FAKE NEWS
ยุคข้อมูลข่าวสารที่โซเชียลมีเดีย มีอิทธิพลกับสังคมไทยเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เราปฏิเสธไม่ได้ว่า มีข้อมูลมากมายทั้งจริงและเท็จ ที่มีการนำเสนอออกมาในสื่อออนไลน์ทุกรูปแบบ เราจะมีวิจารณญาณอย่างไรในการฟังและชม เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งจะนำไปสู่การรับข้อมูล "เฟคนิวส์" เหล่านั้นได้
ข่าวปลอมและข่าวลือ ก็เหมือนไฟ แม้จุดเริ่มต้นจะเป็นเพียงสะเก็ดไฟเล็ก ๆ แต่เมื่อได้ลุกลามไปแล้วก็ยากที่จะสกัดเพลิงได้ ข่าวลือไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ล้วนสร้างความวุ่นวาย สร้างความเสียหายตามมา
การรับฟังข่าวสารจึงเป็นเรื่องที่เราประมาทไม่ได้ เพราะแม้แต่คนที่มีใจหนักแน่นรู้จริงเห็นจริงมาตลอด ก็ยังเคยหลงเชื่อข่าวลือมาแล้ว ดังสุภาษิตจีนเรื่อง เจิงซานฆ่าคน
เจิงซานเป็นลูกศิษย์ของขงจื๊อ เป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ และมีความสุขุมรอบคอบ ไม่ว่าจะทำอะไร เขาจะไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน เพราะเหตุนี้แม่ของเจิงซานจึงมีความเชื่อมั่นในความประพฤติดีของลูกชายอย่างมาก
วันหนึ่ง เจิงซานออกไปทำธุระ ส่วนแม่ของเขาได้นั่งทอผ้าอยู่กับบ้าน สักพักมีเพื่อนบ้านวิ่งหน้าตื่นมาบอกกับแม่ของเจิงซานว่า "เจิงซานฆ่าคนตาย" แม่ของเจิงซานฟัง
แล้วก็ยิ้ม บอกว่า "ไม่จริงหรอก ลูกของฉันไม่มีวันไปฆ่าใคร"และไม่ว่าเพื่อนบ้านคนนั้นจะยืนยันอย่างไร ก็ไม่อาจสั่นคลอนความเชื่อของนางได้แม้แต่น้อย ในที่สุดเพื่อนบ้านจึงได้กลับไป
สักพักก็มีเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งมาแจ้งข่าวนี้กับนางอีก เพื่อนบ้านผู้นี้เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคมอย่างมาก แต่นางฟังแล้วก็เฉย ๆ ยังคงนั่งทอผ้าต่อไปตามปกติ
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งก็วิ่งมาบอกนางด้วยความตื่นตระหนกว่า "เจิงซานถูกจับแล้ว" และขอให้นางรีบหนีไปให้เร็วที่สุด เพราะในสมัยนั้นใครที่มีลูก
ทำความผิดฐานฆ่าคนตาย กฎหมายจะลงโทษประหารพ่อและแม่ด้วย คราวนี้แม่ของเจิงซานใบหน้าซีดเผือด
ขณะที่นางตกใจแทบสิ้นสตินั้น เจิงซานก็กลับมาบ้านพอดี เขาบอกกับนางว่า "วันนี้มีผู้ร้ายฆ่าคน ชื่อแซ่เดียวกับผมผมยังนึกอยู่ว่า อาจมีคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นตัวผมก็ได้" แม่ของเจิงซานพูดว่า "แม่รู้ว่าลูกจะต้องไม่ไปฆ่าใครแน่นอน แต่ใคร ๆ ก็พูดอย่างนั้น จนแม้กระทั่งแม่ก็เริ่มคล้อยเชื่อตามไปแล้ว ข่าวลือนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ"
จะเห็นได้ว่า ข่าวที่ลือมาถึงหูเพียงไม่กี่ครั้ง ยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่ผู้เป็นแม่มีต่อเจิงซานได้ ทั้งที่นางเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็ก เห็นความประพฤติของเขามาตลอดโชคยังดีที่เจิงซานกลับมาชี้แจงได้ทัน ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย
