สวดมนต์รักษาโรค

วันที่ 16 กค. พ.ศ.2563

สวดมนต์รักษาโรค

                ถ้าตอนไหนเรามีเรื่องเครียด ไม่สบายใจ กลัดกลุ้มใจ พอหลายๆ วันเข้า จะสังเกตได้ว่า ร่างกายของเราอาจจะป่วยไม่สบายได้

                สำหรับในเรื่องนี้ จะมีอะไรช่วยเราได้บ้าง

                มีผลการวิจัยของนักวิจัยชาวตะวันตก พูดเรื่องการสวดมนต์สามารถรักษาสุขภาพได้ โดยสามารถอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า มนุษย์ประกอบด้วยกายกับใจ ทั้งสองส่วนส่งผลสืบเนื่องกัน

19781-01.jpg

                      คนเป็นโรคท้องอืด ท้องเฟ้อ นอนไม่หลับ ความดันสูง สารพัดโรคเกิดขึ้นได้มากมาย แต่ถ้าตอนไหนเรารู้สึกสบายใจ อารมณ์ดี รู้สึกว่ากำลังมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต หน้าตาผิวพรรณของเราก็จะสดใส

                      ในทำนองเดียวกัน ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง เกิดอาการป่วยไข้ นานวันเข้าใจก็ย่อมหดหู่ตามไปด้วย แต่ถ้าร่างกายแข็งแรง ใจเราก็จะมีโอกาสสดชื่นได้มากกว่า กายกับใจส่งผลซึ่งกันและกันอย่างนี้

                      การสวดมนต์ทำให้ใจเรานิ่งสงบ แล้วเกิดความสบายใจ พอสบายใจ ใจได้สมดุล ย่อมนำไปสู่ภาวะร่างกายที่สมดุลด้วย เพราะฉะนั้นถ้าร่างกายป่วย อาการไม่สบายก็จะทุเลาลงแล้วค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ถ้าสุขภาพดีอยู่แล้วก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก

                     คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันมักจะชื่นชอบอะไรที่เป็นรูปธรรม มองเห็นได้จับต้องได้ ถ้ามีคนมาบอกเราว่าสวดมนต์แล้วดี เราฟังแล้วอาจจะคิดตามเพียงเห็นดีด้วย แต่ยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม

                       มีผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งทำการทดลองเรื่อง “น้ำ” อย่างเป็นรูปธรรมขึ้นมา เขาทำการทดลองโดยนำน้ำมาทำให้แข็งตัว คือ เย็นจนกระทั่งจับผลึก พอได้ผลึกน้ำแล้วก็นำมาส่องกล้อง จุลทรรศน์ เพื่อดูว่าลักษณะของผลึกนํ้านั้นเป็นอย่างไร

19781-02.jpg

                    จากนั้นก็ทดลองโดยใช้นํ้าที่มาจากแหล่งนํ้าเดียวกัน นำมาแยกเป็น 2 ขวด โดยนํ้าขวดหนึ่งเราพูดจาไพเราะกับมัน ส่วนอีกขวดหนึ่งเราพูดด้วยถ้อยคำร้ายๆ เช่น แย่ เลว ผลปรากฏว่าผลึกนํ้านั้นมีลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นํ้าในขวดที่เราพูดไพเราะด้วยนั้น มีลักษณะของผลึกที่เป็นรูปทรงหกเหลี่ยมสวยงาม แต่นํ้าในขวดที่เราพูดไม่ดีด้วยนั้น กลับมีลักษณะของผลึกที่ไม่เป็นรูปร่างอย่างกับคนหัวใจสลาย

                  มีตัวอย่างผลึกของนํ้าจากเขื่อนฟูจิวาร่า ก่อนได้ฟังเสียงสวดมนต์ ลักษณะของผลึกไม่เป็นรูปทรง แต่พอสวดมนต์ให้ฟังทุกวันๆ ระยะหนึ่ง ผลปรากฏว่าผลึกนํ้ากลายเป็นผลึกหกเหลี่ยมคล้ายอัญมณีที่มีความงดงาม นี่คือการทดลองวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำซ้ำได้ ไม่ว่าจะทดลองซ้ำอีกกี่ครั้งก็ปรากฏผลลัพธ์ที่เหมือนเดิม

                    แม้แต่การทดลองที่นำข้าวสุกที่หุงเสร็จเรียบร้อยแล้วมาใส่ ขวดโหลแยกออกเป็น 2 ขวด แล้วปิดฝาไว้ ขวดหนึ่งพูดด้วยคำพูดที่ไพเราะ อ่อนโยน อีกขวดหนึ่งพูดด้วยถ้อยคำไม่ดี ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ข้าวในขวดโหลที่เราพูดจาไพเราะด้วยนั้นมีสีเหลืองนวลสวย แต่ข้าวอีกขวดหนึ่งที่เราพูดจาไม่ดีด้วยทุกๆ วันนั้นกลับมีสีดำ

