มนุษย์เลือกเกิดได้จริงหรือ?
เมื่อสังคมยังมีความเหลื่อมล้ำหลากทางฐานะ ทั้งร่ำรวย ปานกลาง และยากจน บางคนยากจนแล้วยังพิการ จนหลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมคนเราจึงต้องเผชิญกับเรื่องเหล่านี้
ขอตอบชัดเจนไปเลยว่า “คนเราเลือกเกิดได้”
เราเป็น ผู้ลิขิตชีวิตของเราเอง ไม่ใช่พระพรหมหรือเทวดาอารักษ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราลิขิตชีวิตของตัวเองด้วยสิ่งที่เรากระทำ เรียกว่า “กรรมลิขิต” ไม่ใช่ “พรหมลิขิต”
“กรรมลิขิต” คือ สิ่งที่เราเคยทำไว้ทั้งกรรมในอดีตชาติ และกรรมในปัจจุบันชาติประกอบกันเป็นตัวลิขิตชีวิตของเรา เมื่อเราจะมาเกิด กรรมในอดีตที่เราทำเอาไว้จะเป็นตัวกำหนด ว่าเราจะมาเกิดที่ไหน ในสถานภาพใด
บางท่านสงสัยว่า ทำไมคนบางคนเกิดมาในบ้านที่มีฐานะรํ่ารวย คนบางคนเกิดมาในบ้านที่มีฐานะยากจน แต่ละคนเกิดมามีต้นทุนไม่เท่ากัน บางคนพิการ บางคนเกิดมามีรูปร่างหน้าตางดงาม บางคนเกิดมามีสติปัญญาดี เป็นต้น
หลายท่านไม่เข้าใจ น้อยเนื้อตํ่าใจว่าตนโชคร้าย เพราะหาคำตอบไม่ได้ บ่นกับตัวเองว่าอย่างนี้ไม่ยุติธรรม แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างมีที่มาที่ไป ไม่มีอะไรเกิดมาโดยความบังเอิญ ทุกอย่างล้วนมีเหตุทั้งสิ้น จากกรรมที่เราทำไว้ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่าชีวิตเราเองสามารถเลือกเกิดได้ จึงต้องถามต่อว่า ควรหรือไม่ที่เราจะ “ออกแบบชีวิต” ของเราให้ดีงาม
ยกตัวอย่างในครั้งพุทธกาล มีเศรษฐีท่านหนึ่งชื่อ อานันทเศรษฐี มีฐานะรํ่ารวยมาก มีทรัพย์ถึง 80 โกฏิ (เท่ากับ 800 ล้านกหาปณะ) ถ้าเทียบค่าเงินในปัจจุบันก็หลายหมื่นล้านบาท
อานันทเศรษฐี เป็นเศรษฐีใหญ่ของเมือง แต่เป็นคนขี้เหนียวสลึงก็ไม่ให้กระเด็น เขามักจะสอนลูกสอนหลานว่า
“ลูกเอ๋ย...อย่าคิดว่าทรัพย์ที่เรามีนี้มากมาย ถ้าลูกใช้จ่ายออกไป วันใดวันหนึ่งทรัพย์นี้ก็อาจจะหมดลงได้ เพราะฉะนั้นลูกจงอย่าปันทรัพย์ให้ใครแม้แต่น้อย เราจะได้รักษาความรวยไว้ได้นานๆ” นี่คือสิ่งที่อานันทเศรษฐีคิดและพยายามสอนลูกหลานมาโดยตลอด
อานันทเศรษฐีได้แอบเอาเงินไปฝัง เพราะในสมัยก่อนยังไม่มีธนาคาร เขาเอาเงินไปใส่โอ่งแล้วก็ฝังดินไว้เป็นขุมทรัพย์ 5 แห่งด้วยกัน เพราะคิดว่าถ้าฝังทรัพย์ไว้ที่เดียวกันหมด หากเกิดอะไรขึ้นมาจะมีปัญหาได้ เขาจึงกระจายความเสี่ยงโดยการฝังทรัพย์ไว้ 5 แห่ง โดยไม่บอกให้ลูกรู้ เพราะกลัวว่าถ้าบอกไปแล้ว เดี๋ยวลูกอาจจะไปแอบขุดทรัพย์ของตน อานันทเศรษฐีตั้งใจว่าเมื่อถึงคราวใกล้ตายค่อยบอกลูก เรื่องขุมทรัพย์ที่ตนฝังไว้ แต่เผอิญอานันทเศรษฐีตายกระทันหันจึงไม่ทันได้บอก
