มองการเดินทางของเวลาอย่างทะลุปรุโปร่ง

วันที่ 13 เมย. พ.ศ.2563

มองการเดินทางของเวลาอย่างทะลุปรุโปร่ง

                พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สิ่งที่ยากแก่การเข้าใจของคนโดยทั่วไปมี 3 ประการ คือ "จิต เจตสิก และนิพพาน"
 

                "จิต" คือ "ดวงจิต" ส่วน "เจตสิก" คือ "การทำงานของดวงจิต" ทั้งสองมีความลึกล้ำเข้าใจยากพอ ๆ กับ "นิพพาน" เลยทีเดียว แสดงว่า ผู้ที่จะเข้าใจได้จริง ๆ จะต้องปฏิบัติจนบรรลุก่อน ไม่ใช่เข้าใจด้วยความคิด หรือการอ่านตำรา


                การจะเข้าใจด้วยสติปัญญาทั่วไป อาจด้วยการใช้ความคิดตรึกตรองและตรรกะ คนทั่วไปมักจะคุ้นเคยอย่างนั้น อธิบายอย่างไร ก็ได้แค่ความรู้พื้นฐานเบื้องต้น ซึ่งเป็นเพียงเค้าโครงคร่าวๆ เท่านั้น


                การจะเข้าใจจริง ๆ ต้องไปรู้ไปเห็นด้วยญาณทัศนะ จากการทำสมาธิจนใจนิ่งถึงจุดแล้ว ถ้าพูดในเชิงปฏิบัติ คือ จนกระทั่งเห็นเรียกว่า "ธรรมจักษุ" แล้วรู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรด้วย "ญาณทัศนะ" อย่างนี้ถึงจะแจ่มกระจ่าง ไม่ต้องใช้ความคิดเลย แต่ใช้ "การเห็น" แล้วความรู้ก็จะผุดขึ้นมาจากการเห็นนั่นเอง นี่เป็นชั้น "ภาวนามยปัญญา" ปัญญาที่เกิดจากการภาวนาจนเห็นแจ้ง ซึ่งเป็นปัญญาขั้นสูงกว่าการนึกคิดตรึกตรอง


                เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากรู้เรื่องใหญ่ ๆ อย่างเรื่องจักรวาล อยากรู้เรื่องกำเนิดเอกภพ หรืออยากรู้เรื่องเล็กระดับ "ควอนตัม" (Quantum) "อะตอม" (Atom) ให้เอาใจจรดเข้าที่ศูนย์กลางกาย เมื่อปฏิบัติได้ถูกส่วน สิ่งเหล่านี้จะปรากฏขึ้นให้เห็นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต


เวลา ในแต่ละโลก

              เมื่อกล่าวถึงเรื่องของกาลเวลา เวลาระหว่างโลกมนุษย์ สวรรค์ และนรกนั้นต่างกัน พวกเราอยู่ในโลกที่คุ้นเคยกับวัน เดือน ปี แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพบว่า สวรรค์มีเวลาที่ต่างออกไป

              สวรรค์ชั้นที่ 1 คือ "ชั้นจาตุมหาราชิกา" ในวันหนึ่ง คืนหนึ่งบนสวรรค์ชั้นนี้ เทียบเท่ากับเวลาบนโลกมนุษย์นานถึง 50 ปี แปลว่า ในขณะที่โลกเราผ่านไปแล้ว 50 ปี บนสวรรค์ชั้นนี้เพิ่งผ่านไปเพียงวันเดียว


              ส่วนสวรรค์ชั้นที่ 2 คือ "ชั้นดาวดึงส์" วันหนึ่งคืนหนึ่ง เท่ากับเวลาบนโลกนานถึง 100 ปีทีเดียว มาถึงสวรรค์ชั้นที่ 3 คือ "ชั้นยามา" วันหนึ่งคืนหนึ่งบนนั้น เท่ากับเวลาบนโลกนานถึง 200 ปี แล้ววันหนึ่งคืนหนึ่งบนสวรรค์ชั้นที่ 4 คือ "ชั้นดุสิต" ก็เท่ากับเวลาบนโลกนานถึง 400 ปีทีเดียว ยิ่งสูงไปถึงสวรรค์ชั้นพรหม เวลาก็จะยิ่งยาวนานขึ้นไปอีก