19781-03.jpg

                 จากผลการทดลองชี้ให้เห็นว่า ข้าวก็ตาม นํ้าก็ตาม ไม่ได้เข้าใจภาษาแต่อย่างใด ยกตัวอย่างในการทดลองนี้โดยใช้ภาษาญี่ปุ่นพูด กับข้าวกระปุกหนึ่งว่า “อาริงาโตะ” แปลว่า “ขอบคุณ” ส่วนข้าวอีก กระปุกหนึ่งพูดว่า “บากะ” ซึ่งแปลว่า “ไอ้โง่” ถามว่าข้าวเข้าใจภาษาญี่ปุ่นด้วยหรือ แล้วถ้าเราเปลี่ยนมาพูดภาษาไทยว่า “ขอบคุณ” กับ “ไอ้โง่” หรือพูดภาษาต่างประเทศล่ะ ข้าวจะรู้เรื่องหรือไม่

                ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องของภาษา แต่เป็นเรื่องของกระแสใจ คือ ในขณะที่เราพูดว่า “ขอบคุณ” โดยธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม กระแสใจที่ออกมาในขณะที่พูดนั้นจะเป็นกระแสของความรู้สึกดี เป็นกระแสทางบวก แต่ถ้าเราพูดว่า “ไอ้โง่”

                ถึงแม้ว่าเราจะแกล้งพูดก็ตาม ภาพที่เกิดขึ้นมาในใจเราขณะที่พูดคำไม่ไพเราะนั้น กระแสใจเราจะเริ่มเปลี่ยนแล้ว ยิ่งถ้าเกิดเรารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ กระแสใจในแง่ลบก็จะแรงยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าเราพูดซํ้าๆ ทุกวัน ก็ยิ่งส่งผลรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

                 ข้าวเอย นํ้าเอย ไม่มีชีวิต ไม่รู้ภาษามนุษย์ แต่มันสัมผัสถึง กระแสใจเราที่ส่งออกไปได้ โดยกระแสที่ออกไปนั้น ส่งผลต่อลำดับโครงสร้างโมเลกุลของนํ้า ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในข้าว

                 เพราะฉะนั้น คลื่นเสียงเป็นสื่อของคลื่นใจ เริ่มต้นมาจากใจ แล้วส่งออกไปเป็นคลื่นเสียง ถ้าคลื่นใจดี คลื่นเสียงที่ออกไปจะมีจังหวะที่ดีด้วย ถ้าคลื่นใจเสียก็จะส่งผลไม่ดีออกไปด้วยเช่นกัน แล้วส่งผลไปถึงทุกสรรพสิ่ง

19781-04.jpg

 

                   ดังนั้น หากเราสวดมนต์ทุกวัน หมั่นสร้างคลื่นใจที่ดีให้กับตัวเองจากภายใน ด้วยความดื่มด่ำซาบซึ้งในคุณของพระรัตนตรัย กระแสดีๆ ก็จะออกมาจากใจเรา สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งเลือดและนํ้าในตัวเราทั้งหมดจะเกิดเป็นผลึกที่สวยงาม ผิวพรรณวรรณะก็จะผ่องใส เพราะฉะนั้นถ้าปรารถนาให้ตัวเรามีสุขภาพแข็งแรง มีความเบิกบานผ่องใส ก็ให้หมั่นสวดมนต์เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าเครื่องสำอางราคาแพงยี่ห้อไหนก็สู้การสวดมนต์ไม่ได้

                  เรื่องราวที่กล่าวมานั้นเป็นมุมมองด้านวิทยาศาสตร์ ส่วนในแง่ทางพระพุทธศาสนานั้น การสวดมนต์ถือว่าได้อานิสงส์ ซึ่งความหมายของอานิสงส์ก็คล้ายๆ กับคำว่าประโยชน์นั่นเอง คือ พอเราสวดมนต์ใจเราก็จะสงบ แล้วเกิดบุญกุศลขึ้นมาหล่อเลี้ยงใจ ดึงดูดสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นมาในชีวิตของเรานั่นเอง

                ที่สำคัญการสวดมนต์เป็นการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตของเราก็จะดำเนินไปในทางบวก สุขภาพร่างกายแข็งแรง จิตใจเบิกบานผ่องใส ทั้งการเรียนและหน้าที่การงานดำเนินไปอย่างได้ผลดี...