ในครั้งพุทธกาล ตําแหน่งเศรษฐีเป็นเหมือนตําแหน่งผู้บริหารเศรษฐกิจของเมือง คล้ายๆ รัฐมนตรีคลังในปัจจุบัน หลังจากที่อานันทเศรษฐีตาย พระราชาเรียกลูกของอานันทเศรษฐีที่ชื่อ มูลสิริ เข้าเฝ้า แล้วตั้งให้มูลสิริเป็นเศรษฐีแทนพ่อ
ส่วนอานันทเศรษฐีพอตายก็ไปเกิดในท้องของหญิงจัณฑาลอยู่ที่ประตูเมือง เพราะไม่ได้ทำบาปกรรมหนักอะไรมากนักจึงไม่ไปอบาย ยังสามารถกลับมาเกิดเป็นคนได้
การที่อานันทเศรษฐีไปเกิดในท้องหญิงจัณฑาลนี้ เขาออกแบบชีวิตด้วยตัวของเขาเอง ด้วยความที่ชาติก่อนเป็นคนขี้เหนียวมาก จึงมาเกิดในท้องของหญิงจัณฑาล พอเกิดมาก็ยากจน ยิ่งกว่านั้นทันทีที่อานันทเศรษฐีมาเกิดในท้องแม่ หมู่คนจัณฑาลที่อาศัยอยู่ที่ประตูเมืองก็แทบจะหางานทำไม่ได้ อิทธิพลจากวิบากกรรมความตระหนี่แบบสุดๆ ส่งผลแผ่ไปทั่ว
หญิงจัณฑาลผู้นี้อาศัยรวมอยู่กับคนจัณฑาลประมาณพันตระกูล คนจัณฑาลเหล่านั้นรู้สึกว่าผิดสังเกต เพราะแต่ก่อนพวกเขาไม่เคยลำบากขนาดนี้ ตอนนี้แค่พอจะได้ข้าวมากินเพื่อยังชีพก็แสนสาหัส ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงตัดสินใจลองแยกคนทั้งพันตระกูลออกเป็น 2 ส่วน ปรากฏว่าตระกูลส่วนที่หญิงจัณฑาลผู้นี้อยู่กลับฝืดเคือง ในขณะที่อีกกลุ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น
จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ แยกกันอยู่ทีละครึ่งๆ สุดท้ายก็มาพบว่าตัวของหญิงจัณฑาลนี้เป็นกาลกิณี จนท้ายที่สุดพ่อบ้านทนไม่ไหว ถึงขนาดต้องขอแยกตัวออกจากหญิงจัณฑาลผู้นี้ที่ยังอุ้มลูกอยู่ในครรภ์ ชีวิตของหญิงจัณฑาลลำบากมาก การงานก็หาไม่ได้จนต้องออกไปขอทาน กว่าจะได้ข้าวมานิดนึงพอประทังชีวิตก็แสนสาหัส
เมื่อคลอดลูกออกมา มือ เท้า ตา หู จมูก ปากมันบิดเบี้ยวไปหมด ตาเหล่ จมูกบิด ปากแหว่ง หน้าตาเหมือนปีศาจคลุกฝุ่นดูไม่ได้ มิหนำซํ้าวันไหนถ้าแม่พาลูกออกไปขอทานด้วย วันนั้นก็มักจะขอทานอะไรไม่ได้เลย ต้องทิ้งลูกไว้ที่บ้าน ตัวเองออกไปขอทานจึงพอจะได้อาหารมาบ้าง แล้วก็เอาอาหารมาแบ่งให้ลูกกิน
ครั้นพอลูกอายุประมาณ 4- 5 ขวบ เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้ แม่ก็บอกว่า “ลูกเอ๋ย...แม่ดูแลเจ้ามาถึงขนาดนี้จนตัวเองแทบตาย เจ้าก็พอเดินได้แล้ว ไปขอทานเลี้ยงชีพเองเถอะนะ” ว่าแล้วก็ส่งกระเบื้องแตกให้หนึ่งแผ่น จากนั้นเด็กน้อยอดีตอานันทเศรษฐีก็จำใจต้องถือกระเบื้องออกไปขอทานเลี้ยงชีพเอง