             ส่วนเวลาในนรกนั้นช้ากว่าเวลาบนสวรรค์มาก มหานรกมีทั้งหมด 8 ขุมใหญ่ ยกตัวอย่าง มหานรกขุมที่ตื้นที่สุด เรียกว่า "สัญชีวมหานรก" นรกขุมนี้วันหนึ่งคืนหนึ่งเท่ากับเวลาบนโลกมนุษย์ยาวนานถึง 9 ล้านปีเลยทีเดียว


             แค่สวรรค์ชั้นแรกเวลาก็ยาวนานกว่าบนโลกมนุษย์มากมายแล้ว คนบนโลกอยู่กันจนอายุ 50 ปี แต่บนสวรรค์เพิ่งผ่านไปเพียงวันเดียวเท่านั้น


             สมมุติว่า พ่อแม่ใครที่เสียชีวิตไป แล้วท่านทำบุญไว้มากได้  ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว 25 ปี แสดงว่าท่านเพิ่งเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้เพียง 6 ชั่วโมง ท่านเพิ่งจะไปถึงได้สักพัก เหมือนกับเราไปบ้านใหม่ได้แค่ 6 ชั่วโมง กำลังเดินสำรวจบ้านใหม่ยังไม่ทันเสร็จ เวลาบนโลกเราก็ผ่านไป 25 ปีแล้ว


            ส่วนเวลาในมหานรกนั้นนานจนลืมไปเลย เพราะวันหนึ่งคืนหนึ่งในมหานรกขุมที่ตื้นที่สุดยังเทียบเท่ากับเวลาบนโลกที่ผ่านไป ถึง 9 ล้านปี เพราะฉะนั้น เราอย่าเผลอทำบาปเด็ดขาด เพราะมหานรกนั้นน่ากลัวมาก


             ไปเกิดในมหานรกแล้วไม่ได้นั่งเล่นนอนเล่นสบาย ๆ พอเกิดปุ๊บก็กลายเป็นสัตว์นรกตัวใหญ่โต แล้วนายนิรยบาล ยมบาลตัวเบ้อเริ่ม ก็จะมาจับตรึงไว้ เอามีดบ้าง ขวานบ้าง เลื่อยบ้าง ทั้งเฉือนทั้งสับ จนกระทั่งเนื้อและกระดูกขาดเป็นท่อน ๆ หั่นเนื้อกันเหมือนกับหั่นฟักแฟงอย่างนั้น


              สัตว์นรกต่างก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด พอทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็ขาดใจตาย พอตายปั๊บ ด้วยอานุภาพแห่งกรรมที่ทำไว้ก็กลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง แขนขาที่ขาดไปก็ต่อขึ้นมาใหม่ แล้วโดนทารุณซ้ำอีก ตาย ๆ เกิด ๆ ซ้ำวันละหลายล้านหนอย่างนี้ น่ากลัวมาก

            คิดดูว่า แค่เราโดนมีดบาด หรือมีดเฉือนนิ้วขาดก็เจ็บปวด แทบขาดใจแล้ว แต่ในมหานรกนั้น สัตว์นรกต้องโดนสับโดนเฉือนเป็นชิ้น ๆ จนตาย แล้วต่อติดใหม่วนเวียนไปอย่างนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่งนานเทียบเท่ากับเวลาบนโลกมนุษย์ผ่านไปถึง 9 ล้านปี แล้วรับกรรมอย่างนี้นานถึง 500 ปีนรก "น่ากลัวมาก"


