เศรษฐกิจกับจิตใจ
มีความเกี่ยวข้องกันอย่างยิ่ง
ถ้าเมื่อใดจิตใจของผู้คนขาดความเชื่อมั่น เศรษฐกิจจะตกต่ำทันที
เพราะเมื่อผู้คนวิตกกังวลต่ออนาคตก็จะพากันเก็บเงินเอาไว้ไม่ยอมใช้จ่าย การค้าขายหยุดชะงัก สินค้าขายไม่ออก โรงานก็ต้องหยุดผลิตสินค้า ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างงาน เมื่อคนตกงานก็ยิ่งลดการจับจ่ายใช้สอย เกิดวงจรลบต่อเนื่องไป ตรงกันข้าม ถ้าผู้คนมีความเชื่อมั่น มีการจับจ่ายใช้สอย ก็จะมีการผลิต มีการจ้างงาน เกิดรายได้เป็นวงจรบวก
การทำความเข้าใจในเรื่อง "เศรษฐกิจกับจิตใจ" นั้น ให้เราลองมองภาพของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 2 แห่งเปรียบเทียบกัน เราจะได้ข้อคิดหลายประการทีเดียว
แห่งแรกคือสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจของอเมริกาถือว่ามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก GDP ; Gross Domestic Product (ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ) ของอเมริกาประเทศเดียวมีขนาด 25 เปอร์เซ็นต์ของโลก
แห่งที่สอง คือ จีน เศรษฐกิจของจีนกำลังทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนทั่วโลกจับตามอง และขณะนี้เศรษฐกิจของจีนในแง่ GDP ได้แซงประเทศญี่ปุ่น จนขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ของโลก
เศรษฐกิจของอเมริกานั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น ถ้าเมื่อใดเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหา รัฐบาลจะต้องรีบออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้รัฐบาลจะรีบลดภาษีเพื่อให้คนมีเงินใช้มากขึ้น อีกทั้งเพิ่มการลงทุนภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย การสร้างความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญมาก หากประชาชนขาดความเชื่อมั่น หยุดจับจ่ายใช้สอยเมื่อใด ตลาดหุ้นจะซบเซาเกิดหนี้เสียเป็นลูกโซ่ ความเสียหายจะตามมาอีกมากมาย
ในกรณีของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก มีความโดดเด่นทั้งด้านขนาดเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าเทคโนโลยีและการทหาร อีกทั้งเป็นผู้กุมอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศและอำนาจทางสื่อต่าง ๆ ซึ่งสามารถปลุกกระแสชี้นำชาวโลกได้
แม้กระทั่งการใช้สงครามเป็นเครื่องกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการสะพัดหมุนเวียนของเงินจำนวนมหาศาลในอุตสาหกรรมอาวุธ สหรัฐอเมริกาก็สามารถทำได้ ถึงขนาดมีคำกล่าวว่าเศรษฐกิจอเมริกาคือเศรษฐกิจสงคราม เพราะฉะนั้น แม้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นในประเทศ สหรัฐอเมริกาจึงยังคงสามารถประคับประคองให้ผ่านไปได้โดยใช้ความเป็นมหาอำนาจของตนนั้นเอง
หากมองย้อนไปในอดีตของสหรัฐอเมริกา เราจะพบว่า นับตั้งแต่สร้างชาติ ชาวอเมริกันมีความกล้าหาญมาก เพราะทุกคนล้วนเป็นผู้อพยพทั้งสิ้น โดยส่วนใหญ่อพยพมาจากยุโรป คนที่กล้าอพยพครอบครัวข้ามน้ำข้ามทะเลในยุคที่การเดินทางเต็มไปด้วยความเสี่ยงภัย เพื่อไปบุกเบิกสร้างชีวิตในดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก ย่อมต้องมีใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญอย่างมาก