อยู่มาวันหนึ่ง เด็กน้อยอดีตอานันทเศรษฐีเดินผ่านมาที่หน้าบ้านของตัวเองก็ระลึกชาติได้ จำได้ว่านี่เป็นบ้านของตน จึงเดินเข้าไปในบ้าน แต่พอลูกของมูลสิริเศรษฐีเห็นหน้าเด็กน้อยปีศาจคลุกฝุ่นเข้า ก็ร้องไห้เพราะตกใจกลัว คนรับใช้ในบ้านเลยต้องหิ้วเด็กน้อยอดีต อานันทเศรษฐีไปโยนทิ้งที่กองขยะ เหตุเพราะทำให้ลูกเศรษฐีตกใจ
เวลานั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตผ่านมาพอดี มีพระอานนท์เดินตามหลัง พระองค์เห็นเหตุการณ์นั้นก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ซึ่งเมื่อพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แสงส่องมากระทบพระเขี้ยวแก้วของพระองค์ก็จะมีแสงวาบออกมา พระอานนท์เห็นดังนั้นก็รู้ว่ามีเหตุเกิดขึ้นจึงกราบทูลถาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “มีเหตุอันใดหรือพระพุทธเจ้าข้า” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “อานนท์เธอเห็นเด็กน้อยในกองขยะนั้นหรือไม่ เด็กคนนั้นคืออานันทเศรษฐี”
จากนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้พระอานนท์ตามมูลสิริเศรษฐีและครอบครัวทั้งหมด รวมทั้งเด็กน้อยปีศาจคลุกฝุ่นมาประชุมพร้อมหน้ากัน แล้วจึงตรัสกับมูลสิริเศรษฐีว่า พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเด็กน้อย ปีศาจคลุกฝุ่นผู้นี้เป็นใคร ทุกคนตอบตรงกันว่า“ไม่รู้...เด็กที่ไหน หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “เด็กคนนี้ภพในอดีตคือพ่อของพวกท่าน...อานันทเศรษฐี” แต่ทุกคนต่างก็ไม่มีใครเชื่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสสั่งให้เด็กน้อยปีศาจ คลุกฝุ่นไปชี้ขุมทรัพย์ 5 แห่ง
สุดท้ายลูกๆ ทุกคนจึงยอมเชื่อว่าเด็กน้อยปีศาจคลุกฝุ่นคือ พ่อของพวกเขาจริงๆ เพราะเด็กน้อยชี้ขุมทรัพย์ได้ตรงจุดและถูกต้องทั้งหมด สุดท้ายทุกคนในครอบครัวก็ยอมให้การอุปถัมภ์เด็กน้อยปีศาจคลุกฝุ่น เขาจึงรอดตัวด้วยอาศัยบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องนี้ ชี้ให้เห็นว่า “เราคือผู้ออกแบบชีวิตของตัวเอง”
จากชาติปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐี แต่เลือกออกแบบชีวิตให้ชาติหน้าเกิดมายากจนด้วยการขี้เหนียวสุดๆ ในชาตินี้ ผลคือเมื่อตายลง แล้วก็เกิดมายากจนสุดๆ ไปอยู่กับใครคนนั้นก็พลอยลำบากด้วย อายตนะความตระหนี่ที่เหนี่ยวนำ ที่โบราณเรียกว่าเป็น “กาลกิณี” ดังนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ต้องมาดูต่อว่า เราควรจะเลือกเกิดอย่างไร แล้วเราจะออกแบบชีวิตของเราอย่างไรดี
