ความลับของสมอง
ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจเรื่องของพลังแห่งการคิดบวก แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเป็นจำนวนมาก แต่บางคนก็ยังสงสัยว่าพลังคิดบวกนี้เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นถึงรายละเอียดการทำงานของสมองออกมาแล้วว่า ถ้าคนเราคิดบวก เซลล์สมองของเราก็จะถูกปลูกฝังสิ่งที่เป็นบวกลงไป แต่ถ้าเราคิดลบเซลล์สมองก็จะปลูกฝังสิ่งที่เป็นลบลงไปเช่นกัน
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบในปัจจุบันได้อธิบายแล้วว่า ความคิดของคนส่งผลต่อพฤติกรรมและนิสัยอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เรารู้กันโดยทั่วไป แต่ยังขาดความชัดเจนในเรื่องของกระบวนการว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เช่น ทำไมคนที่ชอบดื่มเหล้า ก็มักจะดื่มอยู่เรื่อย ๆ แล้วทำไมคนขยันมักจะชอบทำงาน และประสบความสำเร็จซํ้า ๆ
ในเวลาต่อมา มีการค้นคว้าทางการแพทย์จนกระทั่งเราสามารถเข้าใจกระบวนการการทำงานของสมองได้อย่างชัดเจน คือ พอคนเราคิด พูด และทำอะไรซํ้าๆ ต่อเนื่องกันทุกวันเป็นเวลา 21 วันขึ้นไป ก็จะส่งผลให้เซลล์สมองของเรามีการปรับตัวสร้างปลอกไขมันมาหุ้มเส้นประสาทสมอง
ในเส้นทางนั้นทำให้สัญญาณประสาทลื่นไหล เป็นช่องทางพิเศษที่ทำให้สัญญาณประสาทในเส้นทางนั้นวิ่งได้เร็วกว่าปกตินับสิบเท่า เปรียบเสมือนเส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์ของข้อมูลทางประสาท ส่งผลให้เรามีแนวโน้มอยากสร้างพฤติกรรมซํ้าเดิมอีก เพราะเป็นเส้นทางที่สัญญาณประสาทเดินทางได้คล่องตัวที่สุด ดังนั้น การค้นคว้าทางการแพทย์จึงอธิบายให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“นิสัย”
คือ สิ่งที่เราคิด พูด และทำซํ้าๆ จนเกิดความเคยชิน เมื่อทำแล้วเกิดความสบายใจ จึงมีแนวโน้มว่าอยากจะทำซํ้าเดิมอีก แต่ถ้าไม่ได้ทำก็จะรู้สึกอึดอัดและเกิดอาการดิ้นรน เหมือนเวลาเราขับรถบนทางเกวียน หากถนนหนทางมันขรุขระ ใจเราก็มีแนวโน้มว่าอยากจะกลับไปใช้เส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์ เพราะสะดวกกว่านั่นเอง
วิธีที่จะแก้ไขนิสัยเดิม ๆ ได้คือฝืนตัดใจอย่างจริงจัง เพียง 7 วัน เส้นทางเก่าที่เคยเป็นทางซูเปอร์ไฮเวย์เรียบลื่น แต่ปลายทางเป็นเหวลึกก็จะเริ่มชำรุดเพราะไม่ได้ถูกใช้งาน ส่วน ทางเกวียนที่นำไปสู่เป้าหมายที่ถูกต้องคือเมืองใหญ่ พอเรากัดฟันวิ่งทางเกวียนสัก 7 วัน ทางเกวียนที่เคยเป็นหลุมเป็นบ่อ วิ่งไปช่วงแรก ๆ อาจจะขรุขระบ้าง ก็จะเริ่มกลายเป็นลูกรังมีหินคลุก พอกัดฟันครบ 21 วัน ทางลูกรังก็จะกลายเป็นซูเปอร์ไฮเวย์ เส้นทางใหม่ ส่วนทางเก่าก็หมดสภาพไป
เพราะฉะนั้น ขอให้เรากัดฟันสู้ ตั้งใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิต เปลี่ยนนิสัยไม่ดีที่เคยชินใหม่ เมื่ออดทนทำได้เราก็จะประสบผลสำเร็จในที่สุด ใช้เวลาเพียง 21 วันเท่านั้น
ถ้าเรานำความลับของสมองมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เราจะสามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง และเกิดประโยชน์กับเราจริง ๆ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า
“มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา
แปลว่า...ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จได้ด้วยใจ ฯ”
หมายความว่า คนเรามีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน จะดีชั่วสุขทุกข์อยู่ที่ใจทั้งนั้น
สิ่งที่ทรงอิทธิพลต่อใจอย่างมาก คือ “ความคิด” แม้แต่เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ความทะยานอยากก็ยังเกิดจากความคิด
ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ตัณหาอันเป็นเจ้าเรือน เราเห็นตัวเจ้าแล้ว กระดูกซี่โครงของเจ้าเราหักเรียบร้อยแล้ว เพราะเจ้าเกิดมาจากความคิด ความคิดเป็นนายช่างผู้สร้างเรือน”
ความคิดจึงสำคัญมาก ตัณหาความรักความหลงต่าง ๆ ล้วนเกิดมาจากความคิด ถ้าคิดไปในทางเสียหาย สิ่งไม่ดีทั้งหลาย ก็จะตามมาอีกมาก แต่ถ้าเราคิดไปในทางที่ดี สิ่งดี ๆ ก็จะตามมามากมายเช่นกัน ดังนั้น วิถีชีวิตของเราจะเป็นไปในทางบวกหรือลบ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดบวกหรือคิดลบนั่นเอง
หลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีค่าสูงยิ่งกว่ารัตนชาติทั้งหลาย ประดุจถ้อยคำเพชรถ้อยคำพลอย แต่ว่าเราได้มาง่ายจนบางทีอาจจะมองข้ามไป เช่น หลักธรรม “สัมมาสังกัปปะ” คิดชอบ ดำริชอบ หนึ่งใน “มรรคมีองค์แปด” ที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ชัดเจนตรงตัวว่า หมายถึงการคิดออกจากกาม คิดไม่พยาบาทและคิดไม่เบียดเบียน
คนส่วนใหญ่อ่านหลักธรรมนี้เพียงผ่านตา แล้วปล่อยผ่านเลยไปไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้นำมาใช้ในการดำเนินชีวิต ทั้งที่จริง ๆ แล้วเราสามารถนำหลักธรรมเหล่านี้มาปรับใช้ในการคิดบวกได้ดีมาก
คนทั่วไปแม้จะมีแนวโน้มคิดบวก แต่ก็ยังไม่เต็ม 100% เพราะยังไม่หมดกิเลส ยังมีทั้งคิดบวกคิดลบผสมปนเปกันอยู่ ถ้าเรามีเปอร์เซ็นต์ของความคิดบวกสูงกว่าคนทั่วไป ก็ถือว่าเราเริ่มประสบความสำเร็จแล้ว แต่บางครั้งเราก็อาจจะเผลอคิดลบ จนส่งผลให้เส้นทางชีวิตของเราเปลี่ยนไปได้ เช่น “คิดหมกมุ่นในกาม” จากเดิมที่เราเคยเป็นคนคิดบวก ความคิดก็จะผิดเพี้ยนไป เพราะเกิดคลื่นทางลบทำลายคุณภาพของใจ
“คิดพยาบาท”
คือ คิดอาฆาต เขาผูกพยาบาทจองเวรกันข้ามภพข้ามชาติ แค่คิดเท่านั้นคุณภาพใจจะเสื่อมลงทันที ซึ่งการคิดพยาบาทคือกรอบใหญ่ทางความคิด พอกรอบใหญ่รวนก็จะส่งผลให้เส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์หลักรวน กระบวนการซูเปอร์ไฮเวย์ทางบวกทั้งหลายมันก็รวนตามไปด้วย ความคิดบวกก็อ่อนแรงเสียหายตาม ๆ กันไปหมด
“คิดเบียดเบียน”
คือ คิดไม่ชอบหน้าผู้อื่น คิดอยากกลั่นแกล้งเขาในขณะที่เรายังไม่ทันลงมือ แค่เราคิดว่าอยากจะด่าเขาสักที อยากจะตบเขาสักครั้ง อยากจะชกหน้าเขาสักหน เท่านี้คุณภาพของใจเราก็เสื่อมลงแล้ว ส่งผลให้ระบบสัญญาณประสาททางบวกสั่นคลอน และสัญญาณทางลบเริ่มแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เจริญพร