 

                   ณ กรุงพาราณสี มีเด็กสองคนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งอยู่ในครอบครัวสัมมาทิฐิ มีความเห็นชอบ ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งอยู่ในครอบครัวมิจฉาทิฐิ มักเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

19781-05.jpg

                    เมื่อถึงเวลาแข่งกีฬาตีคลี เด็กที่มาจากครอบครัวสัมมาทิฐิมัก จะสวดมนต์บทสั้นๆ ก่อนลงแข่งเสมอว่า “นะโมพุทธายะ” แปลว่า “ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ส่วนเด็กที่มาจาก ครอบครัวมิจฉาทิฐิ มักจะกล่าวบูชาพระพรหมว่า “ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพรหม” เพียงเท่านั้น ไม่กล่าวบูชาพระรัตนตรัย

                     ครั้นผลการแข่งขันออกมา ปรากฏว่าเด็กคนแรกมักจะกุมชัยชนะอยู่เสมอๆ จนเด็กคนที่สองเกิดความสงสัย จึงเอ่ยถามเพื่อนว่า “เธอมีเคล็ดลับอะไร ถึงทำให้ชนะฉันได้ทุกครั้งไป”

                     เด็กคนแรกได้ยินดังนั้น จึงสอนให้เพื่อนสวดมนต์เหมือนกับ ตนเองว่า “นะโมพุทธายะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เด็กคนที่สองก็ทำตามทั้งที่ไม่รู้เรื่อง เพียงเห็นว่าท่องสั้นดี และหวังจะให้ทุกอย่างออกมาราบรื่นบ้างเท่านั้นเอง

                     เวลาต่อมา เด็กชายในครอบครัวมิจฉาทิฐิได้ตามพ่อของเขาเข้าไปตัดไม้ในป่าใหญ่ ครั้นเมื่อผู้เป็นพ่อตัดไม้เสร็จ ปรากฏว่าโคที่เทียมเกวียนหนีเตลิดหายเข้าไปในป่า พ่อจึงออกไปตามหาโคจนมืดคํ่า เด็กน้อยนั่งรอพ่ออยู่ลำพังก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัว จึงหลบไปนอนรอพ่ออยู่ใต้เกวียน โดยหารู้ไม่ว่าในป่าใหญ่นี้มียักษ์อยู่สองตน ยักษ์ตนหนึ่งเป็นสัมมาทิฐิ ไม่รังแกคน แต่ยักษ์อีกตนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ ชอบรังแกคนบ้าง จับกินเป็นอาหารบ้าง

                     เมื่อยักษ์ทั้งสองเดินทางผ่านมาพบกับเกวียนที่จอดนิ่งอยู่ กลางป่าเข้าจึงเกิดความรู้สึกสงสัย ยืนด้อมๆ มองๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักเจ้ายักษ์มิจฉาทิฐิก็เหลือบไปเห็นเท้าของเด็กน้อยโผล่มาจากใต้เกวียน จึงเกิดความดีใจ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ข้าโชคดีมีลาภลอย ได้เจ้าเด็กนี่เป็นอาหารแล้ว”

19781-06.jpg

                ยักษ์สัมมาทิฐิได้ยินดังนั้นจึงพูดแย้งขึ้นว่า “อย่าไปยุ่งเลย เราไปหาผลไม้กินกันก็ได้” เจ้ายักษ์มิจฉาทิฐิไม่ฟังเสียง คว้าขาเด็กน้อยได้ก็ลากออกมาทันที เด็กตกใจจึงรีบท่องตามคำที่เพื่อนเคยสอน “นะโมพุทธายะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

              ทันใดนั้น เจ้ายักษ์มิจฉาทิฐิก็รู้สึกร้อนเหมือนจับโดนเหล็กเผาไฟ มันสะดุ้งแล้วรีบคลายมือที่จับขาเด็กน้อยออกทันที ด้วยอานิสงส์ ของการกล่าววาจานอบน้อมบูชาพระพุทธเจ้า เจ้ายักษ์ มิจฉาทิฐิรู้ได้ในทันทีว่าเด็กน้อยเป็นผู้มีบุญ จะไปทำอันตรายเขาไม่ได้ มันจึงหันไปปรึกษายักษ์อีกตนหนึ่ง ยักษ์ผู้ประพฤติดีจึงตอบเพื่อนกลับไปว่า “เจ้าทำบาปกับผู้ที่มีบารมีแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าต้องกล่าวขอโทษเขา”

                เจ้ายักษ์มิจฉาทิฐิเกรงกลัวบาปกรรม จึงรีบเร่งไปเก็บผลไม้มาเลี้ยงเด็กแล้วขอขมาลาโทษ ไม่นานนักเด็กน้อยกับพ่อก็ได้พบกัน แล้วกลับบ้านอย่างปลอดภัยในที่สุด

               เรื่องราวเหล่านี้ชี้ให้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ แม้จะสวดเพียงสั้นๆ โดยไม่รู้ความหมาย บุญก็เกิดได้ คนโบราณรู้หลักข้อนี้ดี เวลาเกิดเหตุให้ตกใจก็มักอุทานว่า “คุณพระช่วย” แต่ถ้าเป็นในสมัยพุทธกาลเขาอุทานกันว่า “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต .....”

19781-07.jpg

                   ตกใจแต่ละทีจะต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระรัตนตรัยก่อน แล้วเอาใจผูกไว้อย่างนั้น เพราะรู้ว่าผูกไว้กับพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกแล้วจะดีขึ้น

                   ถ้าเราเองจับหลักนี้ได้เหมือนอย่างปู่ ย่า ตา ยาย ชีวิตของเรา ก็จะดีตาม ผลดีจะเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

เจริญพร

พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.022629030545553 Mins