หากเราต้องการเกิดมามีฐานะดี รํ่ารวย เราก็ต้องออกแบบชีวิตโดยในชาตินี้เราต้องไม่ตระหนี่ ไม่เห็นแก่ตัว แต่ต้องเป็นคนมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อแบ่งปัน เห็นใครลำบากก็หาทางช่วยเหลือเขา เห็นใครขาดแคลนก็แบ่งปันให้เขาบ้าง แบ่งปันบนพื้นฐานของความพอดี ไม่ถึงขนาดทำให้ตัวเราเองเดือดร้อน มีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ และสัตว์อื่นๆ
ต้องพร้อมที่จะแบ่งปันให้ความช่วยเหลือทุกชีวิต รวมทั้งต้องรู้จักทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญด้วย คือ ทำบุญกับพระรัตนตรัยด้วย อานิสงส์ผลบุญก็จะส่งผลให้ชาติหน้าเราเกิดมาร่ำรวย ไม่ตกอับ อย่างแน่นอน
หากเราต้องการเกิดมาเป็นคนเฉลียวฉลาด ก็ต้องออกแบบชีวิตตนเองตั้งแต่ชาตินี้ โดยเราจะต้องสร้างปัญญาบารมี เช่น สนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่เด็กๆ ที่เรียนดีแต่ยากจน หรือถวายทุน การศึกษาแด่พระภิกษุสามเณรที่ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย หรืออาจจะทำบุญทำทานทางด้านการศึกษา แบ่งปันตำราเรียน ค่าเล่าเรียน สร้างอาคารเรียน เป็นต้น ซึ่งอานิสงส์เหล่านี้จะส่งผลให้เรามีสติปัญญาดี
ที่สำคัญต้องไม่ดูถูกผู้อื่น ไม่ทะนงตนคิดว่าตัวเองมีปัญญาดี แล้วไปดูถูกผู้อื่นว่าโง่ ไม่ฉลาดเหมือนเรา หากไปดูถูกผู้อื่นแล้วล่ะก็ ชาติหน้าเราจะเกิดมามีปัญญาทึบ
ยกตัวอย่างในครั้งพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ พระจูฬปันถก ชาติก่อนท่านฉลาดมาก แต่ไปดูถูกพระภิกษุรูปอื่นว่าฉลาดสู้ตนไม่ได้ ผลคือชาตินี้เกิดมามีปัญญาทึบ ท่านมีพี่เป็นพระอรหันต์ชวนท่านมาบวช พอท่านบวชเป็นพระแล้ว กลับท่องคาถาเพียง 4 บรรทัดไม่ได้ เวลาผ่านไป 3 เดือน ท่องไปท่องมาก็จำไม่ได้สักที ปัญญาถูกปิดกั้น จนพี่เอ่ยว่าน้องคงบวชต่อไม่ไหวแล้ว เพราะแค่บทสวดมนต์ 3-4 บรรทัด ยังท่องจำไม่ได้เลย ขอให้น้องสึกเถิด แต่ดีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงช่วยไว้ จนพระจูฬปันถกเถระได้เป็นพระอรหันต์ในที่สุด
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไปดูถูกดูหมิ่นสติปัญญาผู้อื่นเด็ดขาด แต่ละคนก็มีข้อดีของตัวเองทั้งนั้น ในเรื่องความจำเขาอาจจะสู้เราไม่ได้ แต่เรื่องอื่นๆ เขาอาจจะดีกว่าเราก็ได้ เราต้องไม่ดูถูกใคร
