ชีวิตในเทวโลก ตอนที่ ๑
มาออกแบบวิมานกันดีกว่า
จะสร้างบ้านยังต้องมีแบบ แล้วสร้างวิมาน ออกแบบได้ไหม?
ในพระไตรปิฎก มีบันทึกจากคำบอกเล่าของพระมหาโมคคัลลานะ และพระอรหันต์ที่ไปตรวจดูวิมานบนสวรรค์ ท่านกล่าวถึงการประดับตบแต่ง ขนาด และความสูงของวิมาน
คุณครูไม่ใหญ่ เล่าเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างและการเกิดขึ้นของวิมาน ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา จึงรู้ว่า วิมานออกแบบได้ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์
คุณครูไม่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า บุพกรรมของเทพบุตร เทพธิดารู้ได้ด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
๑. จากคำบอกเล่าของเทพเจ้าของวิมาน เพราะธรรมชาติของเทวดา จะระลึกชาติได้หนึ่งชาติ จะรู้บุพกรรมของตัวเองว่า เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ สั่งสมบุญอะไรมา จึงได้ทิพยวิมานที่สวยงาม
๒. จากคำบอกเล่าของผู้มีญาณทัสสนะ ท่านทรงอภิญญา จึงสามารถระลึกชาติเทพเจ้าของวิมานนั้นได้ว่าทำบุพกรรมอะไรมา จึงได้ทิพยวิมานที่สวยงาม...
๓. จากโครงสร้างของวิมาน มีส่วนประกอบหลักอยู่ ๓ ส่วน คือ
๓.๑ วิมานส่วนล่าง เกิดจากการบำเพ็ญทานกุศล
๓.๒ วิมานส่วนกลาง เกิดจากการรักษาศีล
๓.๓ วิมานส่วนบน เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา
สรุปก็คือ การให้ทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา ของเทพเจ้าของวิมาน ทำให้เกิดวิมาน ๓ ส่วนหลัก
แล้วการบังเกิดขึ้นของวิมานยังเกิดได้ ๒ แบบ คือ
๑. วิมานจะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของวิมานละสังขารจากอัตภาพมนุษย์ กลับไปสู่เทวโลก ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เทพเจ้าของวิมานเป็นคนที่นานๆ จะทำบุญสักที แต่ทำบุญมากพอที่จะทำให้วิมานเกิดขึ้นได้
๒. วิมานเกิดขึ้นตั้งแต่เจ้าของวิมานยังเป็นมนุษย์อยู่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เทพเจ้าของวิมานเป็นคนที่สั่งสมบุญอยู่เป็นประจำ และทำอย่างเต็มกำลัง วิมานจึงเกิดขึ้นรอคอยเจ้าของวิมาน และขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกำลังบุญที่ทำอย่างต่อเนอง
ถึงเวลามาออกแบบวิมานกันแล้ว จะให้โครงสร้างของวิมานทั้ง ๓ ส่วน เป็นแบบไหน...
ส่วนล่างใหญ่ ส่วนบนเล็ก แบบรูปทรงของพระเจดีย์ หรือส่วนล่างใหญ่ ส่วนบนก็ใหญ่โต อลังการงานสร้าง...
