื่อศิษย์ของท่านเคี้ยวกินอยู่อย่างนี้ เมล็ดงาที่มีอยู่ของข้าพเจ้าเท่าไร ๆ ก็จะหมดสิ้นไปมิใช่หรือ.
อาจารย์ทิศาปาโมกข์กล่าวว่า แม่ อย่าร้องไห้ไปเลยฉันจักชดใช้ให้แก่ท่าน.
หญิงชรากล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการค่าชดใช้ดอกนาย แต่ขอให้ท่านสั่งสอน โดยอย่าให้กุมารนี้กระทำอย่างนี้อีก.
อาจารย์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงคอยดูนะแม่ แล้วให้มาณพ ๒ คนจับแขนพระราชกุมารทั้ง ๒ ข้างไว้ เอาซีกไม้ไผ่มาเฆี่ยนกลางหลัง ๓ ครั้ง พร้อมกับสอนว่า เธออย่าได้ทำอย่างนี้อีก
พระราชกุมารโกรธอาจารย์ ทำนัยน์ตาแดงมองดูตั้งแต่หลังเท้าจนถึงปลายผม.
แม้อาจารย์ก็รู้ว่า พระราชกุมารมองดูเพราะโกรธเคือง.
พระราชกุมารเรียนศิลปะจบแล้วทำการฝึกซ้อม เก็บโทษที่อาจารย์นั้นกระทำไว้ในหทัย ผูกอาฆาตว่า เราต้องฆ่าอาจารย์ผู้นี้ ครั้นเวลาจะไป จึงไหว้อาจารย์ ทำทีมีความสิเนหาอย่างสุดซึ้งรับเอาปฏิญญาว่า ท่านอาจารย์ เมื่อใด ข้าพเจ้าได้ราชสมบัติในพระนครพาราณสี แล้วส่งข่าวมาถึงท่าน เมื่อนั้น ขอให้ท่านพึงมาหาข้าพเจ้า กล่าวดังนี้แล้วก็จากไป.
ครั้นไปถึงพระนครพาราณสีแล้วถวายบังคมพระชนกชนนี แล้วแสดงศิลปะให้ทอดพระเนตร
พระราชาตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่ทันเห็นบุตรเรา ขณะมีชีวิตอยู่นี้แหละ จักได้เห็นความสง่างามในราชสมบัติแห่งบุตรของเรา จึงทรงสถาปนาพระราชโอรสไว้ในราชสมบัติ.
เมื่อพระราชโอรสได้ครอบครองศิริราชสมบัติ ก็ระลึกถึงโทษที่อาจารย์ได้กระทำไว้ ทรงพิโรธ จึงทรงส่งทูตไปถึงอาจารย์เพื่อให้มาเฝ้าด้วยตั้งพระทัยว่า จักฆ่าอาจารย์เสีย
ท่านอาจารย์คิดว่า ในเวลาที่เขายังหนุ่มแน่น เราไม่อาจให้พระราชานั้นเข้าใจได้ จึงมิได้ไป ในเวลาที่พระราชานั้นล่วงเข้ามัชฌิมวัย คิดว่า บัดนี้เราอาจทำให้พระราชานั้นเข้าใจได้ จึงได้เดินทางไปยืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง ให้กราบทูลว่า อาจารย์จากเมืองตักกศิลามาแล้ว.
พระราชาทรงโสมนัสยินดีรับสั่งให้เรียกพราหมณ์มา พอเห็นอาจารย์นั้นมาเฝ้าพระองค์เท่านั้น ทรงพิโรธจนพระเนตรทั้งสองข้างแดง ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาว่า แน่ะผู้เจริญที่ที่อาจารย์เฆี่ยนยังเสียดแทงเรา อยู่จนทุกวันนี้ อาจารย์บากหน้าพาเอาความตายมาโดยไม่รู้ว่า จักตายวันนี้ อาจารย์ผู้นั้นจะไม่มีชีวิตแล้ว จากนั้นตรัสกับอาจารย์ว่า การที่ท่านให้จับแขนเราไว้แล้วเฆี่ยนตีเราด้วยซีกไม้ไผ่ เพราะเมล็ดงากำมือหนึ่งนั้น ยังฝังใจเราอยู่จนทุกวันนี้. พราหมณ์ ท่านไม่ใยดีในชีวิตของท่านแล้วหรือ จึงมาหาเราถึงที่นี่ ผลที่ท่านให้จับแขนทั้งสองของเราแล้วเฆี่ยนตีเราถึง ๓ ทีนั้น จักสนองท่านในวันนี้.
อาจารย์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าว ว่า อริยชนใดย่อมเกียดกันอนารยชน ผู้กระทำชั่วด้วยการลงโทษ กรรมของอริยชนนั้นเป็นการสั่งสอนหาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้แล. ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าการเฆี่ยนตีกีดกันบุตรธิดาหรือศิษย์ผู้กระทำสิ่งไม่ควรทำด้วยอาการอย่างนี้ เป็นการสั่งสอน เป็นการพร่ำสอน เป็นโอวาท หาใช่เป็นการก่อเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้ทีเดียว. ข้าแต่มหาราช เพราะฉะนั้น แม้พระองค์ก็โปรดทรงทราบอย่างนี้ พระองค์ไม่ควรก่อเวรในฐานะเห็นปานนี้ หากข้าพระองค์จักไม่ให้พระองค์ทรงสำเหนียกอย่างนี้แล้ว ต่อไปภายหน้า พระองค์ลักขนม น้ำตาลกรวด แลผลไม้ ติดในโจรกรรมทั้งหลาย จะทำการตัดช่องย่องเบา ฆ่าคนในหนทางและฆ่าชาวบ้าน โดยลำดับ ถูกจับพร้อมตั้งข้อหาว่า เป็นโจรผู้ผิดต่อพระราชา แล้วแสดงต่อพระราชา จักได้รับภัยคืออาญา โดยพระดำรัสของพระราชาว่า พวกท่านจงไปลงอาญาอันสมควรแก่โทษของโจรนี้ สมบัติเห็นปานนี้ จักมีแก่พระองค์มาแต่ไหน พระองค์ได้ความเป็นใหญ่โดยเรียบร้อยเพราะอาศัยข้าพระองค์มิใช่หรือ อาจารย์ได้ทำให้พระราชายินยอมด้วยประการดังกล่าวมานี้.
ฝ่ายอำมาตย์ทั้งหลายผู้ยืนห้อมล้อมอยู่ ได้ฟังถ้อยคำของอาจารย์นั้นแล้วจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ คำที่อาจารย์กล่าวนั้นเป็นความจริง ความเป็นใหญ่นี้เป็นของท่านอาจารย์ของพระองค์
ขณะนั้น พระราชาทรงกำหนดได้ถึงคุณของอาจารย์จึงกล่าวว่า ท่านอาจารย์ข้าพเจ้าให้ความเป็นใหญ่นี้แก่ท่าน ขอท่านจงรับราชสมบัติเถิด.
อาจารย์ปฏิเสธว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ.
พระราชาทรงส่งข่าวไปยังเมืองตักกศิลา ให้นำบุตรและภรรยาของอาจารย์มา แล้วประทานอิสริยยศใหญ่ ทรงตั้งอาจารย์ให้เป็นปุโรหิตแล้วตั้งไว้ในฐานเป็นบิดา ตั้งอยู่ในโอวาทของอาจารย์ บำเพ็ญบุญทั้งหลาย ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
จบเรื่อง ไม้เรียวของอาจารย์
Cr.ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่ถ้ามีโอกาส