ที่กล่าวมาแล้วนี้คือองค์ประกอบที่จะนำมาซึ่งความเฉลียวฉลาด แต่หัวใจสำคัญของที่มาความฉลาด คือ “ต้องหมั่นเจริญสมาธิ ภาวนา” การทำสมาธิภาวนานี้เอง เป็นหัวใจหลักที่จะนำสติปัญญามาสู่เราโดยตรง ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไรก็จะราบรื่น คิดอ่านการใดจะทะลุปรุโปร่งแทงตลอด ถึงคราวปฏิบัติธรรมก็จะสามารถบรรลุธรรมได้โดยง่าย เกื้อหนุนประโยชน์ในชาตินั้นๆ รวมทั้งประโยชน์ในชาติหน้าด้วย ตลอดจนประโยชน์อย่างยิ่ง คือ “การบรรลุธรรม” เพราะฉะนั้นต้องมีความเพียรในการนั่งสมาธิภาวนา โดยสรุป หัวใจสำคัญที่ทำให้เป็นคนฉลาด คือ
(1) ขยันนั่งสมาธิ
(2) ทำบุญเรื่องการศึกษา
(3) ไม่ดูถูกผู้อื่น
ถ้าปฏิบัติได้ครบ 3 ข้อนี้ เราก็สามารถออกแบบชีวิตตนเองให้เป็นคนเฉลียวฉลาดได้
หากเราต้องการเกิดมาเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง มีบุคลิก หน้าตาดี ก็ต้องออกแบบชีวิตตนเองตั้งแต่ชาตินี้โดยการรักษาศีล อย่างน้อยพื้นฐานให้รักษาศีล 5 ไว้ เมื่อเกิดมาสุขภาพก็จะแข็งแรง รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณวรรณะดี
คนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต รังแกทุบตีผู้อื่น ใจคอโหดร้าย เกิดมา สุขภาพก็จะไม่ดี บางทีพิการแต่กำเนิด ป่วยเป็นโรคนั้นโรคนี้ เป็นต้น
“ศีล” เป็นที่มาของความแข็งแรง มีบุคลิกภาพ หน้าตาผิวพรรณดี ถ้า เราอยากจะมีผิวพรรณดี ก็อย่าเป็นคนมักโกรธ ขี้โกรธ ขี้โมโห เพราะ คนมักโกรธผิวพรรณจะหยาบกร้าน ถ้าต้องการมีผิวพรรณดีไม่ต้องไปหายาบำรุงผิวที่ไหน ดีที่สุดก็คือการแผ่เมตตาจิตมากๆ เป็นคนมีอารมณ์ดีเนืองนิจ คือ มีความหวังดีต่อทุกชีวิต เมื่อเกิดเรื่องราวอะไร ก็ไม่เก็บอารมณ์โกรธ ปล่อยให้ผ่านไป ถ้าทำได้อย่างนี้แล้วล่ะก็ ผิวพรรณวรรณะก็จะดี
รวมทั้งการทำบุญด้วยผ้าไตรจีวร ผู้ให้ผ้าชื่อว่าเป็นผู้ให้วรรณะ คือ ให้ผิวพรรณวรรณะที่งดงาม แล้วผ้านี้ก็จะไปคุ้มครองความร้อน ความหนาว แมลง เหลือบยุง ริ้นไร ไม่ให้รบกวนพระภิกษุ เพราะฉะนั้นอานิสงส์จะส่งให้เรามีผิวพรรณวรรณะดีด้วยนั่นเอง
ความจริงแล้วเราสามารถถวายผ้าไตรจีวรได้ตลอด แต่โดยทั่วไปนิยมถวายผ้าไตรจีวรแก่ผู้ต้องการจะบวชในตอนที่เป็นนาค เพราะเมื่อถวายท่านก็รับผ้าไตรจีวรไปครอง บวชเป็นพระภิกษุได้ใช้ในทันที ทำให้ผู้ถวายปลื้มใจเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่พ่อแม่จะเป็นผู้ถวายผ้าไตรจีวรแก่ลูกนาคที่จะบวชพระ พอนาครับเสร็จก็เดินเข้าโบสถ์ บวชแล้วจึงผลัดเปลี่ยนไปครองผ้ากาสาวพัสตร์ ถึงแม้เราจะถวายผ้าไตรจีวรตอนที่ท่านเป็นพระภิกษุแล้วเราก็ได้บุญมหาศาล