จะให้วิมานเกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ หรือละสังขารแล้วค่อยเกิดมาเป็นสถาปนิกออกแบบกัน ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์เดินดินกันดีกว่า
เทพบุตรเทพธิดา กลับวิมานกันอย่างไร
เรื่องการกลับวิมานของคนมีบุญนี้ มีที่มาทั้งในพระไตรปิฎก และที่ได้ศึกษาจากคำบอกเล่าของคุณครูไม่ใหญ่ ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
การกลับไปสู่วิมานของเทพบุตร เทพธิดาที่เป็นเจ้าของวิมานมีหลายรูปแบบ เช่น
๑. เมื่อละสังขารแล้ว เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นกลางวิมาน เช่นมัฏฐกุณฑลี อายุ ๑๖ ปี เป็นบุตรเศรษฐีขี้เหนียว เริ่มป่วย เศรษฐีไม่พาไปหาหมอ แต่ไปถามหมอว่า ใช้ยาอะไร? แล้วไปหายามาปรุงเอง เพราะความตระหนี่ เสียดายค่ารักษา
เมื่อลูกป่วยหนักก็ย้ายลูกมานอนที่ระเบียงบ้าน กลัวคนมาเยี่ยมจะเห็นสมบัติในเรือน มัฏฐกุณฑลีนอนที่ระเบียง หันหน้าเข้าฝาเรือน
พระสัมมาสัมพุทธเสด็จมาโปรด ทรงแผ่พระรัศมีไปกระทบฝาเรือน มัฏฐกุณฑลีเห็นแสงสว่าง จึงกลับตัวหันหน้ามาดู เห็นพระรัศมีของพระบรมศาสดา ยังจิตให้เลื่อมใส ละสังขารแล้ว เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นกลางวิมานทองสูง ๓๐ โยชน์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางอัปสรเป็นบริวารพันหนึ่ง
๒. กายละเอียดหลุดออกมาจากกายหยาบแล้ว นึกถึงบุญได้แวบกลับไปสู่วิมานทันที
๓. กายละเอียดหลุดออกมาจากกายหยาบแล้ว นึกถึงบุญได้ มีลำแสงจากวิมานลงมาจรดในมนุษยโลก เดินตามลำแสงขึ้นไปก็กลับไปสู่วิมานได้
๔. บริวารนำเทวรถมารับผู้เป็นเจ้าของวิมาน กลับไปสู่เทวโลก เช่น เมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีจะละสังขาร ให้ลูกนิมนต์คณะสงฆ์มาสวดมนต์ที่บ้าน ขณะที่พระสวดอยู่เทวรถและเทพบริวารของสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นมาปรากฏ ต่างก็เชื้อเชิญให้ท่านเศรษฐีไปอยู่บนสวรรค์ชั้นเดียวกับตน อนาถบิณฑิกเศรษฐีอยากฟังธรรมก่อน จึงพูดขึ้นว่า ขอท่านจงรอก่อน คือ รอพระสวดมนต์ให้เสร็จก่อน แต่พระเข้าใจผิดคิดว่าขอให้พระหยุดสวด คณะสงฆ์เลยลุกกลับวัดหมด
ท่านเศรษฐีไม่ได้ยินเสียงสวดมนต์จึงถามลูก ลูกก็เล่าให้ฟังว่าพ่อพูด “ขอท่านจงรอก่อน” พระเลยลุกกลับวัด
ท่านเศรษฐีบอกว่า พ่อพูดกับเทวดาที่มารอรับ พ่อไม่ได้พูดกับพระ ลูกบอกว่า ไม่เห็นเทวรถเลย
ท่านเศรษฐีให้ลูกเอาพวงมาลัยมา ถามว่า สวรรค์ชั้นไหนน่าไปอยู่? ลูกบอกว่า สวรรค์ชั้นดุสิต เพราะเป็นที่อยู่ของพระบรมโพธิสัตว์
ท่านเศรษฐีอธิษฐานจิต แล้วโยนพวงมาลัยไปคล้องที่งอนของเทวรถที่มาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ให้โอวาทลูกๆ แล้วกลับไปสู่ดุสิตเทวโลก
สรุปว่าตัวอย่างการกลับไปสู่เทวโลกทั้ง ๔ วิธี คือ
๑. เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นกลางวิมาน
๒. ละสังขารแล้วนึกถึงบุญได้ แวบกลับไปสู่วิมานในเทวโลก
๓. ละสังขารแล้วนึกถึงบุญได้ มีลำแสงลงมา เดินตามลำแสงขึ้นไปสู่วิมานในเทวโลก
๔. บริวารนำเทวรถมารับจากมนุษยโลกกลับไปสู่เทวโลก
หลักสำคัญ คือ ตอนก่อนและละสังขารแล้ว ใจต้องผูกพันอยู่กับการนึกถึงบุญ บุญจะได้ช่องส่งผล นำไปเกิดตามภพภูมิที่เหมาะสมกับกำลังบุญ
จะเลือกกลับวิมานแบบไหนก็ได้ ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องไปแวะพักที่โฮมสเตย์ ศาลพระภูมินะครับ !!!
ถ้าไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาจะใช้ชื่ออะไรดี
ชื่อ คือ สิ่งที่ใช้เรียกแทนตัวบุคคล ศาสตร์ในการตั้งชื่อคนมีมาแต่โบราณ เช่น ดูวัน และเวลาที่เกิด เป็นต้น
แล้วเทพบุตร & เทพธิดา เขาตั้งชื่อกันอย่างไร?
