สุขสามเณร ตอน4

วันที่ 19 สค. พ.ศ.2564

19-08-64-4-b.jpg

สุขสามเณร ตอน4

                 การถวายไม่ให้เหลือหมายถึง ไทยธรรมมีอยู่เท่าไหร่ก็ถวายให้หมด คือถวายหมดทั้งวัตถุที่มีอยู่และทุ่มเทจนหมดใจ มีใจประกอบด้วยความเลื่อมใสในพระปัจเจกพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ไม่ลังเลสงสัยในความบริสุทธิ์หรือความดีของปฏิคาหกทานนั้นจะมีผลมาก นายภัตตภติกะเมื่อได้ถวายจนหมดเรียบร้อยแล้วก็ไหว้พระปัจเจกพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เรียนท่านว่า 


                  ท่านครับผมอาศัยถาดภัตรถาดเดียว ได้ทำการรับจ้างในเรือนของคนอื่นถึง 3 ปี ได้ประสบความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวง บัดนี้ขอความสุขจงมีแก่กระผมและสถานที่ที่กระผมได้บังเกิดแล้วด้วยเถิด ขอให้ผมเพิ่งเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรม ที่ท่านได้บรรลุแล้วด้วยเถิด พระปัจเจกพุทธเจ้าให้พรว่า ขอสิ่งที่ท่านปรารถนา จงสำเร็จโดยเร็วพลัน ความดำริทั้งปวงจงเต็มเปี่ยมเหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ความดำริทั้งปวงจงเต็มเปี่ยมเหมือนแก้วมณีโชติรสเถิด

                  ครั้นให้พรนายภัตตภติกะแล้ว ก็อธิษฐานว่า ขอมหาชนที่กำลังยืนอยู่ทั้งหมดนี้ จงเห็นเราจนกระทั่งถึงเขาคันธมาทน์เถิด จากนั้นจึงได้เหาะขึ้นสู่เวหากลับไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ตามเดิม


                  ถึงมหาชนจะยืน มองเดินดูท่านถือบาตรเเล้วเหาะไปอย่างสง่างามเหมือนพญาหงษ์ทองกำลังโผบินไปในอากาศ ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าได้เสด็จไปถึงภูเขาคันธมาทน์แล้วก็ได้แบ่งอาหารในบาตรนั้นให้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าอีก 500 รูป พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆรูปได้รับภัตตาหารเพียงพอสำหรับทุกๆพระองค์นำไปฉันตามอัธยาศัย สำหรับการกระทำของผู้รู้ผู้มีญาณนี้  ถือว่าเป็นฌาณวิสัย หรือเป็นพุทธวิสัยก็ได้  เป็นอจิณตรัยที่ไม่พึงคิดว่าบิณฑบาตเล็กน้อยจะพอเพียงต่อว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าตั้ง 500 รูปได้อย่างไรเพราะอนุภาพแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นอจินตรัย คือ เกินความคิดที่ปุถุชนธรรมดาจะพึงหยั่งรู้อนุภาพของท่านได้


                  มหาชนเห็นบิณฑบาตที่พระปัจเจกพุทธเจ้าแบ่งถวายเเก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์แล้ว ก็ได้พากันสาธุการดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน จนดังไปถึงหูของท่านคันธเศรษฐี คันธเศรษฐีได้ยินเสียงนั้นแล้วจึงคิดว่า สงสัยว่าวันนี้นายภัตตภติกะจะไม่มีบุญพอที่จะมารอรับสมบัติที่เราให้ไป เลยเป็นเหตุให้มหาชนทำการหัวเราะเยาะแล้วโห่ร้องขับไล่ว่าทำกริยาที่ไม่สมควร แต่เพื่อความแน่ใจ ท่านเศรษฐีจึงส่งคนไปพิสูจน์ให้แน่ใจว่า


                 เสียงดังในปะรำพิธีของชาวเมืองนั้น เกิดจากอะไรกันแน่ เมื่อคนรับใช้ได้ออกไปดู สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น พอรู้ความแล้วก็รีบกลับมาบอก ด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้นแฝงด้วยความปิติยินดี บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านเศรษฐีฟังอย่างละเอียด เสมือนหนึ่งว่าได้เห็นมากับตาตัวเอง  ฝ่ายเศรษฐีฟังแล้วก็ปลื้มปิติขนลุกชูชันตามคนรับใช้ไปด้วย เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังข่าวอันเป็นมหามงคล และปาฏิหาริย์ถึงปานนี้มาก่อน จึงเปล่งอุทานว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ นายภัตตภติกะ ได้ทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้โดยยาก เราเป็นผู้ครอบครองสมบัติมากมายเวลานานปียังไม่ได้โอกาสดีๆ เพื่อทำสิ่งนี้เลย นายภัตตภติกะเป็นเพียงลูกจ้างทั้งไร้ทรัพย์เเต่กล้าถวายอาหารที่มีรสเลิศที่ตนเองต้องอดทนมาเป็นข้าทาส ใช้เวลานานถึง 3 ปี เพื่อให้ได้โอกาสนี้  เขาช่างเป็นคนโชคดีเหลือเกิน


                 ว่าแล้วจึงให้เรียกให้ นายภัตตภติกะ กลับมาภายในบ้าน เพื่อพบและสอบถามว่า พ่อหนุ่มได้ยินว่าเธอเอาอาหารที่รอคอยมานานถึง 3 ปีได้ถวายพระจริงหรือ เมื่อเขาตอบรับว่าเป็นความจริง จึงกล่าวต่อไปว่า เอาเถิด เธอจงรับเอาทรัพย์ไป 1,000 หนึ่ง  แล้วแบ่งส่วนบุญของเธอให้ฉันบ้างนายภัตตภติกะเห็นว่าเป็นการดีเพราะตัวเองก็ไม่ตระหนี่บุญอยู่แล้ว จึงไม่ปฏิเสธได้ตั้งกัลยาณจิตว่าขอท่านเศรษฐี  จงเป็นผู้มีส่วนเเห่งบุญที่เราทำในครั้งนี้ด้วยเถิด ฝ่ายเศรษฐีก็ได้กล่าวอนุโมทนาบุญที่นายภัตตภติกะได้กระทำ พร้อมกับมอบทรัพย์ให้ 1,000 กหาปณะ 


                วีรกรรมการถวายทานชนิดตัดขาดจากใจโดยไม่รู้สึกเสียดายนั้น ได้ลือกระฉ่อนไปทั่วพระนคร แม้พระราชาทรงสดับแล้วก็รู้สึกปลาบปลื้มปิติยินดีกับนายภัตตภติกะ  จึงทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

ธรรมะเพื่อประชาชน

คุณครูไม่ใหญ่

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0017776489257812 Mins