             ใครที่เป็นนักเลงชอบไปไล่ยิงไล่ฟันเขา ไปเข่นฆ่าคนอื่นเขา แล้วต้องไปเจออย่างนี้ในนรกยาวนาน ไม่คุ้มเลย เพราะฉะนั้น อย่าไปทำบาปกรรมอกุศลทั้งหลาย แต่ให้ตั้งใจทำความดีถึงจะคุ้มค่าที่ได้เกิดมาเป็นคน ได้พบพระพุทธศาสนา


หลักธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า vs หลักการของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์


                 เรื่องราวของมิติที่ 4 ก็คือเวลาในแต่ละโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นพันปีแล้ว แต่ในทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีสัมพันธภาพพบว่า เวลาของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน สถานที่ใดมีมวลสารที่มีความหนาแน่นสูง สถานที่นั้นเวลาจะเคลื่อนที่ช้า


                พอเราตรวจดูโครงสร้างของโลก สวรรค์ และนรก ตำแหน่งของนรกอยู่แถว ๆ หลุมดำตรงกลางกาแล็กซีพอดี อย่างสุริยะจักรวาล ค่อนไปทางด้านล่าง ก็มีหลุมดำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง แล้วมีหลุมย่อย ๆ ออกไป ซึ่งเกือบจะซ้อนกับลักษณะของนรก แล้วในหลุมดำยังมีมวลสารที่มีความหนาแน่นมาก ขนาดแสงหลุดผ่านออกมาไม่ได้


                 ดังนั้น เวลาในนั้นจึงเคลื่อนที่ช้ามาก ซึ่งสอดคล้องกับเวลาในมหานรกที่เคลื่อนที่ช้ามากเช่นเดียวกัน แต่นี่เป็นการอธิบายพอให้เข้าใจเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วยังมีภพซ้อนภพ มีมิติต่าง ๆ ที่ยิ่งกว่ามิติที่ 4 ซ้อนอยู่อีก เราอย่าไปคิดอะไรแบบ 3 มิติ ตามความคุ้นเคยเดิมของเราเท่านั้น


                 เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ก็ยิ่งพิสูจน์ความถูกต้องของพุทธศาสตร์ได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก เพียงแต่การพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น ยังเปรียบเสมือนเด็กอนุบาลที่ก้าวเดินเตาะแตะ คือ ยังไม่ค่อยรู้อะไรชัดเจนมากนัก ในขณะที่ทางด้านพุทธศาสตร์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งไปเรียบร้อยแล้ว


               ดังนั้น ถ้าใครอยากทันสมัย ก็ต้องหันมาศึกษาพุทธศาสตร์ตั้งใจเจริญภาวนา ได้ไปรู้ไปเห็นด้วยตนเองเมื่อใด เราก็จะแจ่มแจ้งเอง


              พวกเรามีบุญมาก เพราะได้เกิดมาเป็นชาวพุทธ ได้นับถือพระพุทธศาสนา เราจึงต้องตั้งใจหมั่นศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วลงมือปฏิบัติให้คุ้มกับความมีบุญของเราทุกคน


เวลาใน โลกมนุษย์ มีค่ามากที่สุดใน 3 โลก


             ดังที่ได้อธิบายไปแล้วว่า เวลาในแต่ละภพภูมินั้นไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น เวลาที่มีค่าที่สุดน่าจะเป็นเวลาในโลกมนุษย์ใช่หรือไม่


              ในสวรรค์เป็นช่วงเวลาเสวยผลบุญ ส่วนนรกเป็นช่วงเวลาเสวยผลบาป หากไปเกิดเป็นสัตว์นรก ก็หมดโอกาสทำบุญ ทำอะไร ไม่ได้เพราะโดนเขาจับเฉือนอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ได้แต่เสวยผลบาป จนกว่าบาปนั้นจะหมดไป


              แต่สถานที่ประกอบเหตุ คือ โลกมนุษย์ เสมือนตลาดกลาง ค้าบุญค้าบาป เกิดมาเป็นมนุษย์ได้กายมนุษย์หยาบนั้นมีค่ามาก พอมีกายหยาบแล้วจะทำอะไรมันจะส่งผลแรง