เรื่องนี้ได้มาจากคุณครูไม่ใหญ่ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC ท่านเล่าที่มาของชื่อเทพบุตร และเทพธิดาไว้มี ๕ ประการ คือ
๑. เกิดจากชื่อตอนเป็นมนุษย์ เช่น อนาถบิณฑิกเทพบุตร, มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เป็นต้น
๒. เกิดจากคุณธรรมที่ปฏิบัติ เช่น โฆษกเทพบุตร (อดีตเป็นสุนัขที่คอยนำทางพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อเข้าไปในป่ารก มันจะใช้เสียงเห่าไล่สัตว์ร้ายที่อาจจะมาทำร้ายท่านได้) เป็นต้น
๓. เกิดจากวัตถุทาน เช่น อังกุรเทพบุตร (อังกุระ แปลว่า เตา เมื่อครั้งเป็นมนุษย์เป็นคนใจบุญ ตั้งเตาหุงข้าวยาวถึง ๑๒ โยชน์ เลี้ยงคนในยุคที่คนอายุยืนถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ยาวนานถึง ๑๐,๐๐๐ ปี) เป็นต้น
๔. เกิดจากบุญพิเศษที่ประพฤติปฏิบัติตอนเป็นมนุษย์ เช่น ปุญญสุวรรณโฆษกเทพบุตร (เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่ประกาศข่าวงานบุญ เชิญชวนมหาชนให้มาสั่งสมบุญตลอดชีวิต) เป็นต้น
๕. เกิดจากชื่อโดยตำแหน่ง เช่น เทพบุตรพุทธมารดา, ท้าวสักกเทวราช (ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์) เป็นต้น
คราวนี้ก็มาถึงเราแล้ว จะเอาชื่ออะไรดี ? เช่น อัมพเทพนารี (ถวายมะม่วง), มุททิกเทพบุตร (ถวายองุ่น) ถ้าจะถวายสปาเก๊ตตี้ ติ่มซำ ซูชิ อันนี้ยังหาศัพท์ไม่เจอ ให้ใช้ทับศัพท์ไปก่อนก็แล้วกัน !!!
เทพไม่มีวิมาน สำคัญที่ตอนเกิด
ถ้าจะแบ่งเทพบนสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นในเทวโลก น่าจะแบ่งได้ ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ
๑. เทพที่มีวิมานเป็นของตัวเอง
๒. เทพที่ไม่มีวิมานเป็นของตัวเอง
คงเหมือนในโลกของเรา มีคน ๒ กลุ่ม คือ คนที่มีบ้านเป็นของตัวเอง และคนที่ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง
คุณครูไม่ใหญ่ได้เล่าไว้ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC ให้ฟังว่า เทพที่ไม่มีวิมานเป็นของตัวเอง ต้องไปอาศัยเทพที่มีวิมานอยู่ เวลาไปเกิดในเทวโลก สำคัญว่าไปเกิดตรงไหน ก็จะมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป
๑. ไปเกิดบนเตียง เป็นภรรยาของเทพเจ้าของวิมาน
๒. ไปเกิดบนตัก เป็นบุตรของเทพเจ้าของวิมาน
๓. ไปเกิดอยู่ข้างเตียง เป็นภูษามาลา ทำหน้าเปลี่ยนทิพยอาภรณ์ให้เทพเจ้าของวิมาน
๔. เกิดภายในเขต เป็นบริวารของเทพเจ้าของวิมาน
๕. เกิดอยู่นอกเขต
๕.๑ ถ้าอยู่ใกล้วิมานไหน ก็ตกเป็นบริวารของเทพเจ้าของวิมานนั้น
๕.๒ ถ้าเกิดอยู่กึ่งกลางระหว่างวิมานพอดี กติกามีอยู่ว่า ตอนเกิดหันหน้าไปทางวิมานไหน ก็ตกเป็นบริวารของเทพเจ้าของวิมานนั้น
๕.๓ ถ้าเกิดอยู่กึ่งกลางระหว่างวิมานพอดี และไม่ได้หันหน้าไปทางวิมานไหนด้วย กติกามีอยู่ว่าต้องตกเป็นบริวารของผู้ปกครองเขตนั้น ถ้าเปรียบในโลกมนุษย์
ต้องตกเป็นบริวารของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ประมาณนั้น
การเกิดของบริวาร ก็มีอยู่ ๒ ประเภท คือ
๑. เกิดด้วยอำนาจบุญของเจ้าของวิมาน (ไม่ใช่อดีตมนุษย์)
๒. เป็นอดีตมนุษย์ พวกที่ทำบุญไม่มากพอที่จะมีวิมานเป็นของตัวเอง ต้องไปเป็นบริวาร อาศัยวิมานอื่นอยู่
คราวนี้ก็มาถึงเราแล้ว จะเลือกเป็นเทพเจ้าของวิมาน หรือเป็นเทพที่ไปอาศัยวิมานอื่นอยู่ในเทวโลกไม่มีความบังเอิญ บุญมากก็เลิศหรู มีหน้ามีตายาวนานหลายล้านปี บุญไม่มากก็หงอยๆ น้อยอกน้อยใจหลายล้านปี
รีบสั่งสมบุญให้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นอยู่บนโลกเป็นนางแจ๋วผู้จัดการบ้าน ไปเทวโลกแล้วยังไปเป็นผู้จัดการวิมานอีก !!!