หากเราต้องการเกิดมาเป็นคนที่มีพวกพ้องบริวารมาก คอยให้การช่วยเหลือสนับสนุน ทำอะไรก็สำเร็จได้โดยง่าย ทำงานอะไรก็มีแต่คนมาช่วย เราก็ต้องออกแบบชีวิตตนเองตั้งแต่ชาตินี้
พระสารีบุตร เคยให้คำตอบในเรื่องนี้ไว้ว่า คนบางคนรวยทรัพย์แต่จนเพื่อน คือ “รวยเดี่ยว” ไม่ค่อยมีเพื่อน บางคนรวยเพื่อน แต่จนทรัพย์ คือ “มีเพื่อนมากและรวย แต่ตัวเองไม่รวย” บางคนจนทั้งเพื่อนจนทั้งทรัพย์ คือ “เพื่อนก็ไม่มี จนก็จน” แต่คนบางคน “รวยทั้งทรัพย์ รวยทั้งเพื่อน”
ที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ที่ทำบุญจะได้รับอานิสงส์คือ รวยทรัพย์ และเมื่อชักชวนผู้อื่นให้ทำบุญด้วยก็จะรวยเพื่อน แต่บางคนมักจะทำบุญคนเดียว ไม่ชอบชวนใครมาทำบุญด้วยเพราะเกรงใจเขา กลัวเขาจะหาว่าไปรบกวน จึงไม่อยากเอ่ยปากชวนใครทำบุญ ผลลัพธ์คือ รวยทรัพย์ แต่จนเพื่อน แต่แปลกนะว่า พอทีชวนกันไปดื่มเหล้าก็ไม่เห็นกลัวว่า จะไปรบกวนเขา ไม่กลัวว่าเขาจะเสียทรัพย์ เสียสุขภาพ ผิดศีล แต่พอจะชวนเขาทำความดีกลับเกรงใจ
บางคนชอบชวนคนอื่นทำบุญแต่ตัวเองกลับไม่ทำ ผลคือ มีเพื่อนรวยเป็นมหาเศรษฐี ได้ความภูมิใจที่มีเพื่อนรวย แต่ตัวเองไม่รวย
บางคนทั้งยากจน เพื่อนก็ไม่มี นั่นเป็นเพราะตัวเองไม่ชอบ ทำบุญ ไม่ชอบชวนใครทำบุญ มิหนำซํ้าเห็นใครทำบุญ ยังไปว่าร้ายเขาอีก นี้เกิดจากความเห็นผิดหรือความตระหนี่ในใจของตนเองก็เลยหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยง บางทีก็บอกว่า “ไม่ทำหรอกสร้างวัตถุ เราเน้นจิตใจมากกว่า” นั่นเป็นเพียงการหาข้ออ้างให้ตัวเองสบายใจเท่านั้นเอง แต่ข้ออ้างให้สบายใจเหล่านี้ มันทำให้สบายใจแค่ตอนนี้เท่านั้น พอเกิดชาติหน้าจะทั้งยากจน ทั้งขาดเพื่อนพ้อง
บางคนรวยทั้งทรัพย์รวยทั้งเพื่อน เพราะว่าตัวเองทำบุญแล้ว ยังชวนคนอื่นทำด้วย ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป ใครอยากจะเป็นคนที่มีพวกพ้องมาก มีคนคอยช่วยเหลือเต็มที่ ก็ขอให้ตั้งใจทำความดี ทำบุญ สร้างกุศล แล้วหมั่นชวนคนอื่นมาทำด้วยกันมากๆ เราก็จะมีเพื่อนดี เป็นจำนวนมาก จะทำอะไรก็สำเร็จ กลายเป็นสมัชชาคนรวย เป็นสมาคมมหาเศรษฐี เมื่อเราเกิดมาแล้วมีเพื่อนล้วนแต่เป็นมหาเศรษฐี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดีประเทศนั้นประเทศนี้ ทำอะไร ก็จะไหลลื่นสะดวกสบาย หากต้องการผลอย่างนี้เราก็ต้องประกอบ เหตุทำความดี แล้วชวนคนอื่นทำความดีไปกับเราด้วยมากๆ นั่นเอง
เจริญพร
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