              กายเทวดา หรือกายสัตว์นรกนั้นเป็นกายละเอียด เป็นกายที่ใช้เพื่อเสวยผล แต่มนุษย์ได้กายหยาบเพื่อไปประกอบบุญ อานิสงส์ผลบุญเกิดเป็นล้านเท่า แต่ถ้านำกายหยาบไปทำบาป ผิดศีลผิดธรรม ผลบาปก็เกิดตามมาเป็นล้านเท่าเช่นเดียวกัน


              ดังที่เราเคยได้ฟังคำเปรียบว่า "หากไปฆ่าวัวตัวหนึ่งจะต้องเกิดเป็นวัว ถูกเขาฆ่านับจำนวนชาติด้วยเส้นขน" เคยได้ยินไหม ความจริงมันยิ่งกว่านั้นมากนัก เพราะพอตกมหานรกแล้ว ต้องโดนฆ่ามากยิ่งกว่าจำนวนเส้นขนอีกเป็นล้านเท่า


              ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้กายหยาบ มิหนำซ้ำยังได้มาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนา ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธด้วยแล้ว ถ้าใครพลาดไปทำบาป ตายไปตกนรกแล้วจะยิ่งรู้สึกช้ำใจมากขึ้นไปอีกว่า "เราหนอเรา อุตส่าห์เกิดเป็นคน ได้มาพบพระพุทธศาสนาทำไมเราไม่ใช้โอกาสทำความดีให้ได้บุญมหาศาล รู้ทั้งรู้เรายังไปทำบาปอย่างน่าเสียใจมาก"


              ส่วนใครได้ทำบุญทำกุศลก็จะรู้สึกชื่นใจ เอาบุญต่อบุญ พอทำบุญทำกุศล ก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า ระหว่างที่ยังไม่หมดกิเลส ด้วยบุญนั้นพอจะลงมาเกิดอีก ก็จะลงมาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาอยู่


               ต่อไปนี้ให้อธิษฐานเลยว่า ขอให้เกิดมาแล้วมีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาอีก มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมคำสอน และเป็นคนดี  ได้สร้างบุญสร้างกุศล ได้เอาบุญต่อบุญอีก เราก็จะได้สร้างบุญมากขึ้น ๆ มีอุปกรณ์ในการสร้างบารมีที่พร้อมขึ้น มีชาติตระกูลดี มีร่างกายแข็งแรง หน้าตาดี อุปนิสัยดี สติปัญญาเฉลียวฉลาด เพื่อนฝูงหมู่ญาติดีหมด อย่างนี้แล้วเราก็มีโอกาสได้ทำบุญมากขึ้น ๆ กิเลสจะค่อย ๆ หลุดออกจากใจ เหลือน้อยลงตามลำดับ


              ดังนั้น เมื่อมีโอกาสวิเศษสุดอยู่กับตนเองอย่างนี้แล้ว ไม่ควรพลาด บาปกรรมอกุศลเราต้องไม่ทำเด็ดขาด ตั้งใจทำความดีทุกชนิดอย่างเต็มที่ แล้วตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา สรุปคือ "ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส" นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา เป็นหัวใจหลักในการดำเนินชีวิตของเราทุกคน


              ความรู้ในทางพระพุทธศาสนา มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของมิติ และภพภูมิต่าง ๆ มากมายทีเดียว ที่สำคัญยังตอกย้ำได้อีกว่า ยิ่งวิทยาศาสตร์ค้นพบสิ่งต่าง ๆ มากมายในปัจจุบัน ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสนั้นเป็นจริงตลอดกาล เรียกว่า ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น "อกาลิโก" คือ "ทันสมัยตลอดกาล"

 

จากหนังสือ  24ชม.ที่ฉันหายใจ

โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑโฒ)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0090137163798014 Mins