เพราะแม้ว่าจะสามารถผจญภัยจนขึ้นฝั่งได้ ก็ยังต้องผจญกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ในการบุกเบิกดินแดนตะวันตกอีกนับร้อย ๆ ปี ชาวอเมริกันจึงมีวิญญาณนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม นอกจากนี้ชาวอเมริกันยังเป็นทั้งนักค้นคว้า และนักประดิษฐ์ เพราะความที่เดินทางมาไกลไม่สามารถกลับไปซื้อข้าวของเครื่องใช้จากยุโรปได้ง่าย ๆ
ดังนั้นหากใครประดิษฐ์คิดค้นอะไรขึ้นมาได้ ก็จะทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์ไปด้วย นักประดิษฐ์จึงได้รับความชื่นชมยกย่องอย่างมาก เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งกระตุ้นให้คนอเมริกันรักการค้นคว้า รักการประดิษฐ์คิดค้น จนทำให้สหรัฐอเมริกามีความเจริญก้าวหน้าแซงยุโรปขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ทั้งด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ก็เพราะประเทศของเขาเต็มไปด้วยนักสู้ผู้บุกเบิกนั่นเอง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นยุคของสงครามเย็นระหว่างโลกเสรีทุนนิยมที่มีอเมริกาเป็นผู้นำกับโลกคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำขณะนั้นเศรษฐกิจของอเมริกามีขนาดเกือบครึ่งหนึ่งของโลก อเมริกาจึงได้ให้ความช่วยเหลือประเทศพันธมิตรของตนเพื่อให้เศรษฐกิจเข้มแข็งจะได้ช่วยกันต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ และอเมริกายังได้ทำสงครามอีกหลายครั้ง เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ฯลฯ
จึงมีการใช้เงินอย่างมาก ประกอบกับประชาชนมีชีวิตแบบบริโภคนิยมจับจ่ายใช้สอยกันอย่างมากมาย สุดท้ายเมื่อเศรษฐกิจของยุโรป และญี่ปุ่นเริ่มฟื้นขึ้นมา อเมริกากลับขาดดุลการค้าและประสบปัญหาทางด้านการเงิน เพื่อที่จะค้ำยันเศรษฐกิจของตน อเมริกาจึงนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เช่น มีการก่อตั้งกองทุนเฮดฟันด์ต่างๆ ขึ้นมามุ่งหากำไรจากการค้าเงิน สร้างความเสียหายให้กับประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ดังเช่นเหตุการณ์เมื่อครั้งที่กองทุนเฮดฟันด์เหล่านี้มาซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจของไทยในช่วงภาวะฟองสบู่แตก ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจของเราหนักหนากว่าที่ควรจะเป็นหลายเท่าตัว
อเมริกาเองก็อยู่ท่ามกลางความความผันผวนทางเศรษฐกิจหนี้สินของประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและ ขาดดุลการค้ามหาศาลทุกปี แต่ที่ยังอยู่ได้เพราะอาศัยการกู้เงินจากต่างประเทศเข้าไปค้ำยัน แท้จริงแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศจะขาดดุลบัญชีการค้า ขาดดุลบัญชีงบประมาณอย่างต่อเนื่องสะสมไปเรื่อย ๆ สักวันต้องมีจุดจบ อเมริกา