ในสังคมที่เต็มไปด้วยการสื่อสาร ข่าวลือจึงเป็นอันตรายในชีวิตประจำวันที่อาจเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
เคยมีนักวิชาการทางนิเทศศาสตร์เล่าถึงทฤษฎีหนึ่งให้ฟังว่า บางครั้งเมื่อสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวที่ตนสร้างเรื่องขึ้นโดยจินตนาการ หรือใช้วิจารณญาณส่วนตัวคาดเดาเหตุการณ์เอาเอง เมื่อข่าวนั้นได้เผยแพร่ออกไปก็จะมีสื่อมวลชนอื่น ๆ มารับเรื่องต่อ อาจมีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นประเด็นให้พูดคุยกันต่อ ๆ ไป จนไม่รู้ว่าต้นเรื่องมาจากที่ใดใครเป็นคนให้ข่าว
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อสื่อมวลชนผู้ที่เป็นคนสร้างเรื่องนี้ได้รับข่าวที่แพร่สะพัดกลับมา ก็ยังหลงคิดไปว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หรือเป็นไปตามที่ตนคาดเดาจริง ๆ กลายเป็นว่าคนที่สร้างข่าวลือ ได้หลงเชื่อข่าวลือนั้นเสียเอง
นี่คือตัวอย่างของการสร้างกระแสข่าว ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ถึงขนาดชี้นำความคิดของผู้คนในสังคมได้เราจึงต้องมีสติในการรับสื่อต่าง ๆ ต้องรู้จักกลั่นกรองข้อมูลและสั่งสมข้อมูลในตนเองให้มากพอที่จะเป็นพื้นฐาน
ในการวิเคราะห์ข่าวสารที่เราได้รับในแต่ละวัน นอกจากนี้หากมีข่าวสารใด ที่เราไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยตนเองก็ควรซักถามจากผู้รู้ หรือแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เท่านั้น
เพราะเพียงแค่เราซักถามพูดคุยกันปากต่อปากไปเรื่อย ๆ นั้นเรื่องที่ยังไม่แน่ว่าจริงหรือไม่จริง ก็อาจถูกแพร่กระจายกลายเป็นข่าวใหญ่ไปเสียแล้ว เท่ากับว่าเราช่วยประโคมข่าวโดยไม่รู้ตัว
ข่าวลือจึงเป็นภัยสังคม ที่สร้างความเสียหายอย่างมาก ตั้งแต่ระดับบุคคล ไปจนถึงระดับองค์กร และประเทศชาติ
ผู้นำองค์กรต่าง ๆ จึงควรมีหลักการป้องกันข่าวลือ ดังนี้
1. สร้างแหล่งข่าวหรือแหล่งอ้างอิงในองค์กร
เช่นรัฐบาลต้องมีโฆษกรัฐบาล หากมีกรณีเกิดขึ้น ต้องให้โฆษกเป็นผู้แถลงอย่างเป็นทางการเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ส่วนในองค์กรต่าง ๆ อาจมีโฆษกทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น ถ้าในองค์กรมีหลายหน่วยงานแต่ละหน่วยแต่ละแผนกต้องมีผู้ทำหน้าที่ให้ข้อมูล ให้สมาชิกทุกฝ่ายรู้ว่า ถ้าต้องการข้อมูลเรื่องใด ต้องติดต่อกับใคร
นอกจากนี้ การสร้างเว็บไซต์เพื่อเป็นแหล่งให้ข้อมูลก็ช่วยให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว เข้าถึงข้อมูลได้ทันที ช่วยในการสยบข่าวลือก่อนที่จะเป็นไฟลามทุ่งได้เช่นกันการมีแหล่งข่าวขององค์กรอย่างชัดเจน เป็นระบบที่เข้าถึงได้จริง จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกทุกฝ่ายและเป็นการตัดกระแสข่าวลือได้อย่างยอดเยี่ยม
2. พัฒนาศักยภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร
ให้กับสมาชิกในองค์กร เสริมสร้างภูมิปัญญาให้รู้เท่าทันโลกในยุคข้อมูลข่าวสาร และปลูกฝังให้สมาชิกในองค์กรหมั่นศึกษาหาความรู้ สะสมข้อมูลในตนเองเพื่อที่จะสามารถกลั่นกรองวิเคราะห์ข่าวสารต่าง ๆ ได้โดยไม่ตกอยู่ในวังวนของกระแสข่าว อีกทั้งฝึกฝนทักษะในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อตอบข้อสงสัยต่าง ๆ ป้องกันปัญหาการกระพือข่าวโดยไม่ตั้งใจอันเกิดจากการซักถามข้อสงสัยกันไปเรื่อย ๆ
ที่สำคัญที่สุดคือ ควรมีการปลูกฝังให้สมาชิกทุกคนยึดหลักกาลามสูตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ในใจ เพื่อฝึกนิสัยความมีสติรู้เหตุรู้ผล ไม่ถือมงคลตื่นข่าว หรือเชื่อตาม ๆกัน เพราะหลักกาลามสูตรนี้ คือ ภูมิคุ้มกันภัยจากข่าวลือได้ดีที่สุด
3. สร้างความน่าเชื่อถือขององค์กรให้เป็นที่ประจักษ์
เพราะในบางครั้งการหยุดกระแสข่าวลือ ก็ต้องอาศัยองค์กรที่น่าเชื่อถือออกมาให้ข้อมูล ดังนั้นหากองค์กรของเรามีเครดิตดี เป็นที่ยอมรับของสาธารณชน เวลามีกรณีอะไรเกิดขึ้น เราก็สามารถชี้แจงแก้ไขปัญหาได้ หรือเป็นหลักอ้างอิงให้กับผู้อื่นได้ การที่องค์กรใดจะได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชนนั้น ย่อมต้องสั่งสมชื่อเสียงมาอย่างยาวนานหรือผ่านบทพิสูจน์ต่าง ๆ จนเป็นที่ไว้วางใจ
ดังเรื่องราวประวัติความเป็นมาของสถานีวิทยุอิสราเอล เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2480 ดินแดนแถบตะวันออกกลางยังอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศอังกฤษ ชาวอิสราเอลไม่มีดินแดนเป็นของตนเอง จึงมีความพยายามที่จะจัดตั้งประเทศของตนขึ้น ได้มีการตั้งกองกำลังทหารที่สู้รบแบบกองโจร และก่อตั้งสถานีวิทยุใต้ดินของตนเอง ถึงแม้ว่าสถานีวิทยุแห่งนี้จะก่อตั้งอย่างผิดกฎหมาย
แต่กลับปรากฏว่าได้รับความเชื่อถืออย่างแพร่หลาย ทั้งจากสื่อมวลชนของโลกตะวันตก และสื่อมวลชนของอังกฤษเอง ทั้งที่อังกฤษเป็นมหาอำนาจ และกำลังสู้รบกับอิสราเอลอยู่การที่สื่อมวลชนเหล่านั้น เชื่อถือในข่าวสารจากสถานีวิทยุใต้ดินของอิสราเอล ถึงขนาดนำมาใช้อ้างอิงในการเสนอข่าวของตน
ก็เพราะสถานีวิทยุใต้ดินแห่งนี้ยึดหลักการให้ข้อมูลที่เป็นจริงมาโดยตลอด ไม่ว่าสถานการณ์สู้รบจะเป็นอย่างไร ฝ่ายตนจะบาดเจ็บล้มตายมากแค่ไหน ก็จะเสนอข่าวตามจริง ไม่มีการบิดเบือนข่าวเพื่อหวังสร้างกำลังใจให้กองกำลังฝ่ายของตนอย่างเด็ดขาด และจุดยืนนี้ก็ได้ผ่านบทพิสูจน์มาอย่างยาวนาน
จึงเป็นองค์กรที่ได้รับความเชื่อถืออย่างสูง เรียกได้ว่า ในสถานการณ์ที่มีข่าวออกมาหลายกระแส ข่าวสารจากองค์กรนี้ก็เป็นแหล่งอ้างอิงได้เสมอ
ดังนั้น ผู้นำองค์กรจึงต้องมีวิสัยทัศน์ในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร เพื่อเป็นรากฐานในการเจริญเติบโต ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร อันเต็มไปด้วยกระแสข่าวที่พร้อมจะสั่นคลอนทุกสิ่ง
เจริญพร
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