อัศจรรย์วันพระในเทวโลก
ตลอดเวลา ๑ เดือน ตั้งแต่ข้างแรมจนถึงวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ ในทุกเขตของมนุษยโลก จะมีเจ้าหน้าที่เขตระดับภุมมเทวา ตรวจดูความดีของมนุษย์ แล้วบันทึกในแผ่นลานทอง รวบรวมนำเสนอหัวหน้าเขตภูมมเทวาตามสายการปกครอง
หัวหน้าเขตรวมบัญชีนำเสนออากาสเทวา อากาสเทวาของคนธรรพ์ ครุฑ นาค ยักษ์ ก็จะรวบรวมบัญชีนำไปให้หัวหน้าอากาส เทวาตามสายการปกครอง หัวหน้าอากาสเทวาที่เป็นหัวหน้าใหญ่ก็จะนำบัญชีไปมอบให้ท้าวจตุโลกบาลตามสายการปกครอง
เทวดาในมนุษยโลกมีสายการปกครองจากภุมมเทวารุกขเทวา อากาสเทวา ขึ้นไปตามลำดับ จนถึงท้าวจตุโลกบาล ผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์จาตุมหาราชิกาทั้ง ๔ ทิศ
ทิศเหนือ ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์
ทิศตะวันออก ท้าวธตรฐ ปกครองพวกคนธรรพ์วิทยาธร และกุมภัณฑ์
ทิศใต้ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ
ทิศตะวันตก ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกพญานาค
ท้าวจตุโลกบาล รวบรวมบัญชี ขึ้นไปเข้าเฝ้าท้าวสักกเทวราชบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อรายงาน
ท้าวสักกเทวราชจะประชุมคณะกรรมบริหารในวันโกน มี ๒ วาระหลัก คือ
๑. เรื่องราวบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
๒. เรื่องราวของท้าวจตุโลกบาล ที่เอาบัญชีรวบรวมความดีของมนุษย์ มารายงาน จากนั้นท้าวสักกเทวราชจะให้โอวาทคณะกรรมการบริหาร ซึ่งจะตรงกับวันพระในมนุษยโลก
เทพบนชั้นดาวดึงส์รู้ว่า เป็นวันพระได้จากการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โดยตรวจดูวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ ในมนุษยโลกด้วยทิพยจักษุ
เมื่อรู้ว่าเป็นวันพระก็จะมาประชุมที่สุธรรมาเทวะเทวสภา จากนั้นท้าวสักกเทวราชจะแสดงธรรม เกี่ยวกับความไม่ประมาท ให้ฉลาดในการดำเนินชีวิต หมั่นเจริญพุทธานุสสติ ตอกย้ำให้ไปนมัสการบูชาพระธาตุจุฬามณี ที่เป็นเนื้อนาบุญของสวรรค์
จากนั้น จะเป็นการประกาศรายชื่อ ผู้ที่สั่งสมบุญกุศลความดีในมนุษยโลกที่ท้าวจตุโลกบาลรวบรวมแผ่นลานทองส่งขึ้นมาตามลำดับ โดยประกาศรายชื่อในช่วงที่ผ่านมา จากผู้ที่ทำความดีมากๆ เป็นอันดับแรก ลดหลั่นกันไปตามลำดับ ให้เทวดาได้ร่วมอนุโมทนา เพราะนี้เป็นบุญที่เทวดาสามารถเพิ่มพูนได้
อ่านมาถึงตรงนี้ได้ คงมีรายชื่อไปให้เทวดาชั้นดาวดึงส์ได้ประกาศให้เหล่าทวยเทพ อนุโมทนากันในวันพระหน้านี้ได้แล้ว !!!