ในปัจจุบันอยู่ได้เพราะสร้างภาพความเชื่อมั่นเป็นหลัก ซึ่งความเชื่อมั่นเช่นนี้ ถือเป็นความเชื่อมั่นที่ไม่มั่นคงเหมือนคนที่ไปกู้เงินเขามาใช้ อาจแก้ปัญหาชั่วครั้งชั่วคราวได้ แต่ถ้าจะกู้ไปเรื่อย ๆไม่รู้จบ ย่อมเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายหนี้สินต้องล้นพ้นตัว
ส่วนเศรษฐกิจของจีนเป็นเศรษฐกิจเกิดใหม่ แม้ว่าจีนจะมีจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 5 ของโลก ทั้งมีภูมิประเทศกว้างใหญ่ และทรัพยากรมากมาย แต่ย้อนหลังไปเพียงไม่กี่สิบปี ประเทศจีนมีแต่ความยากจนและล้าหลัง จนกระทั่งเติ้งเสี่ยวผิงตัดสินใจเปิดประเทศ เศรษฐกิจจีนจึงมีการเติบโตอย่างมาก
จีนมีรากฐานทางประวัติศาสตร์มายาวนานหลายพันปี จึงมีความสุขุมรอบคอบ และเชี่ยวชาญในเชิงยุทธศาสตร์ เพราะมีเรื่องราวในประวัติศาสตร์เป็นคติสอนใจ แต่ละย่างก้าวของจีนจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ผลก็คือ จีนสามารถรักษาการเจริญเติบโตมาอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปี
นอกจากนี้ จีนยังมีการออมสูงมาก เนื่องจากคนจีนมีนิสัยประหยัด เมื่อธนาคารมีเงินมาก จึงปล่อยกู้ได้มาก เกิดการลงทุนผลิตสินค้ามากยิ่งขึ้นไปอีก สินค้าที่ผลิตขึ้นมาจึงต้องส่งออกเป็นส่วนใหญ่เพราะคนจีนเองไม่ค่อยนิยมจับจ่ายใช้สอย ทำให้จีนได้ดุลการค้าอย่างมหาศาลในแต่ละปี โดยมีบางปีสูงถึงเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
สิ่งที่ตามมาก็คือเกิดแรงเสียดทานด้านการค้าขึ้นมา ประเทศต่าง ๆ เช่นอเมริกาและประเทศทางแถบยุโรปไม่พอใจ จึงกดดันให้จีนปล่อยค่าเงินหยวนให้แข็งตัวขึ้น เพื่อสินค้าจีนจะได้มีราคาแพง ขายได้น้อยลงดุลการค้าจะได้ลดลง จีนจึงจำเป็นต้องยอมปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นบ้าง แต่ก็ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่บุ่มบ่ามจีนถือเสถียรภาพเป็นหลัก
คนจีนเริ่มเชื่อมั่น แต่คนบางส่วนยังขาดความรับผิดชอบต่อสังคม นึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน และพรรคพวกของตน เพื่อมุ่งเอารัดเอาเปรียบ หวังประโยชน์เฉพาะหน้า ผลก็คือ เกิดปัญหาการผลิตสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ มีสารพิษปลอมปนดังที่เป็นข่าวไปทั่วโลก เป็นปัญหาที่รัฐบาลจีนเอง กำลังเร่งหาทางแก้ไขอย่างเต็มที่
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งของจีนคือ ปัญหาความมั่นคงภายในซึ่งเกิดจากความไม่เป็นธรรมในสังคม เมื่อใดก็ตามที่คนยากจนคนที่ขาดโอกาสไม่พอใจจนถึงขั้นก่อจลาจล เมื่อนั้นความเชื่อมั่นก็จะหมดไป เศรษฐกิจจะทรุดแล้วทุกอย่างก็จะเข้าสู่วงจรลบทันที ฉะนั้นภารกิจหลักของรัฐบาลจีนคือทำอย่างไรจะประคับประคองสถานการณ์ความมั่นคงภายในไว้ให้ได้ ด้วยการกระจายรายได้ให้เกิดความเท่าเทียมกัน สร้างความเป็นธรรมในสังคมมิฉะนั้นสิ่งที่สร้างมาทั้งหมด ก็อาจจะพังครืนเช่นกัน
ความเชื่อมั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ความเชื่อมั่นนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรม มิเช่นนั้นปัญหาที่ตามมา อาจส่งผลกระทบไปทั่วโลก ดังเช่นที่ความฟุ้งเฟ้อบริโภคเกินตัวของอเมริกาและการประหยัดเกินไปของจีน นำไปสู่การเสียสมดุลของเศรษฐกิจโลก
เมื่อการพัฒนาเศรษฐกิจแบบนั้น การบริโภคแบบอเมริกาก็มีปัญหา การประหยัดอย่างจีนก็มีปัญหา จึงมีคำถามว่า แล้วโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ต้องทำอย่างไรคำตอบคือ ควรประหยัดในการใช้ทรัพยากรโดยใช้อย่างคุ้มค่า แต่ทรัพย์สินส่วนเกินนั้นไม่ใช้เก็บไว้เพื่อส่วนตนอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักนำทรัพย์นั้นมาช่วยเหลือแบ่งปันกัน ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สุขของส่วนรวม
ดังสมัยพุทธกาล ผู้ที่มีทรัพย์มากจะมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นำทรัพย์ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น มีการตั้งโรงทานทั้ง 4 มุมเมือง เพื่อช่วยเหลือเจือจุนผู้ที่มีทรัพย์น้อย อีกทั้งค่านิยมในสังคม จะให้การยกย่องเศรษฐีผู้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตรงกันข้าม แม้เป็นผู้มีทรัพย์มาก แต่ถ้าหากมีความตระหนี่สังคมก็ไม่ยอมรับ
ในโลกยุคปัจจุบันก็เช่นกัน การพัฒนาเศรษฐกิจย่อมเป็นไปด้วยดี ถ้าสามารถปลูกฝังจิตสำนึกของผู้ที่มีกำลัง มีฐานะ มีโอกาสมากกว่า ให้มีความเกื้อกูลต่อผู้มีโอกาสน้อยกว่า ทรัพย์สินที่มีอยู่จะไม่ถูกเก็บเอาไว้เฉย ๆ แต่จะถูกนำมาใช้จ่ายในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นประโยชน์ต่อทุก ๆ คนเป็นการโอบอุ้มสังคมทั้งสังคมให้ก้าวไปพร้อม ๆ กัน
ในการประกอบกิจการต่าง ๆ ก็ต้องมีจิตสำนึกของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสำหรับผู้บริโภคอีกทั้งต้องดูแลพนักงานทุกระดับให้มีสวัสดิการที่ดี เมื่อองค์กรต่าง ๆ รู้จักการให้และร่วมรับผิดชอบต่อสังคมเช่นนี้ก็ย่อมจะมีภาพลักษณ์ที่ดีและได้รับการยอมรับด้วยเช่นกัน ส่วนในระดับบุคคล เมื่อแต่ละคน หาทรัพย์มาได้ก็ต้องรู้จักการให้ เป็นการให้เพราะอยากช่วยเหลือแบ่งปันผู้อื่น มิใช่เพราะกฎหมายบังคับ อีกทั้งรู้จักการใช้จ่ายอย่างมีคุณค่า ไม่ผลาญทรัพยากรโลกเพียงเพื่อสนองความอยากของตน
เมื่อทุกคนคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมปัญหาความรุนแรงในสังคมก็จะคลี่คลายด้วยน้ำใจที่มีต่อกัน นี่คือการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพราะเศรษฐกิจกับจิตใจได้พัฒนาไปพร้อม ๆ กัน
หันมามองประเทศไทยกันบ้าง ประเทศไทย เป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่ประเทศไนโลกที่มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ ทั้งทางภูมิศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ประเทศเราไม่มีภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง แต่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีพระพุทธศาสนาเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ ความมีน้ำใจ และอัธยาศัยอันดีของคนไทย เป็นที่ประทับใจชาวต่างชาติจนได้รับสมญาว่า สยามเมืองยิ้ม