ท่องสวรรค์ ตอน ชีวิตความเป็นอยู่ของเทวดา
ชีวิตความเป็นอยู่ของเทวดา ได้ฟังคุณครูไม่ใหญ่เล่าธรรมะในรายการ ธรรมะเพื่อประชาชน ถ่ายทอดทางสถานีวิทยุ AM ๑๕๒๑ ตอน ท่องสวรรค์ เอาไว้ว่า...
เทวดาไปสู่เทวโลกด้วยกำลังบุญที่สั่งสมเอาไว้ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์มากพอ เทวดาจะเกิดแบบโอปปาติกะ คือ เกิดแล้วโตเต็มที่ทันที ไม่ต้องนอนในครรภ์มารดาเหมือนมนุษย์ เมื่อบังเกิดขึ้น จะมีรูปร่างเป็นทิพย์ งดงามตั้งแต่วัยหนุ่ม วัยสาวจนจุติ แต่จะ
เกิดเป็นอะไรขึ้นอยู่กับสถานที่เกิด และกำลังบุญที่ทำเอาไว้ (ศึกษาเพิ่มเติมในตอน เทพที่ไม่มีวิมานสำคัญตอนที่เกิด) เทวดาจะมีรูปโฉมผิวพรรณวรรณะเป็นทิพย์ สวยสดงดงามมาก สรีระกายเกลี้ยงเกลา สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน ไฝ ฝ้าทุกอย่าง ไม่มีกลิ่นเหม็นในร่างกายเหมือนมนุษย์
เทวดาจะเนรมิตกายให้ใหญ่โต หรือเล็กเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ใจปรารถนา เพราะกายเป็นทิพย์
พวกเทวดาจะมีเทวฤทธิ์ คือ มีฤทธิ์ที่เกิดขึ้นเองตามกำลังบุญ เช่น นึกคิดอะไรก็จะได้ดังใจปรารถนา หรือระลึกชาติได้ในระดับหนึ่ง มีตาทิพย์ หูทิพย์ รู้วาระจิตของมนุษย์ แปลงร่างก็ได้ เทวดาจำนวนเป็น ๑,๐๐๐ องค์ สามารถเนรมิตตัวให้เล็กลง แล้วเข้าไปอยู่รวมกันในสถานที่เล็ก ประมาณปลายเส้นผมก็สามารถทำได้ เช่น ในครั้งพุทธกาล บางครั้งหมู่เทวดา ได้พากันมาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธพุทธเจ้า เพื่อฟังพระธรรมเทศนา มีจำนวนถึง 10,000 โกฏิ ด้วยเหตุนี้ เทวดาจึงเนรมิตกายให้เล็กลง เพื่อจะได้ฟังธรรมอยู่ใกล้พระพุทธองค์
อีกเรื่องหนึ่ง พวกเทวดาจะบริโภคสุทธาโภชน์ ซึ่งเป็นอาหารทิพย์ สุทธาโภชน์ที่บริโภคเข้าไปแล้ว จะซึมหายไปในกายหมดและตราบที่ยังมีชีวิตเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ อุปัทวันตรายใดๆ ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือศัสตราวุธ จะไม่สามารถมาเบียดเบียนได้
พวกเทวดาจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ รัศมีที่เกิดจากอาภรณ์ ปราสาท รวมทั้งรัศมีกาย จะส่องแสงสว่างรุ่งเรืองตลอดเวลา เทวโลกจึงสว่างรุ่งเรืองไปด้วยรัศมีตลอดในเทวโลกจึงไม่มีกลางคืนเหมือนในมนุษยโลก เป็นดุจกลางวันตลอดเวลา ซึ่งไม่มีการจุดประทีปโคมไฟ จะสว่างได้เองจากวัตถุสิ่งของต่างๆ นี้เป็นเทวานุภาพที่เกิดด้วยบุญฤทธิ์ทั้งนั้น
ศึกษาเอาไว้ ละสังขารแล้วไปเป็นเทพบุตร เทพธิดา จะได้ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมในเทวโลกได้เร็วขึ้น !!!
จากหนังสือ ราตรีสว่าง
พระครูวิบูลนิติธรรม (ไพบูลย์ ธัมมวิปุโล)