แต่สิ่งที่เราขาดอยู่คือ ยุทธศาสตร์การวางแผนระยะยาวเนื่องจากไทยเรามีทุกอย่างค่อนข้างพร้อม จะขยันมากขยันน้อยก็มีกินหาเช้ากินค่ำได้ ซึ่งแตกต่างจากประเทศเมืองหนาวที่อย่างน้อยต้องหาปีกินปี ไม่สามารถหาเช้ากินค่ำ เพราะถ้าไม่เตรียมตัวล่วงหน้า ในฤดูหนาวอาจอดตาย หรือหนาวตาย สภาพธรรมชาติบังคับให้ต้องมีการวางแผนระยะยาว
สำหรับประเทศไทย การที่จะรวมพลังของผู้คนทั้งประเทศให้ไปในทิศทางเดียวกัน จำเป็นต้องมีการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ดีเศรษฐกิจของประเทศไทย เราก็สามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ เพราะเรามีความพร้อมมีศักยภาพ ทั้งสติปัญญาของชาวไทยก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการทำงานเป็นทีม ขอยกตัวอย่างถึงสังคมจีน ด้วยเหตุที่คนจีนมีการแก่งแย่งแข่งขันกันสูง จึงมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ เป็นแซ่เป็นสมาคม เป็นหมู่บ้าน เพราะมีประวัติศาสตร์เป็นบทเรียน คนจีนผ่านศึกสงครามมากมาย ถึงคราวเกิดการแก่งแย่งชิงดีทางการเมืองขึ้นเมื่อใด ฝ่ายแพ้จะถูกฆ่าล้างตระกูลเลย เขาจึงต้องสามัคคีกันเพราะมีชะตากรรมร่วมกัน ครั้นถึงคราวต้องพัฒนาประเทศเขาก็สามารถรวมกลุ่มสามัคคีกันได้ เช่น บางตำบลช่วยกันผลิตไฟแช็คได้ถึง 80% ของโลก เพียงแต่การรวมตัวของคนจีนยังมีลักษณะเป็นกลุ่มเป็นเหล่า และบางครั้งยังมีการเบียดเบียนกลุ่มอื่นพวกอื่นอยู่บ้าง
ในขณะที่คนไทยนั้นมีน้ำใจ แต่ยังขาดการรวมกลุ่มกัน ถ้าเราพัฒนาการทำงานเป็นทีมได้ เศรษฐกิจไทยก็จะพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ เมื่อถึงเวลานั้น จุดเด่นในเรื่องความมีน้ำใจของเราจะยิ่งแสดงศักยภาพชัดเจน ดังนั้นเราจะต้องอาศัยแรงจูงใจด้านบวกให้ทุกคนเห็นถึงประโยชน์ คุณภาพของความสามัคคีการทำงานเป็นทีม และการมองการณ์ไกล เราจะสามารถนำคุณสมบัติที่โดดเด่นของปัจเจกบุคคลมารวมกันเข้าเป็นพลังของหมู่คณะ เป็นพลังของประเทศชาติ เป็นตัวอย่างให้ชาวโลกเห็นว่า ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง เพราะเศรษฐกิจกับจิตใจพัฒนาไปคู่กัน มีธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ
ดังนั้น ถ้าคนไทยทั้งประเทศศึกษาและทำตามหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขยันขันแข็ง ประหยัดมัธยัสถ์ แล้วทุ่มเทเพื่อส่วนรวม ใจที่คิดถึงส่วนรวม จะเป็นใจที่ขยายกว้างใหญ่ แล้วมีอานุภาพจะเกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างมหาศาล เพราะไม่ใช่ความคิดของคนๆ เดียว แต่เกิดจากสิ่งดีๆ จากทุกคนมารวมกัน รวมพลังความรู้ความสามารถ นวัตกรรมใหม่ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย ประเทศไทยก็จะเป็นผู้นำของโลกที่โดดเด่นทั้งเรื่องเศรษฐกิจ โดดเด่นทั้งเรื่องจิตใจ
ซึ่งเรื่องนี้จะสำเร็จได้เพียงใด ขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคนว่าพร้อมจะนำพาตัวเองและประเทศชาติไปสู่จุดนั้นไหม?
เจริญพร
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